หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1356

ตอนที่ 1356

บรรยากาศในภูมิภาคทางเหนือรื่นเริงและร้อนแรง

เนื่องจากการปรากฏตัวของมู่เฉินประมุขผู้ลึกลับของตำหนักมู่บวกกับความทะเยอทะยานที่มีที่จะให้ตำหนักมู่กลายเป็นหนึ่งในเจ้าจักรวรรดิเหนือ

ความทะเยอทะยานของเขานี้ ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในจักรวรรดิเหนือทั้งหมด ความโกลาหลเกิดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

เมืองหนึ่งในภูมิภาคเหนือ

โรงเตี๊ยมขนาดเล็กในเมืองนี้กำจายบรรยากาศคุกรุ่น เนื่องจากความร้อนแรงทั่วภูมิภาค

ประเด็นร้อนแรงที่พูดถึงเกี่ยวกับความตั้งใจของตำหนักมู่ในการเป็นหนึ่งในเจ้าจักรวรรดิทางเหนือ…

“หึ ข้าว่าประมุขมู่หยิ่งผยองเกินไป จักรวรรดิเหนือกว้างใหญ่และน้ำนิ่งไหลลึกนัก แม้ว่าตำหนักมู่จะรวบรวมภูมิภาคทางเหนือไว้เป็นหนึ่งเดียว แต่ก็มีพลังในระดับกลางเท่านั้นย่อมไม่สามารถแข่งขันกับขั้วอำนาจทั้งสามได้!”

“ถึงตอนนั้นข้ากลัวว่าความโกรธของสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองจะทำให้พื้นที่ภูมิภาคทางเหนือทั้งหมดกลายเป็นแม่น้ำเลือด!”

“เอ… แม้ว่าประมุขมู่ของเราจะอายุน้อย แต่เขาก็มีพรสวรรค์ เมื่อไม่นานมานี้ผู้อาวุโสสามคนของสำนักเมฆาม่วงแสดงอำนาจบาตรใหญ่เพื่อข่มตำหนักมู่ แต่พวกเขาก็ถูกจัดการโดยท่านประมุขอย่างง่ายดายตามความคิดของข้าพลังของประมุขไม่ได้ด้อยไปกว่าประมุขทั้งสามเลย!”

“เจ้าพูดถูก ด้วยความสามารถของประมุข ตำหนักมู่ของเราก็ไม่จำเป็นต้องลดระดับตนเองลง ต่อให้ต้องสู้กันแล้วไง ข้ายิ่งกังวลว่าผลงานจะไม่พอให้ได้รับป้ายยุทธ์ทะเลสาบสวรรค์ในปีอยู่เลย”

“ทะเลสาบสวรรค์เป็นของดีแท้จริง มีข่าวลือว่าที่นั่นเป็นดินแดนฝึกฝนศักดิ์สิทธิ์ที่วังโบราณทิ้งไว้ ข้าเคยได้ยินว่ามีหอคัมภีร์เทพซ่อนอยู่ภายในด้วย ถ้ามีโชคชะตาได้เข้าไปในนั้น สามารถได้รับกระทั่งวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มเลย!”

“เฮ้ แม้ว่าจะของดี แต่ก็ต้องมีชีวิตเพื่อที่จะเพลิดเพลิน พลังที่อยู่เบื้องหลังทั้งสามขั้วอำนาจคือขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ ต่อให้ประมุขมู่จะประสบความสำเร็จ แต่ภูมิภาคทางเหนือก็ยังคงต้องทนทุกข์ทรมานหากทำให้ขั้วอำนาจเหล่านั้นโกรธ”

“เพื่อเติมเต็มความทะเยอทะยานของตนเอง ประมุขมู่นำภูมิภาคทางเหนือทั้งหมดไปพร้อมกันนี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ”

“…”

บทสนทนาหลากประเภทกระจายในโรงเตี๊ยม

ที่มุมหนึ่งมั่นถัวหลัวนั่งฟังการพูดคุยเหล่านั้นอย่างสงบ ด้านข้างเทียนจิ้ว หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็ขมวดคิ้วแน่น

“ท่านมั่นถัวหลัวทั่วทั้งภูมิภาคทางเหนือกำลังคุยกันเรื่องนี้และก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ… ซึ่งดูแล้วเหมือนจะไม่ถูกต้อง” เทียนจิ้วเอ่ย

ช่วงเวลานี้การสนทนาราวกับโรคระบาดที่แพร่กระจายไปทั่ว ความเร็วก็นับว่าผิดปกติไปหลายส่วน

ดวงตาของมั่วถัวหลัวกะพริบวูบไหว “เจ้ากำลังบอกว่ามีใครอยู่เบื้องหลังรึ?”

เทียนจิ้วพยักหน้า “ข้ากลัวว่ามีคนพยายามใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ผู้คนภูมิภาคทางเหนือเกิดความหวั่นไหว”

“กลยุทธ์ของสำนักเมฆาม่วง”

มั่นถัวหลัวพูดเบาๆ นางรับรู้เรื่องนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นนางจึงส่งคนไปสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ เมื่อเร็วๆ นี้มีสมาชิกจากสำนักเมฆาม่วงแฝงตัวเข้ามาในภูมิภาคทางเหนือและโหมกระพือข่าวลือไปทั่ว

แม้ว่าจะไม่สามารถสั่นคลอนรากฐานของตำหนักมู่ได้ แต่ก็นับว่าน่ารังเกียจ นอกจากนี้หากตำหนักมู่กลับมามือเปล่าจากการประชุมจักรวรรดิเหนือ ก็อาจทำให้ชื่อเสียงศักดิ์ศรีของตำหนักมู่ลดลงอย่างมีนัย ซึ่งส่งผลให้ภูมิภาคทางเหนือแตกแยกกันได้

หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็อาจมีขั้วอำนาจมากมายคอยจับตาดู เนื่องจากวังสวรรค์บรรพกาลของตำหนักมู่ได้รับความสนใจจากขั้วอำนาจมากมาย

“หน้าด้าน” หลิ่วเทียนเต้าสบถ พวกเขาเป็นสมาชิกของตำหนักมู่ ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่ต้องแค้นเคืองกับการกระทำที่บ้าบอของสำนักเมฆาม่วง

มั่นถัวหลัวโบกมือพูดอย่างเย็นชาว่า “ออกคำสั่งตรวจสอบเมืองทั้งหมดในภูมิภาคทางเหนือ หากเจอใครที่มาจากสำนักเมฆาม่วงพยายามที่จะโน้มน้าวผู้คนในภูมิภาคทางเหนือ ก็ให้จับกุมและ…”

นางวาดมือออกไปเบาๆ พร้อมกับรัศมีเย็นเยือก

ในเมื่อสำนักเมฆาม่วงต้องการเล่นแง่ ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่ตำหนักมู่ต้องสุภาพ มาเท่าไรก็จัดการให้เรียบ

หัวใจของพวกหลิ่วเทียนเต้าสั่นไหวเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว ดูเหมือนว่าครั้งนี้มั่นถัวหลัวจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดแล้ว

“ในเมื่อมู่เฉินต้องการให้ตำหนักมู่เป็นหนึ่งในเจ้าจักรวรรดิเหนือ เราก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือ แม้ว่าพวกการต่อสู้ชั้นแนวหน้าต้องให้เขาเป็นคนไปจัดการ แต่เรื่องกลยุทธ์ลับหลังเราสามารถช่วยแบ่งเบาได้ ไม่งั้นตำหนักมู่เลี้ยงสมาชิกไว้เยอะขนาดนี้เพื่ออะไรกันล่ะ?” มั่นถัวหลัวเอ่ยเบาๆ

“รับทราบ!”

ทุกคนพยักหน้ารับทราบ

หลังจากเงียบไปชั่วครู่หลิ่วเทียนเต้าก็อดถามไม่ได้ “ท่านมั่นถัวหลัว ท่านคิดว่าประมุขจะสามารถแข่งขันกับจอมยุทธ์อย่างเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองได้จริงหรือ?”

เห็นได้ชัดว่าแม้แต่คนผ่านศึกโชกโชนอย่างหลิ่วเทียนเต้าก็ยังกังวลเกี่ยวกับการประชุมที่กำลังจะมาถึง ถึงยังไงสามคนนั่นก็เป็นจอมยุทธ์ที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน ชื่อเสียงของพวกเขาได้รับการสลักไว้อย่างลึกซึ้งในหัวใจของทุกคนในจักรวรรดิเหนือ

แม้ว่ามู่เฉินทรงพลังอีกหลายส่วนหลังจากกลับมา แต่ชื่อเสียงก็ยังด้อยกว่าพวกเก่าแก่ที่อยู่ในจักรวรรดิเหนือมาเป็นเวลานาน

มั่นถัวหลัวที่ได้ยินก็หันไปมองหลิ่วเทียนเต้า

อีกฝ่ายยิ้มแหยออกมาช้าๆ “ท่านมั่นถัวหลัว ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อในตัวประมุข แต่เรื่องนี้สำคัญมากกับการที่ตำหนักมู่จะทะยานหรือดับวูบก็ต้องอาศัยสิ่งนี้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะกังวล”

มั่นถัวหลัวไม่ได้ตำหนิอะไร เพราะนี่เป็นการตัดสินใจกะทันหันของมู่เฉินอยู่เหมือนกัน ขณะที่ชื่อเสียงของประมุขทั้งสามเลื่องลือในจักรวรรดิทางเหนือมาเนิ่นนาน ในอดีตก็มีขั้วอำนาจอื่นพยายามที่จะต่อต้าน แต่ก็ไม่มีใครประสบผลสำเร็จ…

ดังนั้นในภูมิภาคทางเหนือนอกจากนางแล้ว คงไม่มีใครมั่นใจว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จได้

นี่เป็นการเดิมพันของมู่เฉินอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเขาสามารถทำลายสถานการณ์ระหว่างสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองได้อย่างแท้จริง ตำหนักมู่ก็จะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวแต่เพียงผู้เดียวของจักรวรรดิเหนือ

ในอนาคตเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมตำหนักมู่อาจสามารถปกครองกระทั่งทวีปเทียนหลัว เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาประสบความสำเร็จก็จะอยู่ในระดับเดียวกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูที่กลายเป็นเพชรยอดคทาในมหาพันภพ

แน่นอนว่าถ้ามู่เฉินถูกหยุดโดยประมุขทั้งสามในการประชุม ตำหนักมู่ต้องกลับมาอย่างสูญเปล่า นี่จะเป็นการระเบิดอย่างมีนัยสำคัญต่อขวัญกำลังใจของตำหนักมู่ ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นการทำลายล้าง ในเวลานั้นสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองก็จะเข้ามารุมทึ้ง เพราะพวกเขาต่างหวังจะครอบครองวังสวรรค์บรรพกาล

ภายใต้การขัดขวางมีโอกาสสูงที่ตำหนักมู่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ

นี่เป็นผลที่ร้ายแรงซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกหลิ่วเทียนเต้ารู้สึกกังวล

ทว่ามั่นถัวหลัวไม่ได้ปลอบใจพวกเขามาก กลับมีรอยยิ้มจางบางปรากฏขึ้น “พวกเจ้าจะคิดอย่างไรข้าบังคับอะไรไม่ได้ แต่ข้ารู้ว่ามู่เฉินเป็นคนที่จักรพรรดิฟ้าเลือก ขณะเดียวกันแม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยังยอมรับในตัวเขา ยอมที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา…”

“พวกเจ้าคิดว่าสายตาของตัวเองเทียบกับสามคนนั่นแล้วเป็นเช่นไร?”

ทิ้งประโยคนี้ไว้นางก็โบกมือจากไป

คนอื่นๆ สบสายตากัน ก่อนที่พวกเขาจะถอนหายใจและรู้สึกโล่งอกในใจ จักรพรรดิฟ้า เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามมีใครที่ไม่ใช่ยอดยุทธ์? พวกเขามองการณ์ไกลแค่ไหน มิหนำซ้ำยังมีทัศนคติที่ดีกับมู่เฉิน ดังนั้นนั่นจึงบ่งบอกถึงศักยภาพที่ประมุขของพวกเขามี

การมีเจ้านายเช่นนี้ ในอนาคตพวกเขาจะไม่ต้องเสียใจ ตราบเท่าที่พวกเขาติดตามและพยายามช่วยเหลือสุดกำลัง

เวลาผ่านไปในภูมิภาคทางเหนือ

บรรยากาศก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากการประชุมจักรวรรดิเหนือที่จะเกิดขึ้น ทว่าจากการกระทำแบบลับๆ ของมั่นถัวหลัวก็ส่งผลให้ขวัญกำลังใจในตำหนักมู่พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง ผู้คนที่พยายามเผยแพร่ข่าวลือสลายกลายเป็นอากาศธาตุจนหมดสิ้น

ทว่านี่ก็เป็นเฉพาะในพื้นที่ภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น สำหรับจักรวรรดิเหนือหลายคนเฝ้าดูจากข้างสนามด้วยความสงสารและเยาะเย้ย

ท้ายที่สุดแล้วภูมิภาคทางเหนือไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับดินแดนจักรวรรดิเหนือทั้งหมด ที่นั่นทั้งวุ่นวายและยุ่งเหยิงไร้ความสามัคคี ตอนนี้เพิ่งจะรวมเป็นหนึ่งเดียวก็มีผู้ปกครองใหม่ที่หยิ่งผยองต้องการท้าทายอำนาจของสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง…

ในอดีตขั้วอำนาจที่มีความทะเยอทะยานเช่นนี้จะถูกลบล้างไปตามกาลเวลา

ดังนั้นจากมุมมองของพวกเขาตำหนักมู่ก็จะกลายเป็นตัวตลกในการประชุมจักรวรรดิเหนือ…

ท่ามกลางความโกลาหลนี้ เวลาก็เข้าใกล้การเปิดสภาจักรวรรดิเหนือ

ตำหนักมู่ ภูมิภาคทางเหนือ

กองบัญชาการใหญ่เต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมายที่มารวมตัวกัน เห็นได้ชัดว่านี่คือความมีชีวิตชีวาของตำหนักมู่ในปัจจุบัน

ด้านนอกโถงมั่นถัวหลัวมองความผันผวนของคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต ก่อนที่จะหันไปมองไปยังทิศทางของวังโบราณคิ้วของนางขมวดเป็นปมอย่างกังวล

มู่เฉินยังไม่ออกมาเลยนับตั้งแต่เข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อน

แต่วันนี้ถึงเวลาที่ต้องไปยังสภาจักรวรรดิเหนือ ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันแล้ว ถ้ามู่เฉินไม่แสดงตัวนี่จะเป็นเรื่องตลก ขวัญกำลังใจทั้งหมดที่ทุกคนรวบรวมมาตลอดเดือนที่ผ่านมาจะพังทลายเป็นอากาศธาตุ

“เจ้านั่น!”

มั่นถัวหลัวกำมือแน่นพลางกัดฟัน

แต่ยามนี้นางไม่สามารถแสดงความกังวลใดๆ นางได้แต่เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่ห้อยอยู่บนท้องฟ้า จอมยุทธ์ที่มารวมตัวกันก็เริ่มกระซิบกระซาบเนื่องจากมู่เฉินยังไม่ปรากฏตัว

เมื่อเห็นหัวใจของทุกคนเริ่มสั่นคลอน มั่นถัวหลัวก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่คิดจะพูดปลอบใจ มิติก็ผันผวนอยู่ข้างๆ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งอ่อนเยาว์จะเดินออกมาภายใต้สายตาของทุกคน

“คารวะท่านประมุข!”

เมื่อภาพเงานั้นปรากฏขึ้น เสียงสั่นสะเทือนฟ้าดินก็ดังต้อนรับการมาถึงของเขา

เมื่อมองไปที่กองทัพใหญ่มู่เฉินก็พยักหน้าก่อนที่จะยิ้มให้มั่นถัวหลัว จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นสะบัดเบาๆ พร้อมกับเสียงสะท้อนระหว่างฟ้าดิน

“เคลื่อนพล!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท