ทั่วบริเวณเงียบงันเมื่อผลลัพธ์ปรากฏชัดเจน
ขณะที่ขั้วอำนาจอื่นๆ ที่เฝ้าดูฉากนี้ก็พากันทอดถอนหายใจ ตอนนี้จะมีเพียงสองสายเลือดใหญ่ในเผ่าฝูถูเท่านั้นแล้ว
เฉวียนกวางและมั่วถงยังคงสงบนิ่งโดยไม่มีริ้วกระเพื่อมใดๆ ในสายตาราวกับว่าฉากนี้ไม่สามารถทำให้การแสดงออกของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นไปตามความคาดหมายของพวกเขา
พวกเขาเพียงแค่มองไปที่ชิงเทียนที่กำลังโศกเศร้าพร้อมกับแววตาเยาะเย้ยไหวระริก ตระกูลชิงคงเสียใจที่พวกเขาไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องชิงเหยี่ยนจิ้ง มิฉะนั้นตระกูลชิงจะตกต่ำถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?
“ข้าช่างไร้ประโยชน์”
ชิงเทียนถอนหายใจอย่างขมขื่นภายใต้สายตาเห็นอกเห็นใจและเย้ยหยัน ใบหน้าแก่ชราของเขาดูเหี่ยวย่นลงไปอีกหลายส่วน
เมื่อพวกเขาพ่ายแพ้ในการประลอง ก็เท่ากับตระกูลชิงจะเหลือตำแหน่งเพียงสองที่ในสภาผู้อาวุโส ซึ่งตามกฎมีเพียงตระกูลที่มีสามตำแหน่งเท่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสายเลือดหลัก
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตระกูลชิงจะถูกลดลงเป็นตระกูลย่อย พวกเขาจะสูญเสียทรัพยากรและอำนาจไป หากพวกเขาต้องการกลับมาเป็นสายเลือดหลักอีกครั้ง ใครจะรู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน?
ชิงเซวียนกัดฟันแน่นสีหน้าดูไม่ได้ นางทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างขมขื่น สถานการณ์ปัจจุบันถูกกำหนดไว้แล้ว นางไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก
“ตอนนี้ได้แต่หวังว่ามู่เฉินจะคิดหาวิธีได้ มิฉะนั้นตระกูลชิงคงจบสิ้นแน่”
เมื่อมั่วซินและเฉวียนหลัวเห็นสิ่งนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ พวกเขารู้ว่าแผนการสำเร็จลงแล้วในที่สุด
“มู่เฉินมีเวลาหายใจไม่มากแล้ว”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเฉวียนหลัว ตราบใดที่ตระกูลชิงถูกลดระดับเป็นตระกูลย่อย ก็จะไม่มีอะไรหยุดพวกเขาที่จะส่งคนไปเด็ดหัวมู่เฉิน
พวกเขาไม่สนใจว่านี่จะทำให้เกิดการตอบโต้ของชิงเหยี่ยนจิ้งหรือไม่ พวกเขารู้สึกมาโดยตลอดว่าผู้อาวุโสใหญ่อดกลั้นกับนางมากเกินไป เมื่อไม่มีตระกูลชิง สองตระกูลจะเข้ากุมอำนาจสภาผู้อาวุโส ต่อให้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ก็ต้องให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของพวกเขา
เมฆมืดมนปกคลุมบนภูเขาที่ตระกูลชิงอยู่ พวกเขาทั้งหมดรู้สึกวิปโยคเหลือแสน ไม่สามารถละความละอายที่รู้สึกได้ ความกลัวฉายบนใบหน้าแต่ละดวง เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเมื่อตระกูลชิงสูญเสียตำแหน่งพวกเขาจะต้องประสบกับทุกข์แสนสาหัสเพียงใด
เฉวียนกวางมองไปรอบๆ ก่อนที่จะยิ้มและหันไปมองผู้อาวุโสใหญ่ด้วยความเคารพ “ผู้อาวุโสใหญ่ผลการตัดสินได้ถูกกำหนดไว้แล้ว โปรดประกาศ”
ผู้อาวุโสใหญ่ลืมตาขึ้นมองไปที่ชิงเทียนที่เศร้าโศกอย่างเรียบเฉยจากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่เสียงของเขาจะสะท้อนออกมา
“ตระกูลชิงแพ้การประลอง ดังนั้นจะเสียที่ตำแหน่งอีกหนึ่งตำแหน่ง”
เสียงของผู้อาวุโสใหญ่เหมือนกับค้อนดับความหวังสุดท้ายของตระกูลชิง
ใบหน้าของชิงซวงหม่นหมองกับภาพนี้พร้อมกับดวงตาหมองคล้ำไปหมด
“จบแล้ว…”
นางพึมพำด้วยความเศร้าใจ หลังจากวันนี้ไม่รู้ว่าตระกูลชิงจะต้องพบเจอความยากลำบากอะไร แต่นางรู้ว่าฐานะที่มีจะลดฮวบลง
มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ พลางเดินออกไป
“มู่เฉิน? เจ้าจะทำอะไรน่ะ?” เมื่อมองมู่เฉินที่ก้าวไปข้างหน้า ชิงซวงก็ตกใจพลางร้องออกมาด้วยกลัวว่ามู่เฉินจะดึงดูดความสนใจถ้าปรากฏตัวตอนนี้
“ในเมื่อข้าได้รับผลประโยชน์จากตระกูลชิง ข้าก็ต้องทำบางอย่างเป็นการตอบแทน” มู่เฉินเอี้ยวหน้าไปและยิ้ม
ชิงซวงอึ้งไปขณะมองแผ่นหลังโปร่งบางนั่น ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกัน…
มู่เฉินไม่ได้สนใจนาง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ยอดเขาหลักพร้อมกับแววลึกซึ้งวูบไหวในนัยน์ตา
‘เผ่าฝูถูตามหาข้ามาหลายปี วันนี้ให้ข้าดูว่าเจ้าทำอะไรกับข้าได้บ้าง’
ขณะนี้เสียงของผู้อาวุโสใหญ่ยังคงก้องไปทั่วขอบฟ้า “เนื่องจากพ่ายแพ้ในการประลอง ตระกูลชิงจะเหลือสองที่นั่งในสภาเท่านั้น ตามกฎของเผ่า พวกเขาจะถูกปลดออกจากการเป็นสายเลือดหลัก…”
“ช้าก่อน!”
ทันใดนั้นเสียงคมชัดก็ดังขึ้น ขัดจังหวะเสียงของผู้อาวุโสใหญ่
ทุกคนตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้ชั่วครู่ ก่อนที่พวกเขาจะมองไปยังที่มาของเสียงนั้นทันที
บนยอดเขาแห่งหนึ่งชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่กลางอากาศเอามือไพล่หลัง
“เขาคือใคร? กล้ามากที่ขัดคำพูดของฝูถูเฉวียน” ขั้วอำนาจต่างๆ ตกตะลึงเมื่อมองไปที่มู่เฉิน
บนภูเขาอีกลูกเย่าเฉินและหลินเตียวสบตากันก่อนที่จะยิ้ม “ในที่สุดงานหลักก็มาถึงสักที”
เซียวเซียวมองภาพเงาของมู่เฉินจากด้านข้างพลางพยักหน้า “เขายังคงกล้าหาญเหมือนเดิม”
หลินจิ้งหัวเราะเบาๆ “พี่ใหญ่เซียวเซียว ตอนนี้มู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะกล้าหาญแล้ว”
ตอนนี้ไม่เพียงแต่มู่เฉินบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้น แต่ยังได้รับความช่วยเหลือจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู บวกกับตำหนักมู่และตำแหน่งราชันสังหารปีศาจของวังมหาพันภพ เมื่อพูดถึงระดับหนึ่งมู่เฉินก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเผ่าฝูถูอีกต่อไป
เซียวเซียวยิ้ม แม้แต่คนดื้อแบบนางก็ยังรู้สึกชื่นชมมู่เฉิน เนื่องจากเขามาถึงระดับตำนานของมหาพันภพได้ด้วยตัวเอง ไม่แปลกใจเลยว่าแม้แต่บิดาของนางยังให้ความสำคัญกับเขาขนาดนี้
“มาดูกันว่าเขาจะตบพวกเผ่าโบราณคร่ำคร่านี้ได้อย่างไร”
ขณะที่เกิดการพูดคุย เสียงของฝูถูเฉวียนก็ชะงัก สายตากวาดไปที่มู่เฉิน
เมื่อเขาเห็นมู่เฉินดวงตาก็หรี่ลง จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่อายุน้อยเช่นนี้หายากนัก เมื่อเทียบกับเขาแล้วทั้งเฉวียนหลัวและมั่วซินก็ยังด้อยกว่าหลายส่วน
นอกจากนี้เขาไม่รู้ว่าทำไมรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ดูค่อนข้างคุ้นหน้านัก
“เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงเข้ามายุ่งกับเรื่องของเผ่าฝูถูของข้า” เสียงของฝูถูเฉวียนดังก้องราวกับฟ้าคำรนสะท้อนไปทั่วขอบฟ้าพร้อมกับแรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งกำจายออกมา ทำให้ผู้คนถึงกับตัวสั่นสะท้าน
ทางฝั่งเฉวียนหลัวและมั่วซินก็อ้าปากตาค้าง พวกเขาชี้ไปที่มู่เฉินแบบพูดไม่ออก ชัดเจนที่ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะมาปรากฏที่นี่
สมาชิกทั้งสองตระกูลมองไปที่ทั้งสองด้วยสายตาแปลกๆ เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าทำไมทั้งสองถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้
เมื่อเฮยกวางบนแท่นหยกเห็นมู่เฉินก็อุทานด้วยเสียงแผ่วเบา “มู่เฉิน? ไอ้ตัวกาลกิณีแกกล้ามาที่นี่ได้ยังไง?!”
เขาเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไปจัดการกับมู่เฉินแล้ว แล้วอีกฝ่ายยังมาที่นี่ได้อย่างไร?
แม้ว่าเสียงของเขาจะแผ่วเบา แต่เฉวียนกวางและมั่วถงก็ได้ยิน ร่างกายของพวกเขาสั่นเทิ้มทันที
“มู่เฉิน? ไอ้ตัวกาลกิณีรึ?!”
มู่เฉินไม่ใส่ใจกับสายตาเหล่านั้น เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองไปที่ฝูถูเฉวียนโดยไม่เกรงกลัว
จากนั้นไม่นานเสียงหัวเราะของเขาก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
“ข้าชื่อคือมู่เฉิน”
“บางทีผู้อาวุโสใหญ่อาจจะไม่คุ้นชื่อนัก แต่ท่านน่าจะรู้จักมารดาของข้าดี”
“หืม?” สายตาของฝูถูเฉวียนกะพริบวูบไหว
มู่เฉินยิ้มขณะไอเย็นเยือกค่อยๆ รวมตัวกันบนใบหน้า เขามองไปที่ฝูถูเฉวียนพูดแบบเน้นย้ำทีละคำ “ท่านแม่ข้าชื่อ…ชิง-เหยี่ยน-จิ้ง”
เมื่อเขาประกาศออกไปก็ก่อให้เกิดความโกลาหลระหว่างสวรรค์และโลก สมาชิกเผ่าฝูถูนับไม่ถ้วนผุดลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยความตกใจเมื่อมองไปที่เขา
ชายหนุ่มคนนี้คือตัวกาลกิณีที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับเผ่าฝูถูหรือ!