บนภูเขาโดดเดี่ยวที่ขอบชายแดนจักรวรรดิเหนือ
มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขากวาดมองอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นของตำหนักมู่ในขณะนี้ ภายใต้การควบคุมของพวกเขาดินแดนเหล่านั้นจะค่อยๆ ฟื้นคืนความรุ่งเรือง
หลังจากมองมานานเขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่ขอบฟ้าพร้อมกับเม้มปาก
หลังจากที่เขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เขาก็หย่อนยานการฝึกฝนลงเล็กน้อย ตอนแรกเขาคิดว่ามีเวลาเพียงพอ แต่หลังจากที่ชิงซวงมาหา เขาก็ตระหนักว่าช่วงเวลาพักผ่อนทุกครั้งของเขาหมายความว่ามารดาจะต้องทนทุกข์ทรมานนานขึ้นในเจดีย์บรรพบุรุษ
ดังนั้นความไม่เร่งร้อนในหัวใจของเขาจึงแตกสลายหมดสิ้นในเวลานี้ เขารู้ดีว่าตัวเองจะต้องบรรลุระดับเทียนจื้อจุนหากต้องการให้มารดาหลุดพ้นจากการคุมขังของเผ่าฝูถู
“ท่านพ่อ ข้าเคยสัญญากับท่านตอนที่ออกจากมณฑลเป่ยหลิง…”
มู่เฉินกำหมัดแน่น นับเวลาเขาออกจากบ้านมาหลายปีแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการกลับ แต่เขายังไม่สามารถทำตามสัญญาที่เคยทำไว้ในอดีตได้สำเร็จ
บางทีบิดาก็กำลังรอคอยการกลับไปของเขาอยู่
แม้ว่าที่นั่นจะไม่น่าตื่นเต้นและหลากหลายเท่ากับมหาพันภพ แต่ก็เป็นที่ที่เขาคิดถึงอยู่ตลอดเวลา
อารมณ์ของเขาราวกับเมฆกลิ้งบนท้องฟ้า จากนั้นพักใหญ่เขาก็ค่อยๆ สงบใจคืนสู่ความสงบ
“เส้นทางเทียนจื้อจุน…”
เขาพึมพำ แม้ว่าเขาต้องการที่จะเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนในตอนนี้ แต่เขาก็เข้าใจว่าสิ่งนี้ยากแค่ไหน
มีอัจฉริยะนับไม่ถ้วนในมหาพันภพ แม้ว่ามู่เฉินจะได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นยอดที่สามารถเข้าถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มตั้งแต่อายุเท่านี้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่ทำได้
ในประวัติศาสตร์ของมหาพันโลกมีผู้คนมากมายเป็นแบบเขา แต่มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้สำเร็จ
อัจฉริยะหลายคนติดอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มตลอดชีวิต ได้แต่เฝ้ามองระดับที่พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงได้แม้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อมและลาจากโลกไปด้วยความเสียใจ…
ช่องว่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนและเทียนจื้อจุนก็เหมือนกับสวรรค์และโลก
แม้ว่ามู่เฉินจะอยู่ในระยะปลายสุดของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เขาก็เป็นแค่มดต่อหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน…
ดังนั้นเขาจึงรู้ชัดแจ้งว่าเส้นทางเทียนจื้อจุนยากเย็นเพียงใด ไม้กระดานที่คนนับล้านพยายามเดินต่อไป แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ
เผชิญหน้ากับเส้นทางนี้แม้แต่คนที่มั่นใจอย่างมู่เฉินก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ
ฮา…
มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ ลบความไม่สบายใจในใจลง เขารู้ว่าไม่มีเส้นทางอื่นที่เขาเลือกเดินได้ หากเขาต้องการช่วยมารดาจากเงื้อมมือของเผ่าฝูถู การพูดคุยอย่างสันติใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่เงื่อนไขคือเขาต้องมีหมัดที่หนักพอก่อน
ดังนั้นเส้นทางเทียนจื้อจุนเป็นสิ่งที่เขาต้องท้าทายเองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
หลังจากสงบใจแล้วท่าทางของมู่เฉินก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แสงสีขาวกะพริบวูบไหวบนฝ่ามือ อึดใจก็บีบอัดกลายเป็นลูกทรงกลมขนาดเท่ากำปั้น
ไข่มุกสีขาวมีหมอกหลิงอยู่ภายใน ดูเหมือนว่าจะมีมังกรสีขาวขดตัวอยู่
“ไข่มุกมังกรขาว…”
มู่เฉินมองไปที่ไข่มุกก็รำพึง นี่เป็นสิ่งที่จอมยุทธ์มังกรขาวทิ้งไว้ให้เขาตอนที่อยู่ในทวีปเป่ยชาง ในเวลานั้นมู่เฉินได้รู้ว่าจอมยุทธ์มังกรขาวมีต้นกำเนิดมาจากพิภพเขตล่างซึ่งเป็นมิติที่ถูกรุกรานโดยจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ จอมยุทธ์มังกรขาวเป็นผู้รอดชีวิตมาได้
เมื่อมู่เฉินได้รับสิ่งนี้มาก็ได้รู้ความลับจากจอมยุทธ์มังกรขาว นอกจากนี้ตอนสุดท้ายจอมยุทธ์มังกรขาวก็บอกว่าถ้าวันหนึ่งสามารถช่วยขับไล่ปีศาจและพาเขากลับบ้านได้ เขาจะมอบโอกาสที่เหลือเชื่อให้แก่มู่เฉิน
ย้อนกลับไปตอนนั้นจอมยุทธ์มังกรขาวเป็นใครบางคนที่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนที่เขาไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่ในปัจจุบันเขาไปไกลเกินกว่าจอมยุทธ์มังกรขาวในเวลานั้นแล้ว…
แต่มู่เฉินมีความรู้สึกว่าโอกาสนี้อาจจะช่วยเขาให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างมากในเส้นทางเทียนจื้อจุน
มู่เฉินเทคลื่นหลิงเข้าไปในไข่มุก แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ แม้ว่าเขาจะรู้สึกคลุมเครือว่ามีผนึกวิญญาณอยู่ในไข่มุก แต่ก็อาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้หากเขาใช้พลังมากเกินไป
“ดูเหมือนว่าข้าต้องไปพิภพเขตล่างเท่านั้นถึงจะเรียกจอมยุทธ์มังกรขาวออกมาได้…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็หลับตาลงรับรู้ถึงทุกอณูของร่างกาย ย้อนกลับไปตอนนั้นจอมยุทธ์มังกรขาวได้ทิ้งอักขระไว้กับเขาและบอกว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมอักขระนี้จะเปิดใช้งานเองและระบุตำแหน่งของพิภพเขตล่างนั่น…
ประสาทสัมผัสของมู่เฉินกระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย แม้แต่เลือดเนื้อก็ไม่ละเลย
กระบวนการนี้ใช้เวลาหนึ่งก้านธูป ก่อนที่เขาจะลืมตาโพลงคลื่นหลิงพุ่งทะยานสูงขึ้น เขาเลื่อนสายตาไปมองหลังมือซ้าย
มีแสงสีขาวละเอียดอ่อนปรากฏในเนื้อ ค่อยๆ รวมตัวจากเลือดเนื้อ ก่อร่างเป็นลวดลายมังกรสีขาวขนาดเท่าหัวแม่มือ
อักขระแสงมังกรขาวบิดตัวแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวต่อ ไม่ต้องพูดถึงการชี้ทิศทางเลย ดูราวกับมันกำลังรออะไรบางอย่าง
มู่เฉินหรี่ตาพลางเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงต่ำ “จะทดสอบพลังของข้าเรอะ…?”
ตอนนั้นจอมยุทธ์มังกรขาวบอกว่าเมื่อพลังของเขามาถึงระดับหนึ่งอักขระนี้ก็จะนำทางให้เขาเอง มิฉะนั้นต่อให้ชี้ทางให้ไปยังพิภพเขตล่างก็เป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น
ตู้ม!
ดังนั้นมู่เฉินจึงกระทืบเท้าเบาๆ เจดีย์ผลึกแก้วปรากฏขึ้นในดวงตา คลื่นหลิงในร่างกายพุ่งสูงขึ้นและเทลงในเจดีย์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ช่วงเวลาต่อมาพลังงานตกผลึกก็ไหลเวียนในร่างกายของมู่เฉินอย่างไม่รู้จบ
แรงกดดันทรงพลังแผ่กระจายระหว่างสวรรค์และโลก
เสร็จสิ้นกระบวนการนี้ มู่เฉินก็สร้างตราประทับด้วยมือเดียว แสงสีม่วงทองควบแน่นอยู่ข้างหลังเปล่งรัศมี
“พอรึยัง?”
หลังจากดึงพลังทั้งหมดออกมา มู่เฉินก็มองไปที่อักขระมังกรขาวที่หลังมือ หากยังไม่สามารถเรียกได้อีก เขาคงต้องหาวิธีอื่นเพื่อเส้นทางเทียนจื้อจุนของตนเอง แต่นั่นจะทำให้เขาเสียเวลามากขึ้น
ภายใต้สายตาของมู่เฉิน มังกรขาวก็ยังคงเงียบอยู่สองสามอึดใจก่อนที่ขยายตัวพร้อมกับเสียงคำรามน่าพอใจดังก้อง
หัวมังกรขาวหันไปราวกับเข็มทิศชี้ไปในทิศทางหนึ่ง
“ทางนั้นเรอะ?”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นด้วยความยินดี มันชี้ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาพันภพ แต่ไม่รู้ว่าตำแหน่งที่แน่นอนของพิภพเขตล่างว่าอยู่ที่ไหน
แต่ไม่ว่าจะไกลแค่ไหนอย่างน้อยตอนนี้ก็มีทางให้ไป ต่อจากนี้เขาก็แค่เดินทางมุ่งหน้าไปก็พอ
มู่เฉินสงบความยินดีในหัวใจ ก้มศีรษะลงมองดินแดนของตำหนักมู่ บางทีตอนนี้ที่กองบัญชาการใหญ่ของตำหนักมู่ มั่นถัวหลัว หลิงซีและคนอื่นๆ ก็คงกำลังมองมาที่เขา…
“ครั้งหน้าที่ข้ากลับมา ข้าจะพาตำหนักมู่ขึ้นปกครองทวีปเทียนหลัว…”
มู่เฉินพึมพำในทิศทางของตำหนักมู่ราวกับว่าเขากำลังให้คำมั่นสัญญากับพรรคพวก จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลสะบัดแขนเสื้อ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์หายไป ตัวเขาก็กลายเป็นริ้วแสงทะยานไปในทิศตะวันตกเฉียงใต้
ห้องโถงตำหนักมู่
มั่นถัวหลัวและหลิงซีก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างพลางเงยหน้าขึ้นมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ พักใหญ่กว่าที่พวกนางจะถอนสายตากลับ จากนั้นก็แลกสายตายิ้มให้กันและกัน
พวกนางเชื่อมั่นว่าเมื่อมู่เฉินกลับมายังตำหนักมู่อีกครั้งทั่วทั้งทวีปเทียนหลัวก็จะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นแน่นอน