หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1364

ตอนที่ 1364

บนที่ราบเป่ยยู่

เมื่อเสียงสงบราบเรียบของมู่เฉินดังกึกก้อง คลื่นเชี่ยวกรากกวาดไปทั่ว ทุกคนถึงกับตกตะลึงขณะมองดูภาพเงาอ่อนเยาว์

เห็นได้ชัดที่ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินยังคงไม่ขยับเขยื้อนแม้ว่าผู้นำทั้งสามจะร่วมมือกัน ตรงกันข้ามเขากลับมีท่าทางไม่ยอมแพ้

ต้องรู้ว่าทั้งสามคนเป็นจอมยุทธ์ที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว แม้ว่ามู่เฉินจะมีร่างดวงจิตที่ผิดแผก แต่เขาก็ไม่มีโอกาสสูงนักที่จะกำชัยชนะหากต่อสู้

จอมยุทธ์ตำหนักมู่ดูไม่วิตกกังวลมากนัก ซ้ำยังมีท่าทางตั้งมั่น พวกเขารู้ดีว่าตำหนักมู่ของพวกเขาต้องปะทะกับผู้นำทั้งสามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้ามู่เฉินล่าถอยในวันนี้ ผู้นำทั้งสามคงตีตลบหลังพวกเขาแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นการทำลายล้างก็รออยู่ข้างหน้า

ในเมื่อจะเป็นเช่นนั้น ทำไมไม่พยายามสุดกำลังแล้วลองเสี่ยงดู!

ขณะที่ฟ้าดินเดือดพล่าน เจ้าเมฆาม่วงก็มองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชาพูดว่า “โอหังนัก แกคิดจะท้าทายพวกข้าสามคนตามลำพังเนี่ยนะ?”

มู่เฉินยิ้ม พูดอย่างไม่แยแส “คนขี้แพ้มีสิทธิ์พูดด้วยเหรอ?”

เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยจากมู่เฉิน ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วงก็กระตุก สายตาที่มองมู่เฉินราวกับจะฉีกเนื้อออกมากัดกินให้สาแก่ใจ เพราะด้วยสถานะของเขาในจักรวรรดิเหนือไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้กับเขา

แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโกรธมากก็คือความจริงที่ตนเองไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้ แม้จะมีการเยาะเย้ยก็ตาม เนื่องจากการประมือเมื่อครู่พิสูจน์ได้แล้วว่ามู่เฉินไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตัวเขา มิหนำซ้ำยังเหนือกว่า

ขณะที่เจ้าเมฆาม่วงแทบคลั่ง เจ้าภูเขาเหลยยิงก็ถอนหายใจ “ดูเหมือนประมุขมู่จะรั้นมากจริงๆ”

แม้ว่าจะแสดงท่าทางเสียดายบนใบหน้า แต่สายตากลับฉายแววเย็นชา เขาต้องการให้มู่เฉินดื้อจนถึงที่สุดเพื่อพวกเขาสามคนจะได้ผนึกกำลังกันอย่างจริงจัง

ในวัยเท่านี้มู่เฉินก็ไม่ธรรมดาแล้ว ถ้าปล่อยให้เติบโตเขาก็อาจกลายเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหนึ่งเดียวในจักรวรรดิเหนือก็เป็นได้

ถึงเวลานั้นราชันแท้จริงของจักรวรรดิเหนือจะเป็นใครไม่ได้นอกจากมู่เฉิน ดังนั้นอันตรายที่ซ่อนอยู่เช่นนี้จะต้องถูกกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด

เขาเชื่อว่าอีกสองคนก็มีความคิดเช่นเดียวกัน

เจ้าภูเขาเหลยยิงหันไปมองเจ้าอินทรีทองและเจ้าเมฆาม่วง ตามคาดทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมกับรังสีสังหารแน่นหนาวูบไหวอยู่ในส่วนลึกของดวงตา

พรสวรรค์และศักยภาพของมู่เฉินทำให้พวกเขารู้สึกถูกคุกคาม

“ในเมื่อแกยืนยันที่จะทำลายสมดุลของจักรวรรดิเหนือ งั้นพวกข้าก็ต้องร่วมมือกันกำจัดแกเพื่อผดุงความสมดุลไว้” เจ้าอินทรีทองกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าช้าๆ สายตาเฉียบคมมากขึ้น

กีด!

ทันทีที่พูดจบ รัศมีสีทองก็ระเบิดออกมาจากเจ้าอินทรีทอง ก่อร่างเป็นปีกสีทองคู่หนึ่งข้างหลังกำจายความผันผวนแปลกประหลาด

ขณะเดียวกันคลื่นทรงพลังก็เปล่งออกมาจากเจ้าอินทรีทอง ทำให้ทั่วทั้งฟ้าดินตกอยู่ในแรงกดดัน

เมื่อเจ้าเมฆาม่วงเห็นเช่นนั้น ก็หมุนเวียนคลื่นหลิงโดยไม่ลังเล รัศมีสีม่วงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าขณะที่มองมู่เฉินอย่างเย็นชาโหดเหี้ยม

เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้ม เร้าคลื่นหลิงกระเพื่อมอยู่ข้างหลัง มองเห็นรูปร่างของเงาขนาดใหญ่คลุมเครือ

ทั้งสามออกกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน แรงกดดันของคลื่นหลิงปกคลุมไปทั่วทั้งที่ราบเป่ยยู่ จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนสั่นสะท้านด้วยความกลัวบนใบหน้าภายใต้แรงกดดันนี้

ภายใต้แรงกดดันแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มบางคนยังสูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้

เพียงแค่อยู่รอบนอกก็ยากสำหรับพวกเขาที่จะทน ไม่รู้ว่าความกดดันที่มู่เฉินกำลังเผชิญอยู่นั้นน่ากลัวเพียงใด

ขณะที่ทุกคนมองไปที่ภาพเงานั้นบนท้องฟ้า ร่างอ่อนเยาว์ก็ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่มีการกระเพื่อมจากผลกระทบของพลังงาน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งสามที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน แม้แต่เขายังรู้สึกกดดันเลย

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ สองมือเริ่มวาดตราประทับ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ปรากฏขึ้น ขณะที่แสงสีม่วงทองเคลื่อนไหว คลื่นหลิงก็ปกคลุมชั้นฟ้าและชั้นดินราวกับหมู่เมฆ

แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีสามคน แต่เขาก็มีวิชาสามพิสุทธิ์ด้วย ดังนั้นจำนวนไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรนัก

ทั้งหกประจันหน้ากันบนท้องฟ้า รัศมีที่แผ่ออกมาทำให้กระทั่งมิติยังแช่แข็ง

ปัง!

แต่อึดใจต่อมาบรรยากาศก็ถูกทำลาย เจ้าเมฆาม่วงเคลื่อนไหวเป็นคนแรก สายตาเย็นชาของเขาจ้องไปที่มู่เฉิน ขณะที่เมฆสีม่วงล้อมกรอบมู่เฉินไว้

ส่วนเจ้าอินทรีทองและเจ้าภูเขาเหลยยิงก็ทะยานเข้าไปสู้กับมู่เฉินชุดดำและชุดขาวตามลำดับ

มู่เฉินกระทืบเท้าส่งแรงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเผชิญหน้ากับเจ้าเมฆาม่วง ขณะที่ร่างรองก็หันไปประจัญบานกับผู้นำอีกสองคน

ตู้ม ตู้ม!

คลื่นกระแทกรุนแรงสร้างความหายนะในท้องฟ้า ชั้นฟ้าถูกฉีกออก รอยแตกกระจายอยู่บนชั้นดิน…

ที่ราบเป่ยยู่ถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นกระแทกของการต่อสู้ ซึ่งทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนหน้าถอดสี

ฟิ้ว!

ร่างเงาสีทองของเจ้าอินทรีทองพาดผ่านขอบฟ้า ปีกสีทองที่อยู่ข้างหลังกระพือยกระดับความเร็วจนน่ากลัว

ที่ด้านหลังมู่เฉินชุดดำตามมาอย่างใกล้ชิดขณะที่ปล่อยเสียงฟ้าร้องดังก้อง

เหลือบมองภาพเงาสีดำที่ตามมาข้างหลัง เจ้าอินทรีทองคำก็ปรากฏตัวขึ้นข้างเจ้าภูเขาเหลยยิง ซึ่งตอนนี้มู่เฉินชุดขาวอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่าย

“ล่อมันมาแล้ว” เมื่อเห็นมู่เฉินชุดดำและชุดขาวอยู่ด้วยกัน เจ้าอินทรีทองก็เหลือบมองไปที่ร่างหลักมู่เฉินที่ถูกกักเอาไว้โดยเจ้าเมฆาม่วงก่อนที่จะเค้นเสียง

เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้มพลางพยักหน้า ในทันใดนั้นแขนเสื้อกว้างของเขาก็เริ่มกระพือปีกเปล่งแสงที่ไม่มีที่สิ้นสุด ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

“แขนอาภรณ์ฟ้าดิน!”

แขนเสื้อก่อร่างเป็นช่องมิติที่ดูเหมือนหลุมดำ ขณะที่พุ่งออกไปห่อหุ้มมู่เฉินชุดดำและชุดขาว

แขนเสื้อห่อหุ้มขอบฟ้าไว้โดยมีมู่เฉินทั้งสองติดอยู่ข้างใน

โห่

ความปั่นป่วนดังขึ้นในฉากนี้พร้อมกับเสียงอุทาน “นั่นแขนอาภรณ์ฟ้าดิน!”

“ว่ากันว่านี่คือสมบัติของภูเขาเหลยยิง ซึ่งเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมที่มีมิติเป็นของตัวเอง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดยังไม่สามารถหลบหนีได้เมื่อถูกขังอยู่ในนั้น!”

เมื่อได้ยินเสียงอุทานเหล่านั้น ใบหน้าของจอมยุทธ์ตำหนักมู่ก็เปลี่ยนไป พวกเขาบอกได้เลยว่าเจ้าภูเขาเหลยยิงตั้งใจจะดักจับร่างดวงจิตของมู่เฉินไว้ชั่วคราว เพื่อทั้งสามคนจะได้พุ่งเป้าไปที่ร่างหลักของมู่เฉิน

ตู้ม ตู้ม!

ขณะที่แขนเสื้อขนาดใหญ่สะบัดไปมา เสียงดังก้องก็มาพร้อมกับการโจมตีที่น่ากลัวอย่างต่อเนื่องจากแขนเสื้อด้านใน ทำให้แขนเสื้อสั่นพั่บรุนแรงพร้อมกับรอยแตกเริ่มปรากฏขึ้น

เมื่อเจ้าภูเขาเหลยยิงเห็นภาพนี้ก็รู้สึกปวดหัวใจ แม้ว่าแขนอาภรณ์ฟ้าดินจะทรงพลัง แต่การดักจับสองคนไว้แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าเขาจะทำสำเร็จ แต่อาวุธล้ำค่าก็จะได้รับความเสียหายอย่างมากเช่นกัน

“ไม่ต้องปวดใจ รอให้ลบล้างตำหนักมู่ สมบัติในวังสวรรค์บรรพกาลสามารถชดเชยความสูญเสียของเจ้าได้สบาย” เจ้าอินทรีทองเอ่ยอยู่ด้านข้าง

เมื่อได้ยินเจ้าภูเขาเหลยยิงก็พยักหน้า

“อย่าเสียเวลา ไปจัดการกับร่างหลักของมู่เฉินเถอะ แขนอาภรณ์ฟ้าดินสามารถดักจับร่างดวงจิตได้เพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้น” เจ้าภูเขาเหลยยิงพูด

“ไป!”

เจ้าอินทรีทองพยักหน้า ทั้งสองกลายเป็นริ้วแสงเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและเจ้าเมฆาม่วง

ตู้ม!

มู่เฉินและเจ้าเมฆาม่วงปะทะกันจังใหญ่ คลื่นหลิงรุนแรงสร้างหายนะไปทั่ว ฝ่ายหลังถอยกลับและทรงตัว ทว่าแม้ครั้งนี้เขาจะไม่สามารถคว้าตำแหน่งเหนือกว่าได้ แต่ก็มีรอยยิ้มน่าขนลุกบนใบหน้า

“มู่เฉิน สุดท้ายแกก็ต้องจ่ายราคาสำหรับความหยิ่งผยอง”

มู่เฉินหรี่ตาลง เอียงศีรษะเล็กน้อยก็เห็นเจ้าอินทรีทองและเจ้าภูเขาเหลยยิงปรากฏตัวอยู่ไม่ไกล ปิดเส้นทางหนีทีไล่ของเขาไว้หมดแล้ว

มู่เฉินขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ตอนร่างรองถูกขังไว้ในแขนอาภรณ์ฟ้าดิน แต่ดูเหมือนมันจะจัดการลำบากกว่าเมฆาม่วงเทวะ ทำให้ร่างรองของเขาไม่สามารถหลุดพ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

“ท่าทางข้าจะประเมินพวกเจ้าต่ำเกินไป”

มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ การจัดการกับจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าที่จะจัดการกับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ในตอนนี้เขาถือได้ว่าอยู่ยงคงกระพันในหมู่จอยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพวกที่สัมผัสระดับเทียนจื้อจุน เขาก็ยังต้องระวังหนัก

เมื่อขั้วอำนาจอื่นๆ บนที่ราบเป่ยยู่เห็นฉากนี้ก็ได้แต่ส่ายหัว ดูเหมือนว่าการต่อสู้ในวันนี้ได้ถูกกำหนดแล้ว การเผชิญหน้ากับผู้นำทั้งสาม สุดท้ายมู่เฉินก็ต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ทว่าเขาสามารถบังคับให้ผู้นำทั้งสามต้องร่วมมือกัน ต่อให้วันนี้จะพ่ายแพ้แต่มู่เฉินก็ควรภาคภูมิใจแล้ว

“ประมุขมู่ ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์แค่ไหน บางครั้งก็ต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเอง พิจารณาสถานการณ์ให้ดีๆ… วันนี้ถือว่าเป็นบทเรียนก็แล้วกัน หวังว่าเจ้าจะดูตาม้าตาเรือมากขึ้นในอนาคตนะ” เจ้าภูเขาเหลยยิงถอนหายใจ

แต่สายตากลับฉายแววเย็นชาในที ‘แน่นอนว่าเขาต้องมีอนาคตให้ได้ก่อน…’

เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าภูเขาเหลยยิง มู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ และยิ้ม “วันนี้ข้าได้รับคำชี้แนะแท้จริง…”

พูดไป เขาก็หยุดชั่วคราวก่อนจะพูดต่อ “แต่ก็มีบางอย่างที่ข้าจะชี้แนะเจ้าเช่นกัน”

“โอ้?” เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้ม

มู่เฉินยิ้มบาง จากนั้นผลึกแสงก็เบ่งบานในดวงตา เจดีย์ทะยานออกมาพลิ้วลงบนฝ่ามือของเขา

มู่เฉินถือเจดีย์พุทธะไว้พลางเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาทั้งสามพร้อมกับเจตนาฆ่าผสานอยู่ในน้ำเสียงที่ค่อยๆ สะท้อนออกมา

“บางครั้งการเฉลิมฉลองไปก่อนอาจทำให้เจ้ากลายเป็นตัวตลก…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท