น้ำชาพ่นฝอยลอยเบื้องหน้ามู่เฉิน
ก่อนที่ละอองน้ำจะตกลงบนร่างไป๋ซู่ซู่ ทำให้ร่างกายนางสั่นสะท้านไปใหญ่ นางรู้สึกอับอายมากกับการทำเช่นนี้ แต่นางก็อดทนกัดฟันแน่น เนื่องจากนางรู้ว่าความหวังของโลกใบนี้อยู่ที่ชายหนุ่มที่เบื้องหน้านาง
หากเขาสามารถสอนพลังนั้นให้พวกนางได้ ความสิ้นหวังก็จะต้องหมดไป
ดังนั้นนางจึงคุกเข่าเบื้องหน้ามู่เฉินต่อไปราวกับแกะน้อยที่เชื่อฟังพร้อมกับผิวเปล่งประกาย
มู่เฉินลูบคราบชาออกจากคางขณะที่ควบคุมสายตาแล้วกระแอมไอ “รีบสวมเสื้อผ้าของเจ้าเร็วๆ”
เมื่อได้ยินเสียงของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็กัดฟันตัวสั่น “โปรดทำความปรารถนาของข้าให้เป็นจริงด้วยท่านเทพ!”
มู่เฉินโบกมือเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นคลุมร่างไป๋ซู่ซู่ก่อนที่เขาจะก้มหัวลง “ข้าไม่สามารถสอนพลังให้พวกเจ้าได้จริงๆ”
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของมู่เฉินใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ก็ซีดลง ทว่านางไม่กล้าที่จะทำให้มู่เฉินโกรธ จึงได้เพียงแค่ลุกขึ้นยืนเฉยๆ
แม้ว่าเสื้อผ้าจะปกคลุมร่างกายส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีรอยบางๆ เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้า
“แม้ว่าข้าจะสอนวิธีการเพาะบ่มพลังไม่ได้ แต่ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำลายเผ่าเสี่ยเสียในโลกนี้ให้หมดสิ้นก่อนที่จะจากไป” มู่เฉินกล่าวอย่างเคร่งขรึมขณะมองไปที่ไป๋ซู่ซู่
สีหน้าของไป๋ซู่ซู่เริ่มดีขึ้น แต่นางยังคงมองมู่เฉินด้วยสายตาน่าสงสาร “ท่านเทพดูถูกข้าหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่เพื่อมนุษยชาติข้าจะไม่ทำให้ตัวเองเสื่อมเสียแม้จะต้องตาย”
มู่เฉินส่ายหน้าตอบกลับ “ตรงกันข้ามข้าชื่นชมเจ้าหลายส่วนเลย”
นางเป็นสตรีบอบบาง แต่กลับยอมทำถึงขนาดนี้ ซ้ำยังยอมคุกเข่าร้องขอเพื่อราษฎร เพียงแค่นี้อย่างเดียวก็ทำให้เขาชื่นชมนางมาก
เมื่อเห็นสายตาจริงใจของมู่เฉินหัวใจของไป๋ซู่ซู่ก็สั่นไหว นางรู้สึกถึงรสเปรี้ยวก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ที่ผ่านมานางมุ่งมั่นต่อหน้าทุกคน แต่ยามนี้นางได้ลบภาพนั้นออก เปิดเผยตัวตนแท้จริงออกมา
“ขอบคุณ” นางขอบคุณมู่เฉินสำหรับความเข้าใจที่มี
มู่เฉินพยักหน้า “เจ้าต้องเชื่อข้า ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง แต่ไม่มีทางจริงๆ”
ไป๋ซู่ซู่รู้สึกผิดหวัง แต่นางก็พยักหน้าก่อนที่จะยิ้มให้มู่เฉินพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านเทพก็สูญเสียโอกาสที่ดีไป”
“แน่นอนว่าถ้าท่านเทพสนใจก็สามารถจีบข้าได้นะ ข้ามีคนไล่จีบมากมาย เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ท่านได้เปรียบกว่าหลายส่วน”
เมื่อได้ยินคำพูดก๋ากั่นของนาง มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแห้ง นางยั่วเขาอยู่เหรอเนี่ย?
“แฮ่ม มาพูดถึงเรื่องหลักกันดีกว่า” มู่เฉินทนการยั่วของไป๋ซู่ซู่ไม่ได้ เขาจึงกระแอมไอเปลี่ยนหัวข้อ
เมื่อเห็นท่าทางน่าอึดอัดของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็ปิดปากหัวเราะเบาๆ พร้อมดวงตางดงามพราวระยับ ชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจเลยทีเดียว เขาทรงพลังมาก แต่ก็มีความยับยั้งชั่งใจในตัวเอง ไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งอื่น
ไป๋ซู่ซู่เข้าใจถึงความเย้ายวนที่นางครอบครองและนางก็มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้วจากผู้ติดตามทั้งหมดที่มี
แต่ทั้งที่มู่เฉินสามารถกลืนกินนางได้มากเท่าที่ต้องการ ตั้งแต่นางเลือกเปลือยกายเบื้องหน้าเขา ไป๋ซู่ซู่รู้สึกได้ว่ามู่เฉินมีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับผู้ชายทุกคน แต่เขายับยั้งตัวเองไว้ได้
เมื่อคนคนหนึ่งมีพลังถึงระดับที่สามารถเพิกเฉยต่อกฎทั้งหมด น้อยมากที่จะเห็นคนคนนั้นยังมีความอดทนอดกลั้นเช่นนี้
ดังนั้นไป๋ซู่ซู่จึงรู้สึกว่ามู่เฉินน่าสนใจยิ่งนัก
“ท่านเทพ มีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งหมดหกคนในเผ่าเสี่ยเสีย แต่ตอนนี้เหลือแค่ห้าแล้ว” ไป๋ซู่ซู่รินชาให้มู่เฉินอีกครั้งขณะที่เริ่มอธิบาย
“ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตจากสามในห้าอยู่ที่ภูเขาเสี่ยหมัว ขณะที่อีกสองคนอยู่ทางทิศเหนือและทิศตะวันตก”
ดวงตาของมู่เฉินสว่างวาบ ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งห้าไม่ได้รวมตัวกัน ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา
เขามองไปที่ไป๋ซู่ซู่ “ถ้าสู้ตัวต่อตัว ข้าสามารถจัดการกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้ แต่ถ้าพวกเขาทั้งห้ารวมกลุ่มกันละก็ สถานการณ์หายนะแน่”
“ดังนั้นถ้าอยากรับประกันชัยชนะ เราต้องลดจำนวนพวกเขาให้เหลือสามคน”
ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่เคร่งเครียดลง “ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองที่กำลังลาดตระเวนทั่วโลกก็เป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด”
“ท่านเทพ ข้าจะออกคำสั่งให้ปิดข้อมูลทั้งหมด จะไม่ยอมให้ข้อมูลแพร่งพรายออกไป แต่จากการประมาณการข้าสามารถปิดข้อมูลได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนอื่นๆ จะสังเกตเห็นการหายตัวไปของพรรคพวก”
“ครึ่งเดือน…” มู่เฉินขมวดคิ้ว เขาไม่มีข้อมูลการเดินทางที่แน่นอนเกี่ยวกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสอง ดังนั้นหากเขาตามหา ครึ่งเดือนอาจไม่เพียงพอ
“ท่านเทพ มอบหน้าที่ติดตามผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองไว้กับข้าเถอะ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อค้นหาเส้นทางของพวกเขา” ไป๋ซู่ซู่ยิ้มหวาน
“โอ้?” มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจมองไปที่ไป๋ซู่ซู่ เขาไม่คิดมาก่อนว่าพวกนางจะสามารถค้นหาร่องรอยของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้
เผชิญหน้ากับสายตาประหลาดใจของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็ยิ้มขมขื่น “เรามีประชากรจำนวนมากที่อยู่ภายใต้เผ่าเสี่ยเสีย ทุกคนต้องทนทุกข์กับความอัปยศอดสูเพื่อให้ข้อมูลแก่เรา”
มู่เฉินเงียบไป เขารู้ว่ามีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับข้อมูลเหล่านั้น
“ท่านเทพลังเลทำไม? ตราบใดที่เราสามารถกำจัดเผ่าเสี่ยเสียและปล่อยให้มวลมนุษยชาติอยู่ในโลกนี้อย่างมีศักดิ์ศรี เราก็ไม่กลัวแม้ว่าจะต้องเผชิญกับความตาย” ไป๋ซู่ซู่ยิ้มหลังจากเห็นความลังเลของมู่เฉิน
มู่เฉินถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก มีการเสียสละเพื่อภาพรวมเสมอ ดังนั้นการพยายามทำให้สมบูรณ์แบบคือความคิดแบบเด็กๆ
“ข้าจะฝากข้อมูลให้เจ้า ส่วนผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็ทิ้งไว้ให้ข้าได้เลย” มู่เฉินกล่าวช้าๆ
ไป๋ซู่ซู่ยิ้มก่อนที่จะก้มลงมองผิวเป็นจ้ำบนหน้าอก นางก็ยิ้ม “เวลาแบบนี้ ท่านดูทรงพลังนัก”
มู่เฉินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าต้องการความช่วยเหลืออีกเรื่อง”
“โปรดบอกมา” ไป๋ซู่ซู่นั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ้อยอิ่งขณะที่ลูบปอยผมพลางยิ้ม “ตราบใดที่เจ้าประสงค์ แม้ร่างกายของข้าก็เป็นของเจ้า ข้าจะไม่คร่ำครวญอะไรแน่นอน”
มู่เฉินไม่สนใจประโยคของนาง เขาโบกมือ แสงหลิงก็พุ่งออกจากหว่างคิ้วก่อนที่ถักทอเป็นหน้าจอแสงที่มีรูปภาพอยู่ในนั้น
นี่เป็นโลกที่มีกระแสสีแดงเข้มพลุ่งพล่าน ภาพเงาจำนวนมากทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าบนยอดเขา จุดนั้นมีหลุมวนมิติปรากฏขึ้น
จากนั้นร่างแสงเหล่านั้นก็หายเข้าไปภายใต้การไล่ล่าของร่างแสงสีแดงเข้มจำนวนนับไม่ถ้วน
มู่เฉินได้รับภาพเหล่านี้มาจากจอมยุทธ์มังกรขาว นี่คือภาพการหลบหนีออกไปของพวกเขา
มู่เฉินไม่รู้จักโลกนี้ เขาหวังว่าไป๋ซู่ซู่จะจดจำสถานที่ที่พรรคพวกจอมยุทธ์มังกรขาวออกไปได้ ตามการคาดเดา เขาน่าจะสามารถเรียกจิตวิญญาณของจอมยุทธ์มังกรขาวได้ที่นั่น และจะรู้ว่าที่เรียกว่า ‘โอกาส’ คืออะไรกัน
“ข้าอยากรู้ว่าสถานที่นี้อยู่ที่ไหนหรือ” มู่เฉินชี้ไปที่หน้าจอแสงก่อนจะหันไปมองไป๋ซู่ซู่
ทว่าเมื่อหันหน้าไปเขาก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นน้ำตาไหลอาบแก้มของไป๋ซู่ซู่ นางอึ้งไปขณะมองหน้าจอแสง
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เฉินขมวดคิ้ว
“ท่านเทพมีภาพเหล่านี้ได้อย่างไร?!” ไป๋ซู่ซู่เช็ดน้ำตาขณะที่พูดตะกุกตะกัก
มู่เฉินยักไหล่ “ข้ามาที่นี่เพราะคำขอร้องของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ทำไมหรือ? เจ้ารู้จักพวกเขาไหม”
ไป๋ซู่ซู่เช็ดน้ำตาออกขณะที่พึมพำ “พวกเขาไม่ได้ทอดทิ้งเรา…”
นางเงยหน้าขึ้นพยักหน้าไปทางมู่เฉิน
“ท่านเทพ พวกเขาเป็นบรรพบุรุษของข้า”
“ภูเขาลูกนี้มีชื่อภูเขาเซิ่งหลง แต่ตอนนี้ถูกเรียกว่าภูเขาเสี่ยหมัวซึ่งเป็นกองบัญชาการใหญ่ของเผ่าเสี่ยเสีย!”