หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1405

ตอนที่ 1405

การต่อสู้สั่นสะเทือนทวีปเทียนหลัวสิ้นสุดลง

แต่ระลอกคลื่นที่เกิดจากเรื่องนี้กระเทือนไปทั้งทวีปเลยทีเดียว

หากการต่อสู้ระหว่างตำหนักมู่และสามประมุขจักรวรรดิเหนือ ทำให้ชื่อของพวกเขาเพิ่มขึ้น

การต่อสู้ครั้งนี้ก็ดันตำหนักมู่ขึ้นสู่จุดสูงสุดของทวีป โดยมีขั้วอำนาจนับไม่ถ้วนรู้สึกเลื่อมใสพวกเขา

ในอนาคตจักรวรรดิเหนือจะเป็นดินแดนของตำหนักมู่เพียงหนึ่งเดียว ไม่มีใครกล้าละโมบมาคว้าอีกต่อไป สำหรับขั้วอำนาจสูงสุดของทวีปเทียนหลัว พวกเขาก็เริ่มหวาดเกรงมากต่อตำหนักมู่เนื่องจากเรื่องนี้

นั่นเป็นเพราะตำหนักมู่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนและตัดสินจากพลังการต่อสู้ที่น่าตกใจของมู่เฉิน ซึ่งอาจกลายเป็นหนึ่งในขุมกำลังสูงสุดของมหาพันภพ หากไม่ใช่เพราะตำหนักมู่ยังขาดรากฐาน

หากอยู่ในทวีปอื่น พลังในปัจจุบันของมู่เฉินสามารถทำให้เขายึดครองทั้งทวีปเป็นดินแดนของตัวเองได้ โดยไม่มีใครกล้าที่จะคัดค้านแม้แต่คำเดียว

นั่นเป็นเพราะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในมหาพันภพคล้ายกับการดำรงอยู่ที่ยอดเยี่ยม เทียบเท่ากับจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพ ด้วยการได้รับเกียรติจากการประกาศให้เป็นยอดยุทธ์และปกครองทวีป

แต่ทวีปเทียนหลัวเป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพ ทรัพยากรที่มีอยู่ก็ยากเกินจินตนาการ แม้แต่ขุมกำลังสูงสุดก็ยังปรารถนา ดังนั้นแม้ว่าจะไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอยู่ แต่ขั้วอำนาจสูงสุดก็มีผู้สนับสนุนพวกเขาอยู่เบื้องหลัง

ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนนี้ แม้ว่าตำหนักมู่จะแสดงอำนาจเหนือคนอื่นๆ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปกครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมด

หากพวกเขาทำจริงก็จะดึงดูดความไม่พอใจของขั้วอำนาจจำนวนมากอย่างแน่นอน คงไม่ง่ายเหมือนถ้ำรัศมีม่วง วิหารเสียงสายฟ้าและถ้ำคัมภีร์มังกร

หากพวกเขาดึงดูดความเกลียดชังมากเกินไป แม้แต่มู่เฉินก็คงจัดการไม่หวาดไหว เว้นแต่ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง การยึดทวีปเทียนหลัวทั้งหมดก็จะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา

ดังนั้นมู่เฉินจึงมีคำสั่งให้ยึดดินแดนทั้งหมดของจักรวรรดิเหนือเท่านั้น แต่ห้ามมิให้แตะต้องดินแดนอื่น เพราะกลัวว่าจะดึงดูดการต่อต้านจากขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ

เนื่องจากพื้นที่จักรวรรดิเหนือที่กว้างใหญ่ ตำหนักมู่ก็ต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งย่อยเลยทีเดียว…

ตำหนักมู่ วังสวรรค์บรรพกาล

ร่างแสงทะยานลงมาบนภูเขาที่ตั้งตระหง่านข้างทะเลสาบสวรรค์ มู่เฉินปรากฏตัวและนั่งลงบนยอดเขา เขามองลงไปก็จะเห็นทะเลสาบสวรรค์ทั่วทุกมุม ราวกับเข็มขัดสีเงินคาดภูเขาสง่างามเอาไว้

แท่นฝึกยุทธ์รอบทะเลสาบมีร่างเงามากมายนั่งอยู่ เมื่อมู่เฉินมาถึงก็ทำให้เกิดความปั่นป่วน ด้วยเหตุนี้จึงดึงดูดทุกสายตาเข้ามา

จอมยุทธ์ที่สามารถมาที่นี่ได้ล้วนแต่เป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของสำนักใต้การบังคับบัญชาของตำหนักมู่ นั่นเป็นเพราะมีเพียงจอมยุทธ์รุ่นใหม่เหล่านั้นที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากทะเลสาบสวรรค์

ดังนั้นจึงมีหนุ่มสาวมากมายอยู่รอบๆ ช่างราวกับอยู่ในสรวงสวรรค์

“ดูสิ! นั่นท่านประมุข!”

เมื่อมู่เฉินปรากฏตัว ก็ทำให้สายตาเคารพนับถือจ้องมองมาทันที

“ประมุขน่าเกรงขามอย่างแท้จริง เขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนในตำนานได้ตั้งแต่อายุยังน้อย กลายเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ที่มีอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ…” หญิงสาวหลายคนทำท่าเคลิ้มเมื่อมองดูร่างหล่อเหลาสง่างามพร้อมดวงดาวพริบพราวในดวงตา

“ฮิๆ ไม่ต้องส่งตาหวานขนาดนั้น ท่านประมุขเป็นใคร? เขาจะชอบเราได้ยังไง” หญิงสาวคนหนึ่งหัวเราะเสียงพลิ้ว

ชายหนุ่มคนหนึ่งถึงกับเค้นเสียงขึ้นจมูก “มีข่าวลือว่าประมุขมีคนรักอยู่แล้ว เทพธิดาคนนั้นฝึกฝนร่างเทพวารี ในอนาคตก็จะเป็นธิดาเทพแห่งมหาพันภพ เลิกเพ้อฝันกันได้แล้ว”

ทว่าชายที่พูดก็โดนถลึงตามองโดยหญิงสาวรอบๆ

ช่วงเวลานี้รอบทะเลสาบสวรรค์จึงปั่นป่วนนัก

แม้ว่าภูเขาจะอยู่ห่างไกลจากทะเลสาบสวรรค์พอสมควร แต่มู่เฉินก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะจากกลุ่มคนเหล่านั้น ซึ่งเขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

แต่เมื่อมองไปที่จอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาก็ระลึกถึงอดีต เขานึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ในสำนักศึกษาเป่ยชาง ตอนที่เขาได้รับการฝึกฝนก็ไม่ต่างอะไรจากพวกเขาไม่ใช่เหรอ?

เขายิ้มค่อยๆ สงบใจลงจากนั้นประกายแสงก็พวยพุ่งออกมาจากนัยน์ตา กลายเป็นเจดีย์ผลึกแก้วใส

หลายวันที่ผ่านมาเขาอยู่ในตำหนักมู่ หลังจากที่ตำหนักมู่เข้าควบคุมดินแดนจักรวรรดิเหนือทั้งหมด เขาถึงได้มีเวลามาที่วังสวรรค์บรรพกาล เนื่องจากตอนนี้ถึงเวลาที่เขาต้องจัดการกับปัญหาในเจดีย์ก่อน

ตอนที่เขาสู้กับเฉวียนเทียนเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาได้ผนึกอีกฝ่ายไว้ในเจดีย์แต่ไม่ได้เอาชนะ ดังนั้นตอนนี้เมื่อเขามีเวลาว่างก็ต้องจัดการกับปัญหานี้ก่อน ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถใช้เจดีย์ต่อสู้กับคนอื่นได้

ขณะที่เจดีย์ลอยอยู่ตรงหน้ามู่เฉินก็เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา

ภาพเงาของมู่เฉินเคลื่อนไหวกลายเป็นริ้วแสงทะยานเข้าไปในเจดีย์

เขากวาดสายตาไปโดยรอบ เกลียวแสงตกผลึกในเจดีย์ก็กำจายรัศมี ก่อร่างหมู่ผลึกดาวอัญมณีเต็มท้องฟ้าโดยมีภาพเงานั่งอยู่ภายใน กำลังใช้คลื่นหลิงในการต้านทาน

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉินที่จ้องมองมา ภาพเงานั้นก็ลืมตาโพลงด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ ชายคนนี้ก็คือเฉวียนเทียนซึ่งถูกปราบอยู่ภายในเจดีย์

มู่เฉินไม่ได้สนใจใบหน้าของเฉวียนเทียน แต่กลับมองเจดีย์ด้วยความสนใจ ตั้งแต่เขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุน เจดีย์ก็เกิดการเปลี่ยนไปเช่นกัน

ทุกเกลียวผลึกแสงที่ออกมาจากเจดีย์บรรจุด้วยสัญลักษณ์โบราณนับไม่ถ้วนที่มีความสามารถในการปิดผนึกที่ทรงพลัง

ดังนั้นแม้ว่าเฉวียนเทียนจะทรงพลัง ก็ได้แต่ต้องติดแหง็กอยู่ในนั้น ทุกครั้งที่เขาใช้คลื่นหลิง เขาก็จะต้องทนทุกข์ทรมานจากการห่อหุ้มของพลังปิดผนึกเพื่อยับยั้งคลื่นหลิงของเขาอีกที

“ความสามารถในการปิดผนึกของเจดีย์สามารถจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้แล้วเหรอ?” สายตาของมู่เฉินวูบไหว เจดีย์ของเขาไม่มีความสามารถเช่นนี้ในอดีต

“เผ่าฝูถูมีเอกลักษณ์จริงๆ สำหรับการยืนเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณแห่งมหาพันภพได้ ความสามารถในการปิดผนึกนี้ครอบงำอย่างแท้จริง” มู่เฉินถอนหายใจในใจ หากไม่มีเจดีย์คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะกักขังเฉวียนเทียนเอาไว้ได้

“ตาเฒ่าเฉวียนเทียนสะดวกสบายในเจดีย์ของข้าไหม?” มู่เฉินจ้องเฉวียนเทียนด้วยรอยยิ้มอ่อน

ใบหน้าของเฉวียนเทียนดำคล้ำ ขณะที่เขาอยากจะระเบิดความเกรี้ยวกราด แต่ก็ต้องระงับและยอมจำนนต่อความอัปยศอดสู “ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ ข้าผิดขอโทษตำหนักมู่ของเจ้าด้วย ข้าจะชดเชยให้ตราบใดที่เจ้าปล่อยข้าออกไปว่ายังไงล่ะ?”

เมื่อต้องรอความเมตตาของใครบางคน ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้ารับชะตากรรม ดังนั้นเขายอมแพ้หลังจากถูกมู่เฉินขังไว้ที่นี่

มู่เฉินยิ้มบาง “เจ้าเกือบทำลายตำหนักมู่ของข้า เจ้าคิดว่าค่าทำขวัญแบบนั้นสามารถชดเชยความสูญเสียได้เหรอ?”

เฉวียนเทียนหัวร้อนทันที “เจ้าต้องการอะไร? ข้าไม่ได้ฆ่าคนตำหนักมู่สักคนเลยนะ!”

สายตามู่เฉินกะพริบด้วยแสงเย็นเยือกขณะที่ตอบว่า “ถ้าเจ้าทำ ข้าคงบี้เจ้าให้ตายตอนนี้เลย!”

เมื่อรู้สึกถึงเจตนาฆ่าในคำพูดของมู่เฉิน เฉวียนเทียนก็รู้สึกหนาวสั่นในหัวใจ เขารู้ว่าตอนนี้มู่เฉินสามารถทำเช่นนั้นได้ ตราบใดที่เขาอยู่ในเจดีย์ ก็เป็นไปได้ที่จะปราบเขาไว้นานเท่านานจนกว่าความตายจะมาเรียกเขา

เมื่อนึกถึงผลลัพธ์แบบนั้น เฉวียนเทียนก็อดกลืนน้ำลายอึกใหญ่ไม่ได้ ก่อนที่ใบหน้าเขาจะเปลี่ยนเป็นมิตร “พี่ชายน้อยมู่ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย เอาจริงเราก็ไม่มีความขุ่นเคืองใดๆ ต่อกัน ข้าแค่ถูกขอร้องโดยตาเฒ่าเฮยกวางเพื่อมาสร้างปัญหาให้กับเจ้า”

“เจ้าต้องการอะไรถึงจะยอมปล่อยข้าไป? ตราบใดที่ข้าทำได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธแน่นอน!”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉินก็หรี่ตา ตาแก่เฮยกวางจริงด้วยรึ? แต่เรื่องนี้คงไม่ได้ทำคนเดียวแน่ เนื่องจากเขามีตระกูลเฉวียนทรงพลังคอยหนุนหลังอยู่

“ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะปล่อยเจ้าไป” มู่เฉินจ้องไปที่เฉวียนเทียนพลางกล่าว

แม้ว่าเขาจะสามารถจัดการเฉวียนเทียนได้โดยใช้ทั้งหมด แต่ก็ไม่เป็นประโยชน์สำหรับเขา

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เฉวียนเทียนก็ดีใจ “เงื่อนไขของเจ้าคืออะไร?”

มู่เฉินยิ้ม “ถ้าเจ้ายอมสัญญาว่าจะเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมู่ของข้าสักร้อยปี ข้าก็จะตัดหนี้ออกให้ในวันนี้”

“อะไรนะ?!” เฉวียนเทียนเบิกตากว้าง ใบหน้าบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด “ข้ามีความสุขกับอิสระ ทำไมต้องถูกควบคุมโดยเจ้าด้วย!”

เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เงื่อนไขนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเป็นทาสของมู่เฉินหรือ?

มู่เฉินไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาที่รุนแรงของอีกฝ่ายก็พูดขึ้นเบาๆ “ตำหนักมู่ของข้าจะจัดพิธีเชิญเจ้าในฐานะผู้อาวุโส นอกจากนี้ข้าจะไม่สั่งให้เจ้าไปไหนมาไหน ขอแค่อยู่ในตำหนักมู่เป็นเวลาหนึ่งร้อยปีเพื่อปกป้องมัน”

เฉวียนเทียนขมวดคิ้วและเริ่มลังเล

“ถ้าเจ้าไม่เต็มใจข้าก็ไม่บังคับนะ”

มู่เฉินหลุบตา ทว่าความเย็นชาสะสมในม่านตา “แต่เราก็ต้องชำระหนี้ระหว่างกัน”

ขณะที่พูดมือเขาก็ประสานเข้าหากัน เจดีย์สั่นสะท้านก่อนที่ผลึกแสงจะเปล่งประกาย

เมื่อเห็นการกระทำของมู่เฉิน หัวใจของเฉวียนเทียนก็สั่นสะท้าน เขากัดฟัน “สามสิบปี! ข้าจะเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมู่ของเจ้าเป็นเวลาสามสิบปี ถ้าใครกล้ามาหาเรื่องภายในกรอบเวลานี้ข้าจะช่วยสุดกำลัง!”

เขาตระหนักดีว่ามู่เฉินเป็นคนเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดแค่ไหน ถ้าคุยกันไม่ลงตัว อีกฝ่ายฆ่าเขาแน่นอน

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉวียนเทียนรอยยิ้มอบอุ่นก็ปรากฏบนใบหน้ามู่เฉินพลางพยักหน้าให้

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท