หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1398

ตอนที่ 1398

รัศมีศพลอยอ้อยอิ่งในโลกมืดมิด

ทันใดนั้นร่างเงาปีศาจบนบัลลังก์ก็สั่นสะท้าน ดวงตาเบิกโพลงด้วยความโกรธ

“ไอ้เทพจักรพรรดิสงคราม!”

เขาร้องโหยหวนก่อนที่รัศมีศพไม่มีที่สิ้นสุดจะแผ่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ทำให้สิ่งมีชีวิตสั่นสะท้านภายใต้ความกลัว

ความโกรธเกิดขึ้นยาวนาน ก่อนที่จอมปีศาจเทียนเฮยซือจะค่อยๆ สงบลง เขามองไปที่มือซ้ายซึ่งตอนนี้ไม่เหลือแม้แต่ตอ

รัศมีศพพรั่งพรูออกมา กลายเป็นมือใหม่สีดำ แต่ใบหน้าของจอมปีศาจเทียนเฮยซือกลับไม่น่าดู เขาปรับแต่งร่างกายมาทุกตารางนิ้วผ่านช่วงเวลานับไม่ถ้วน ดังนั้นแม้ว่าเขาจะสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ แต่พลังก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเดิม

สิ่งนี้จะสร้างข้อบกพร่องให้กับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ในอนาคตเมื่อเขาต่อสู้มือซ้ายก็จะเป็นจุดอ่อน…

จอมปีศาจเทียนเฮยซือกำมือด้วยสีหน้าเย็นเยือก จากนั้นก็มองไปในมิติห่างไกล ราวกับว่าเห็นผ่านมิติ สายตาจับจ้องไปที่ทิศทางของเทพจักรพรรดิสงครามเป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะละสายตาออกมา

“เทพจักรพรรดิสงคราม…น่าเกรงขามแท้จริง”

หลังจากหายหัวร้อนแล้ว ความกลัวหนาแน่นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาจอมปีศาจเทียนเฮยซือ แม้ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนกระบวนท่าสั้นๆ แต่เขาก็รู้สึกว่าถูกคุกคามโดยเทพจักรพรรดิสงคราม

“เทพจักรพรรดิสงครามประจำการที่ชายแดนระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจ จอมปีศาจระดับเทียนมากมายต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้เงื้อมมือของมัน ในอดีตข้ายังไม่ค่อยเชื่อ แต่ตอนนี้ข้ารู้ซึ้งแล้วว่ามันน่าเกรงขามขนาดไหน”

“เทพจักรพรรดิสงครามน่าจะเป็นชนชั้นนำของมหาพันภพ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คน… แต่ตามข่าวลือเทพจักรพรรดิอัคคีแคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากัน จากข้อมูล…ศักยภาพของพวกเขาอาจเทียบได้กับเทพจักรพรรดินิรันดร์ในมหาพันภพยุคโบราณ”

จอมปีศาจเทียนเฮยซือหรี่ตา หากเป็นเช่นนั้นทั้งสองคนก็คือศัตรูตัวฉกาจของจักรวรรดิปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย ในอนาคตถ้าสงครามอุบัติขึ้น พวกเขาก็จะเป็นผู้ขัดขวางเส้นทางของเผ่าปีศาจต่างๆ แน่นอน

“แต่โชคดีที่พลังทั้งหมดของเผ่าปีศาจน้อยใหญ่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามหาพันภพ ยิ่งกว่านั้น…” เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ แววเยาะเย้ยเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจอมปีศาจเทียนเฮยซือ

“จักรวรรดิปีศาจวางแผนมานานหลายหมื่นปี ช่วงเวลาที่เราประสบความสำเร็จ… แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถขัดขวางพวกข้าได้”

“หึ ตอนนี้ปล่อยให้พวกแกมีความสุขไปก่อน เมื่อแผนการของพวกข้าเสร็จสมบูรณ์ ข้าจะไปหาแกคิดทั้งต้นและดอกให้มือของข้าอย่างแน่นอน!”

จอมปีศาจเทียนเฮยซือตะเบ็งเสียงพลางโบกมือ รัศมีศพไม่มีที่สิ้นสุดแผ่กระจายไป ก่อนที่จะค่อยๆ ห่อหุ้มร่างเขาอันตรธานหายไป

ในพิภพเขตล่าง

มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อเห็นผลของการต่อสู้ ความเคารพนับถือวาบขึ้นในดวงตา แม้ว่าทั้งสองคนจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ความแตกต่างในด้านพลังของพวกเขาก็เผยให้เห็นทันทีที่ต่อสู้ แม้ว่าจอมปีศาจเทียนเฮยซือจะเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แต่ก็ยังอ่อนกว่ากับหลินต้ง

แม้ว่าตอนนี้เขาจะบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนที่เขาโหยหา แต่เขาก็รู้ว่ายังมีหนทางข้างหน้าอีกยาวไกล…

“สมกับเป็นท่านเทพจักรพรรดิสงครามในตำนานจริงๆ”

จอมยุทธ์มังกรขาวฟื้นจากอาการตกตะลึง ร่างกายถึงกับสั่นสะท้าน

มู่เฉินยิ้มก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขามองไปที่จอมปีศาจโลหิตอย่างไม่แยแส “มีไพ่ตายอะไรอีกไหม?”

จอมปีศาจโลหิตตัวสั่นสะท้าน ก่อนจะถอยหนีจ้าละหวั่น ร่างเขากลายเป็นลำแสงสีแดงเข้มพยายามที่จะหลบหนีไป เขาหมดกำลังใจที่จะต่อสู้แล้ว เขาไม่มีความหวังที่จะรักษาเผ่าพันธุ์ตนเองไว้ต่อไป ตอนนี้เขาหวังแค่ว่าจะพาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองรอดไปได้

“ต้องการความช่วยเหลือไหม?”

เสียงสง่างามดังขึ้นก่อนที่แสงจะพลิ้วลงมาข้างมู่เฉิน นี่ก็คือหลินต้งนั่นเอง

“สำหรับไอ้ตัวนั้น ไม่ต้องรบกวนผู้อาวุโสหรอก ข้าจัดการมันเองได้ขอรับ”

ขณะที่พูดร่างรองของเขาก็ทะยานขึ้นไล่ล่าจอมปีศาจโลหิตไป

“วิชาสามพิสุทธิ์ สมกับเป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่า…ดูเหมือนว่าเจ้าจะฝึกฝนจนสำเร็จแล้ว” หลินต้งมองไปที่ร่างรองของมู่เฉินพลางพยักหน้าชื่นชม

“ข้าแค่สืบทอดวิชามาเท่านั้น เป็นเพียงโชคดี” มู่เฉินส่ายหัวไม่ได้อิ่มเอมใจอะไร

“ทำไมต้องถ่อมตัว… แม้แต่ในมหาพันภพนี่ก็น่าตกใจที่เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนตั้งแต่อายุเท่านี้” หลินต้งยิ้มมองไปที่มู่เฉินด้วยความชื่นชม ครั้งก่อนที่เขาได้พบกับมู่เฉิน อีกฝ่ายยังไม่ได้ก้าวเข้าไปในระดับตี้จื้อจุนเลย แต่เวลาไม่ถึงสิบปีมู่เฉินกลับก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว

ความเร็วและความสามารถในการฝึกฝนของเขาถือว่าไม่ธรรมดา

มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากแก้เก้อจากคำชมของหลินต้ง เขาได้รับการฝึกฝนในมิติพิเศษซึ่งทำให้เวลาช้าลง ดังนั้นแม้ว่าเขาจะบรรลุเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนก็เหมือนใช้เวลาเพียงครึ่งวัน แต่เขากลับมีประสบการณ์หลายร้อยปีในมิตินั้น …

“นี่ถ้ายัยหนูน้อยของข้าสามารถทำงานหนักได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้าในการเพาะบ่มขุมพลังของนาง ข้าคงต้องตั้งโต๊ะกราบไหว้เพื่อขอบคุณสวรรค์” เมื่อคิดถึงลูกสาวแม้แต่ตำนานวีรบุรุษอย่างหลินต้งก็ยังรู้สึกปวดหัว

เมื่อนึกถึงนิสัยของหลินจิ้ง ซึ่งมักจะหนีออกจากบ้านตามที่ใจต้องการ แม้แต่มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ถ้าหลินจิ้งรู้ว่าเขานินทานางต่อหน้าบิดาของนางละก็ งานนี้นางบุกมาจัดการเขาแน่นอน

แต่โชคดีที่หลินต้งไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ เขากวาดมองพิภพเขตล่างจากนั้นก็ยิ้ม “ไม่คิดว่าที่นี่จะมีดวงจิตแห่งพิภพ เจ้าโชคดีจริงๆ”

เขาบอกได้ว่ามู่เฉินคือเจ้าพิภพนี้และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้ เขายืมพลังงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

ดวงจิตแห่งพิภพในพิภพเขตล่างหายากมาก แม้แต่ในมหาพันภพกระทั่งเผ่าโบราณยังถูกล่อลวง หากพวกเขาสามารถยืมพลังของดวงจิตแห่งพิภพได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะสามารถสร้างจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้อีกคน

“ผู้อาวุโสก็เป็นเจ้าพิภพด้วยใช่ไหมขอรับ? ข้าสงสัยประโยชน์ของมันคืออะไร…และข้าต้องทำยังไง?” มู่เฉินตกอยู่ในความลังเลและแสวงหาคำแนะนำ แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าพิภพ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร แต่โชคดีที่หลินต้งอยู่ที่นี่ ซึ่งคล้ายกับเจ้าพิภพรุ่นพี่

หลินต้งยิ้ม “มีประโยชน์มากมายในฐานะเจ้าพิภพ ในอนาคตเมื่อเจ้าต่อสู้กับคนอื่น แค่คิดในการเชื่อมต่อกับโลกที่นี่ ก็จะสามารถดึงพลังงานออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นเจ้าจะมีความได้เปรียบโดยธรรมชาติเมื่อต่อสู้กับผู้อื่น”

เมื่อมู่เฉินได้ยินหัวใจก็สั่นสะท้าน หากเป็นเช่นนั้นเขาก็สามารถใช้พิภพนี้เพื่อเติมเต็มคลื่นหลิงทุกครั้งที่ต้องการเมื่อใช้วิชาเจดีย์แปดองค์และกองทัพมังกรดำ ซึ่งช่วยประหยัดปัญหาได้ไม่น้อย

“แต่เจ้าต้องควบคุมให้ดี ที่นี่เป็นเพียงพิภพเขตล่าง ถ้าเจ้าสกัดพลังออกมามากเกินไป โลกใบนี้ก็จะพังทลายลง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนก็จะพินาศไปด้วย” หลินต้งเตือน

มู่เฉินพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตอนนี้เขากลายเป็นเจ้าพิภพนี้แล้ว เขาสามารถชี้เป็นชี้ตายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่นี่ได้อย่างง่ายดาย หากเขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เขาอาจนำความพินาศมาสู่ที่นี่เอง

“ข้าสัญญากับดวงจิตแห่งพิภพว่าจะปกป้องโลกใบนี้ ไม่ยอมให้ถูกรุกรานจากเผ่าปีศาจ แต่ในเมื่อเผ่าเสี่ยเสียสามารถเข้ามาได้ หมายความว่าจักรวรรดิปีศาจมีพิกัดพื้นที่พิเศษ หากไม่จัดการให้ดีก็อาจมีเผ่าอื่นบุกเข้ามาในระนาบนี้อีก” มู่เฉินกล่าว

เมื่อหลินต้งได้ยินคำพูดนั่นก็ตอบว่า “นั่นง่ายมาก ในเมื่อเจ้าเป็นเจ้าพิภพของพิภพเขตล่างแห่งนี้ เจ้าก็จะมีความสามารถในการเคลื่อนย้ายมิตินี้ได้โดยธรรมชาติ เพียงแค่ย้ายไปไว้ในที่ปลอดภัย พิกัดพื้นที่ก็จะเปลี่ยนไปเอง”

ดวงตาของมู่เฉินเป็นประกาย หากเป็นเช่นนั้นเขาก็สามารถย้ายพิภพนี้ไปไว้ที่ทวีปเทียนหลัวและคิดวิธีเชื่อมโยงกับมหาพันภพ ในอนาคตจอมยุทธ์ที่สามารถผ่านระนาบมิตินี้ไปได้ก็สามารถเข้าร่วมกับตำหนักมู่ของเขาได้

ผู้ที่สามารถบรรลุสิ่งนี้ได้นั้นเป็นอัจฉริยะโดยธรรมชาติ พวกเขาอาจเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในอนาคตซึ่งขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในมหาพันภพโหยหานัก ก็เป็นธรรมดาที่ตำหนักมู่จะไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปง่ายๆ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็หันไปมองไปที่ไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะเชื่อมต่อที่นี่กับมหาพันภพในอนาคตเพื่อเพิ่มคุณภาพพลังงานของพิภพนี้ ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถข้ามระนาบมิติของพิภพนี้ไปได้ ตำหนักมู่ของข้ารอต้อนรับพวกเจ้าทุกคนเสมอ”

เมื่อไป๋ซู่ซู่และเหล่าชาวโลกได้ยินเช่นนั้นก็พากันดีใจ พวกเขารู้ชัดเจนว่านี่เป็นโอกาสสำหรับพิภพของพวกเขา ด้วยเจ้าพิภพมู่เฉินพวกเขาก็ไม่ต้องกลัวเผ่าปีศาจน้อยใหญ่ในอนาคต มิหนำซ้ำยังสามารถแสวงหาระดับที่สูงขึ้นในการฝึกฝน

มู่เฉินยิ้มจากนั้นก็เห็นร่างแสงสองร่างพาดผ่านขอบฟ้า พวกเขาก็คือร่างรองของเขานั่นเอง

ไข่มุกสีแดงเข้มลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขา สามารถมองเห็นใบหน้าน่ากลัวของจอมปีศาจโลหิต

เห็นได้ชัดว่าจอมปีศาจโลหิตไม่สามารถหลบหนีร่างรองของเขาได้ ในที่สุดก็ถูกผนึกไว้

มู่เฉินโบกมือ มุกสีแดงถูกเก็บไว้ในเจดีย์เพื่อปราบปราม ก่อนที่เขาจะประสานมือคารวะหลินต้ง “ข้าขอขอบคุณท่านหลินต้งสำหรับความช่วยเหลือในวันนี้”

หลินต้งโบกมือตอบ “การลบล้างปีศาจเป็นหน้าที่ของเราในมหาพันภพ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถสังหารจอมปีศาจเทียนเฮยซือได้ที่นี่”

เหงื่อผุดบนหัวของมู่เฉิน หลินต้งช่างเหี้ยมหาญแท้จริง จอมปีศาจเทียนเฮยซือเป็นนักรบราชันปีศาจชั้นสูง ถ้าเขาถูกฆ่าที่นี่ก็จะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของจักรวรรดิปีศาจ

แต่เขารู้ว่าหลินต้งสามารถบรรลุสิ่งนั้นได้ด้วยความสามารถที่มี

“ผู้อาวุโสหากมีสิ่งใดที่ต้องการจากข้าในอนาคตบอกมาได้เลยนะขอรับ” มู่เฉินกล่าวอย่างจริงใจเนื่องจากหลินต้งและเซียวเหยียนมอบของให้กับเขาไว้เพื่อคุ้มครอง พูดแล้วพวกเขาก็ถือได้ว่าเป็นผู้ปกครองในเส้นทางยุทธ์ของเขา หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือจากพวกเขา เขาก็ต้องมีความรอบคอบมากขึ้นเมื่อเผชิญกับอันตรายและไม่กล้าห้าวมากเกินไป

ดังนั้นทั้งสองคนนับได้ว่าให้ความช่วยเหลือแก่เขาเป็นอย่างมาก

หลินต้งหัวเราะร่วน เสื้อผ้าโผขึ้นพร้อมกับเสน่ห์ฉายบนใบหน้าสง่างาม “เหตุผลที่เซียวเหยียนและข้าเต็มใจที่จะช่วยเจ้า เป็นเพราะศักยภาพของเจ้า พวกเราหวังว่าจะมีจอมยุทธ์มายึนเคียงข้างเพิ่มขึ้นเมื่อจักรวรรดิปีศาจบุกมหาพันภพอีกครั้ง”

หลินต้งไม่ได้พูดมากความ เขาสะบัดมือก่อนที่ภาพเงาจะค่อยๆ สลายไป

“มู่เฉินแม้ว่าเจ้าจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน แต่ก็ยังไปไม่ถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทาง ดังนั้นจะประมาทไม่ได้ มิฉะนั้นเมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้น เจ้าจะไม่สามารถรักษาสถานะไว้ได้…” เมื่อภาพเงาของหลินต้งสลายหายไป ก็ทิ้งเสียงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของมู่เฉิน

ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมลง เขาได้ยินความเคร่งเครียดในคำพูดของหลินต้ง เผชิญหน้ากับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติแม้แต่จอมยุทธ์ที่มีอำนาจพอๆ กับเทพจักรพรรดิสงครามก็ยังรู้สึกว่าถูกคุกคาม ดังนั้นสามารถเห็นได้ว่าพวกมันเป็นภัยคุกคามต่อมหาพันภพของพวกเขามากเพียงใด

“ข้าจะจำสิ่งนี้ไว้ในใจ”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้น จักรวรรดิปีศาจคือวิกฤตสงครามแห่งอนาคต แต่ตอนนี้เขาควรจะทำสิ่งที่กดดันหัวใจมาตลอดหลายปีนี้ให้เสร็จแล้ว

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึก สายตาค่อยๆ คมชัดขึ้นขณะพึมพำกับตัวเอง

“เผ่าฝูถู…หลายปีแล้ว…ในที่สุดข้าก็รอคอยวันนี้มาถึง…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท