“ในเผ่าฝูถูมีสภาผู้อาวุโส ทุกคำสั่งต้องผ่านที่นี่ ซึ่งนี่คืออำนาจควบคุมของเผ่า”
“ตอนนี้มีสิบเก้าตำแหน่งในสภาผู้อาวุโสโดยตระกูลเฉวียนมีเจ็ดคน ตระกูลมั่วหกคน ส่วนตระกูลชิง…มีเพียงสามคนบวกกับสามตำแหน่งสุดท้ายที่เป็นของตระกูลย่อย” เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของมู่เฉิน ชิงเซวียนก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นขณะที่ทอดถอนใจ
“สามเองเรอะ…” มู่เฉินขมวดคิ้ว จำนวนเท่านี้น้อยมากเมื่อเทียบกับทั้งหมด
“ในจุดสูงสุดเรามีหกคน แต่เนื่องจากเราอ่อนแอลงเรื่อยๆ จึงไม่สามารถยึดครองตำแหน่งเอาไว้ได้ ดังนั้นจึงเสียตำแหน่งทุกครั้งในงานชุมนุมสายเลือด”
“ตามกฎทุกตระกูลที่มีตำแหน่งอยู่แล้วจะมีคนรับการประลอง ซึ่งจำนวนคนที่รับจะเท่ากับตำแหน่งที่มี เมื่อสู้กันครบ หากตระกูลนั้นแพ้มากกว่าชนะ ก็ต้องสละตำแหน่งไปหนึ่ง” ชิงเซวียนอธิบาย
“เป็นอย่างนี้เอง…”
มู่เฉินพยักหน้า มิน่าเผ่าฝูถูถึงให้ความสำคัญอย่างมากกับงานชุมนุมสายเลือด การแข่งขันนี้ก็เพื่อแย่งชิงอำนาจในเผ่านั่นเอง
ตระกูลที่มีจำนวนผู้อาวุโสในสภามากกว่าก็จะมีอำนาจในเผ่ามากขึ้น
สำหรับการประลอง มู่เฉินเข้าใจว่าตระกูลชิงสามารถส่งคนออกไปได้สามคนเท่านั้นโดยตัดสินจากจำนวนตำแหน่งทั้งสาม หากพวกเขาพ่ายแพ้สองครั้งละก็ ต้องสละตำแหน่งไป
ในทางตรงกันข้ามถ้าสามารถเก็บชัยชนะได้สองครั้ง พวกเขาก็ยังรักษาตำแหน่งไว้ได้
“ตระกูลมั่วกับเฉวียนรวมหัวกันกดดันตระกูลชิง พวกเขาเล็งเป้ามาที่พวกเราในการประลองงานชุมนุมประจำตระกูลทุกครั้ง สามครั้งก่อนหน้านี้พวกเขาก็ยึดที่ตำแหน่งของเราไปสามที่” ขณะที่พูดสายตาของชิงเซวียนก็วาบแสงด้วยความโกรธและช่วยไม่ได้ เป็นเรื่องน่าเสียใจที่พวกนางไม่สามารถปกป้องตำแหน่งได้
“ถ้าตำแหน่งถูกเอาไปอีกหนึ่งตำแหน่ง ตระกูลชิงก็จะถูกปลดออกจากตระกูลหลัก ทำให้ทรัพยากรของเราลดลง ดังนั้นเราจะอ่อนแอลงเมื่อเวลาผ่านไปก็จะไม่สามารถสู้กับตระกูลเฉวียนและมั่วได้อีกต่อไป”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ใบหน้าของชิงเซวียนก็ซีดเซียวลง ถ้าถึงขั้นนั้นใครจะรู้ว่าตระกูลชิงจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะกลับมา นอกจากนี้สภาอาวุโสก็จะตกอยู่ในมือของตระกูลเฉวียนและมั่วอย่างสมบูรณ์แบบ
มู่เฉินหรี่ตาลง เขาไม่สนใจเผ่าฝูถูสักเท่าไร ทว่าตัวเขาไม่พอใจตระกูลเฉวียนและมั่ว นอกจากนี้เฮยกวางยังส่งเฉวียนเทียนไปยังตำหนักมู่เพื่อสร้างความอับอาย ดังนั้นแค้นนี้ต้องชำระ
ด้วยทัศนคติที่ตระกูลเฉวียนและมั่วมีต่อเขา ถ้าพวกเขาได้รับอำนาจ มู่เฉินก็ต้องเผชิญกับปัญหามากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่กลัวคนเหล่านั้นก็ตาม
ดังนั้นนี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขา หากสภาอาวุโสตกอยู่ในมือของตระกูลเฉวียนและมั่ว
“เราจะหยุดสิ่งนี้ได้อย่างไร?” มู่เฉินถาม
“ก็ต้องรักษาชัยชนะสองรอบในการประลองเพื่อรักษาตำแหน่งไว้” ชิงเซวียนถอนหายใจก่อนที่จะพูดต่อ “แต่ทั้งสองตระกูลมีรากฐานลึกมาก มิหนำซ้ำยังมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมากกว่าตระกูลชิงซะอีก พวกเขาเตรียมพร้อมและไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะหยุดพวกเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดของชิงเซวียน มู่เฉินก็รู้ว่าตระกูลชิงตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน เขาถามต่อว่า “แล้วทำไมพวกท่านถึงเอาแต่ปกป้องไม่โจมตีล่ะ?”
ในเมื่อมีการรับประลอง ก็ต้องมีการท้าประลอง
ชิงเซวียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เราป้องกันไม่ได้แล้วจะโจมตียังไง?”
มู่เฉินไม่ใส่ใจกับคำพูดของนางและพูดต่อ “แล้วจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งลงประลองไหม?”
“เป็นไปได้อย่างไร… ตระกูลใดที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะเข้าสู่สภาผู้อาวุโสได้เลย ซึ่งเทียบเท่ากับห้าตำแหน่ง” ชิงเซวียนรีบตอบ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมู่เฉินก็ขมวดคิ้ว “ถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมพวกเขาถึงขังแม่ข้าล่ะ?”
หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งคล้ายคลึงกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เขาเชื่อว่าแม้กระทั่งเผ่าฝูถูที่มีรากฐานลึกซึ้ง ก็ไม่น่ากล้าที่จะปล่อยปละบุคคลเช่นนี้
ชิงเซวียนกัดฟัน “ทั้งหมดเป็นเพราะตระกูลเฉวียนและมั่ว ย้อนกลับไปตอนที่แม่เจ้าถูกคุมขัง นางยังไปไม่ถึงระดับนั้น แต่ทั้งสองตระกูลกลัวว่านางที่กลับไปตระกูลชิงจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับตระกูลและได้รับคะแนนเสียงมากขึ้นในสภาผู้อาวุโส นอกจากนี้ผู้อาวุโสใหญ่ยังดื้อรั้น เขาปฏิเสธตำแหน่งของแม่เจ้าในนามสภาและยังกักขังแม่เจ้าต่อไป”
เมื่อมู่เฉินได้ยินเช่นนั้นสายตาเย็นชาก็กะพริบด้วยเจตนาฆ่า ตระกูลสารเลวนั่นมากไปแล้ว!
ชิงเซวียนเผยความรู้สึกผิดบนใบหน้าขณะที่กล่าวว่า “นอกจากนี้ยังเป็นเพราะการลดลงของตระกูลชิง ดังนั้นแม้ว่าเราจะตอบโต้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย”
แม้ว่าในตระกูลชิงจะยังคงมีบางคนไม่พอใจที่ชิงเหยี่ยนจิ้งละทิ้งพวกเขา แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าการกลับมาของชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะทำให้ตระกูลชิงผงาดขึ้นมาได้ ดังนั้นแต่ละคนก็พยายามเต็มที่เพื่อช่วยเหลือชิงเหยี่ยนจิ้ง
ทว่าตระกูลชิงไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะพยายามทำทุกอย่าง ก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับตระกูลเฉวียนและมั่ว
มู่เฉินพยักหน้าหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดว่า “ข้าช่วยพวกท่านรักษาตำแหน่งได้”
เมื่อชิงเซวียนได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจก่อนที่จะมองมู่เฉินนิ่ง “เจ้ามีวิธีอะไร?”
มู่เฉินไม่ได้ตอบคำถามโดยตรงแต่กล่าวว่า “ข้ามีวิธีของตัวเอง ถ้าพวกท่านเชื่อในตัวข้าก็ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้”
หลังจากลังเลชั่วครู่ชิงเซวียนก็กัดฟัน “ข้าจะกลับไปคุยกับคนอื่นเอง”
ตอนนี้พวกนางต้องคว้าโอกาสที่มาถึงมือไว้ให้หมด ในเมื่อมู่เฉินสามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้ตั้งแต่อายุเท่านี้ เขาต้องมีความพิเศษแน่นอน
มู่เฉินพยักหน้าและพูดเบาๆ “แต่ในเมื่อข้าช่วยแล้ว พวกท่านก็ต้องช่วยข้าด้วยเรื่องหนึ่ง”
“เจ้าต้องการอะไร?”
มู่เฉินกำมือแถบหยกก็ปรากฏขึ้น เขาพลิกนิ้วเลือดกลั่นก็พุ่งไปบนแถบหยกสร้างอักขระโลหิตขึ้น
จากนั้นเขาก็ส่งแถบหยกให้ชิงเซวียน “ในเมื่อพวกท่านเป็นผู้อาวุโสของเผ่า ก็น่าจะสามารถเข้าไปในใจกลางของค่ายกลพิทักษ์เผ่าฝูถูได้ ข้าต้องการให้พวกท่านใส่แถบหยกนี้ก่อนที่งานชุมนุมสายเลือดจะเริ่มขึ้น”
ใบหน้าของชิงเซวียนเปลี่ยนไป นั่นคือค่ายกลพิทักษ์ที่ปกปักเผ่าฝูถู ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง พวกเขาจะกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยท่านแม่และไม่ได้มีความตั้งใจที่จะสร้างความบาดหมาง ไม่ต้องกังวลข้าแค่อยากมีทุนเพื่อต่อรองกับทางเผ่าสักหน่อยน่ะ” มู่เฉินพูดเมื่อเห็นปฏิกิริยาของชิงเซวียน
ชิงเซวียนเผยสีหน้าดิ้นรนเมื่อได้ยิน
“ถึงท่านจะไม่เชื่อข้า แต่ก็ต้องเชื่อท่านแม่ข้าใช่ไหม? นางคงไม่นั่งดูเผ่าฝูถูถูกข้าทำลายหรอก”
พอได้ยินคำพูดเหล่านั้นสีหน้าของชิงเซวียนก็ดีขึ้น แม้ว่านางจะไม่เข้าใจนิสัยของมู่เฉิน แต่นางเข้าใจน้องสาวของตัวเองดี
แม้ว่าเผ่าจะกักขังนางทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจ แต่นางก็ไม่มีทางคิดจะล้างแค้นแน่นอน เพราะที่นี่เป็นที่กำเนิดและเลี้ยงดูนาง ขณะเดียวกันยังมีญาติสายเลือดเดียวกันอีกมากมาย
นอกจากนี้แม้ค่ายกลพิทักษ์จะสำคัญ แต่ก็ไม่มีทางใช้พลิกทั้งเผ่าได้แน่นอน ด้วยความฉลาดของมู่เฉิน เขาก็คงรู้จุดนี้ดี
“ได้ ข้าตกลง”
ด้วยการตัดสินใจนี้ ชิงเซวียนก็ไม่ลังเลอีกต่อไป นางพยักหน้าก่อนที่จะรับแถบหยกเปื้อนเลือดมู่เฉินไป
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเนื่องจากสิ่งนี้สำคัญมาก แม้ว่าเขาจะเชิญแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูมา แต่เขาก็กลัวว่าพวกแพะแก่เผ่าฝูถูจะไม่มีเหตุผล เนื่องจากมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอยู่ด้วย ดังนั้นเขาต้องการหลักประกันสักเล็กน้อยเพื่อเผชิญหน้ากับพวกเขา
“ถ้างั้นข้าต้องขอบคุณผู้อาวุโสชิงเซวียน”
มู่เฉินยิ้มอย่างสุภาพ ชิงเซวียนถอนหายใจในใจ ในแง่ของความอาวุโสมู่เฉินควรเรียกนางว่าท่านป้า ทว่ามู่เฉินมีม่านกั้นในใจอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรักษาระยะห่างไว้
แต่เมื่อคิดถึงการที่มู่เฉินต้องแยกจากมารดาและพึ่งพาตัวเองมาไกลขนาดนี้ นางก็เข้าใจความขุ่นเคืองในใจนั้นได้
ตอนนี้นางหวังเพียงว่ามู่เฉินจะสามารถช่วยมารดาได้ เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะค่อยๆ คลี่คลายลงในอนาคต
เนื่องจากทั้งคู่พูดสิ่งที่ต้องการหมดแล้ว ชิงเซวียนก็โบกมือลามู่เฉินก่อนจะเดินออกไป
มู่เฉินมองไปที่ร่างเงาของชิงเซวียนก็ถอนหายใจ นี่ช่วยลดปัญหาได้มากจริงๆ ด้วยความช่วยเหลือของชิงเซวียน
เวลานี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว เขาก็แค่รอให้การประลองงานชุมนุมสายเลือดเริ่มขึ้น
มู่เฉินยืนเอามือไพล่หลังมองไปบนท้องฟ้า
“เผ่าฝูถูครั้งนี้สู้กันแบบดีๆ เถอะ…”
เขารอมานานแล้วสำหรับวันนี้