หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1417 ตระกูลชิงแพ้

บทที่ 1417 ตระกูลชิงแพ้

เมื่อทั้งสามประกาศขอประลองกับตระกูลชิง

ก็ก่อให้เกิดความปั่นป่วนระหว่างสวรรค์และโลก ทุกคนสามารถบอกได้จากฉากนี้ว่าทั้งตระกูลมั่วและเฉวียนเล็งเป้ามาจัดการตระกูลชิงแล้ว

บนยอดเขาแห่งหนึ่ง มีกลุ่มคนเผ่าฝูถูอยู่มากมาย พวกเขาคือจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าโดยมีเฉวียนหลัวและมั่วซินอยู่ตรงด้านหน้าสุด

ขณะนี้พวกเขาเฝ้ามองฉากเบื้องหน้าด้วยสายตาเยาะเย้ย ทันทีที่เรื่องนี้เสร็จสิ้น ตระกูลชิงก็จะสูญเสียตำแหน่งในฐานะหนึ่งในสายเลือดหลัก เมื่อถึงเวลานั้นอำนาจในเผ่าฝูถูก็จะตกอยู่ในกำมือของตระกูลพวกเขาทั้งสอง

“ถ้าคิดจะโทษใครสักคนก็จงโทษว่ามีชิงเหยี่ยนจิ้งมาเกิดอยู่ในสายเลือดพวกแกเถอะ” เฉวียนหลัวสาดสายตาเยือกเย็นขณะที่หัวเราะเยาะ หากไม่มีชิงเหยี่ยนจิ้งทั้งสองตระกูลอาจไม่ได้เล็งเป้าไปที่ตระกูลชิงเนื่องจากหญิงผู้นั้นน่ากลัวเกินไป แม้ว่านางจะถูกคุมขังอยู่ในขณะนี้ก็จะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลย่อยทันทีที่นางถูกปล่อยตัวออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้นพวกเขาต้องทำลายตระกูลชิงให้สิ้นซากขณะที่ชิงเหยี่ยนจิ้งยังถูกคุมขัง เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้นางจะถูกปล่อยตัวก็อยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่สามารถต่อกรกับทั้งสองตระกูลได้อีกตลอดกาล

“หึ และไอ้กาลกิณีนั่นอีก! เมื่อไรที่ตระกูลพวกเราได้ครอบครองอำนาจก็จะส่งคนออกไปจับตัว ให้มันต้องคุกเข่าเหมือนหมาและมอบวิชาเจดีย์แปดองค์มาดีๆ!” ใบหน้าของเฉวียนหลัวกำจายแววเย็นเยือก

ตอนแรกวิชาเจดีย์แปดองค์เกือบจะอยู่ในมือเขาตอนที่อยู่ในแดนเซิ่งยวน แต่มู่เฉินกลับคว้าไปต่อหน้า ดังนั้นคนนิสัยหยิ่งผยองอย่างเขาจะยอมรับได้อย่างไร?

เขาเหยียดหยามมู่เฉินในฐานะคนบาปที่ต่ำต้อยมาโดยตลอด ขณะที่ตัวเขาเป็นประมุขน้อยเผ่าโบราณ ตัวตนของพวกเขาห่างกันเป็นโยชน์ แต่มู่เฉินเอาชนะเขาได้ ดังนั้นความอัปยศอดสูจึงเลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่าเขาเสียอีก

ขณะที่สมาชิกทั้งสองตระกูลกำลังตื่นเต้น สมาชิกตระกูลชิงก็ใบหน้าไร้สีสัน พวกเขารู้ว่าสถานการณ์นี้ไม่ดีแน่แล้ว

ขณะนี้บรรยากาศของตระกูลชิงดิ่งลงถึงจุดต่ำ ไม่ต้องพูดถึงเด็กๆ แม้แต่ผู้ใหญ่ก็มีสีหน้าเศร้าโศก

ในกลุ่มคนตระกูลชิง ชิงหลิงเฝ้าดูฉากนี้ด้วยสีหน้าไม่น่าดู แต่นางทำได้เพียงแค่ถอนหายใจในใจเท่านั้น

“ทำไมพี่ใหญ่ชิงซวงถึงอยู่ที่นั่น?”

ขณะที่นางถอนหายใจก็ได้ยินเสียงอุทานจากด้านหลัง

ชิงหลิงอึ้งไปก่อนที่จะมองไปทางนั้น นางเห็นภาพเงาของชิงซวง นอกจากนี้ยังเห็นร่างสูงโปร่งร่างหนึ่ง

เมื่อนางเห็นร่างนั้น ใบหน้าก็เปลี่ยนไปกะทันหัน แทบจะอุทานด้วยความตกใจ

นางจำได้นั่นคือมู่เฉิน

“เขามาทำอะไรที่เผ่าฝูถู? เขากล้าเกินไปแล้ว!” ความวิตกกังวลฉายแววในดวงตา นางรู้ชัดเจนเกี่ยวกับทัศนคติของเผ่ากับมู่เฉินในตอนนี้ ถ้าพบว่าเขาปรากฏตัวที่นี่ พวกเขาก็จะกลุ้มรุมจับกุมชายหนุ่มอย่างแน่นอน

“หืม? ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างพี่ชิงซวงคือใคร?” ขณะที่นางว้าวุ่นใจ ก็มีชายหนุ่มบางคนในตระกูลสังเกตเห็นมู่เฉิน เสียงสงสัยดังขึ้น

ในสายตาของคนอื่นๆ ชิงซวงมีตำแหน่งสูงในใจ แม้จะมีนางจะมีท่าทางเย็นชา แต่ก็ดึงดูดความรักใคร่จากผู้คนมากมาย ดังนั้นนางจึงเป็นจุดสนใจในทุกที่ที่ไป

ขณะนี้ชายหนุ่มตระกูลชิงทุกคนรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นว่าชิงซวงสนิทกับชายคนนั้นมากแค่ไหน

“ผู้ชายคนนั้นดูธรรมดามาก ทำไมพี่ใหญ่ชิงซวงถึงให้ความสำคัญกับเขามากขนาดนี้?” มีคนพูดอย่างไม่พอใจ ดึงดูดเสียงสะท้อนผู้ที่อยู่รอบข้างได้ทันที ทันใดนั้นสายตาทั้งหมดที่พุ่งไปที่มู่เฉินแสดงความเป็นศัตรูให้เห็น

“เจ้าบรมโง่ พวกเจ้าเทียบกับเขาได้เรอะ?” เมื่อชิงหลิงได้ยินคำพูดของพวกเขา นางก็พ่นลมหายใจอย่างเย็นชาพลางโวยวายตำหนิทันที

“เมื่อเทียบกับเขาแล้ว พวกเจ้าก็เป็นแค่ฝุ่นละออง!”

ชิงหลิงเจ้าพยศและด่าเก่งตั้งแต่เกิด ดังนั้นคำพูดของนางจึงทำให้ใบหน้าของคนตระกูลชิงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

“หึ เจ้ารู้เรอะว่าคนคนนั้นคือใคร? งั้นบอกมาว่าเขามีความสามารถเพียงใด ถึงให้พวกเราเป็นได้แค่ฝุ่นเมื่อเทียบกับเขา” มีคนหัวร้อนขึ้นมา

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ชิงหลิงก็เบ้ปาก ไม่อยากสนใจคนพวกนี้ แม้แต่เฉวียนหลัวและมั่วซินยังเสียเปรียบในมือของเขา แล้วพวกเขาจะเทียบกับเขาได้อย่างไร?

แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าทำไมมู่เฉินถึงมาปรากฏตัวที่นี่ แต่นางก็รู้ว่าเป็นเรื่องยุ่งแน่หากตัวตนของเขาถูกเปิดเผย ดังนั้นนางไม่บอกถึงที่มาของมู่เฉินหรอก

เมื่อคนอื่นเห็นนางนิ่งเงียบไป พวกเขาก็คิดว่านางปากเสียไปอย่างนั้น แต่ละคนก็เอ่ยเยาะเย้ยต่อ

บนยอดเขาหลักที่นั่งประธาน

ฝูถูเฉวียนกำลังเฝ้าดูฉากนี้พลางขมวดคิ้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เขามองเห็นความตั้งใจของตระกูลเฉวียนและมั่ว แต่นี่ไม่ได้ผิดกฎ ดังนั้นในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ เขาจึงเข้าแทรกแซงอะไรไม่ได้

ขั้วอำนาจอื่นๆ ก็มองสถานการณ์นี้ด้วยดวงตาวูบไหว ก่อนที่จะเริ่มกระซิบ “ตระกูลชิงในอดีตรุ่งโรจน์มาก ไม่คิดว่าพวกเขาจะตกต่ำลงมากขนาดนี้”

“ใช่เลย ตระกูลชิงอยู่เหนือตระกูลอื่นๆ ทั้งหมดในตอนนั้น แม้แต่ประมุขเผ่าคนก่อนก็มาจากตระกูลชิง แต่ตอนนี้เสื่อมถอยลงมาก”

“ดูเหมือนว่าตระกูลชิงจะกลายเป็นตระกูลย่อยเผ่าฝูถูหลังจากวันนี้ไป คงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกอบกู้ชื่อเสียงเดิมกลับคืนมา”

“…”

บทสนทนาทุกประเภทดังก้องพร้อมกับที่พวกเขาทอดถอนใจเกี่ยวกับความตกต่ำของตระกูลชิง

ตู้ม!

ขณะเดียวกันคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกมาจากแท่นทั้งสามราวกับภูเขาไฟปะทุ

จอมยุทธ์ทั้งหกคนกลายเป็นกายาหลิงเทียนจุนกำจายพลังที่น่ากลัว

ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนกระบวนท่าที่ดุเดือดทันที

ชิงเทียนเคลื่อนไหวก่อนใคร เขารู้สึกโกรธอย่างเห็นได้ชัดกับการกระทำของตระกูลเฉวียนและมั่ว ดังนั้นเขาจึงไม่หยุดยั้งกระบวนท่า รัศมีของเขาทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดาต้องสั่นสะท้านด้วยความกลัวเลยทีเดียว

ใบหน้าของมั่วกู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนที่จะเยาะเย้ย เขาไม่มีเจตนาที่จะต่อสู้ จึงเริ่มถอยห่างทิ้งภาพไว้เบื้องหลัง

เขารู้ว่าไม่สามารถสู้กับชิงเทียนได้ด้วยขุมพลังที่มี แต่เขาไม่ได้ใส่ใจเนื่องจากการปรากฏตัวของเขาเป็นเพียงการทำให้ตระกูลชิงต้องอับอายขายขี้หน้าเท่านั้น การต่อสู้แตกหักอยู่บนอีกสองแท่นประลองต่างหาก

“ท่านชิงเทียนทรงพลังอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายที่การต่อสู้อีกสองยกพวกเจ้าไม่ได้เปรียบเลย” มั่วกู่ถอยห่างอย่างต่อเนื่องขณะที่เสียงเยาะเย้ยดังขึ้น

สายตาของชิงเทียนกวาดไปที่แท่นประลองทั้งสอง หัวใจของเขาจมลง เช่นเดียวกับที่คาดไว้ผู้อาวุโสทั้งสองตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบขณะที่เผชิญหน้ากับการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม

จากการคาดการณ์อีกไม่นานความพ่ายแพ้ก็จะมาถึง

“ไม่คิดว่าตระกูลชิงจะสิ้นสุดในมือข้า ช่างน่าอับอายต่อหน้าบรรพบุรุษจริงๆ” ท่าทางเศร้าโศกปรากฏบนใบหน้าชราของชิงเทียน

ชิงซวงกัดฟันโดยมีรอยเลือดไหลตามมา ทว่านางไม่ได้สนใจกับเลือด สายตาจ้องไปที่การต่อสู้

“มู่เฉินพวกเขาจะชนะได้ไหม?” ชิงซวงถามไปด้วยความหวังริบหรี่ขณะที่ตัวสั่น

เมื่อมู่เฉินได้ยินก็ส่ายหัวอย่างไม่ลังเล “พวกมันเตรียมการมาพร้อมแล้ว สองคนนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสตระกูลชิง ดังนั้นสถานการณ์นี้จะจบลงด้วยแพ้สองชนะหนึ่ง”

ใบหน้าของชิงซวงซีดเผือด เล็บเจาะเข้าไปในฝ่ามือพร้อมกับเลือดสดไหลออกมา ราวกับว่านางมองเห็นอนาคตมืดมนของตระกูลชิงแล้ว

มู่เฉินเหลือบมองไปที่นางแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเฝ้ามองการต่อสู้อย่างใจเย็น

ตู้ม ตู้ม!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออก ทำให้ภูเขาขนาดใหญ่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากการต่อสู้ แรงกดดันจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่แผ่ออกมา ทำเอาทุกคนโดยรอบภูเขารู้สึกถึงแรงกดดันอันอึดอัด

“ใกล้จะจบแล้ว”

ทันใดนั้นมู่เฉินก็พูดขึ้นขณะมองไปที่แท่นประลอง

ตึง!

เมื่อเขาพูดจบชิงเทียนก็ซัดฝ่ามือออก ทำลายการป้องกันของมั่วกู่ ส่งร่างอีกฝ่ายถลาออกไป

ขณะที่มั่วกู่ปลิวออกไปเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น “ผู้อาวุโสชิงเทียนทรงพลังจริงๆ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้”

เมื่อได้ยินว่ามั่วกู่ยอมรับความพ่ายแพ้ก็ไม่มีความสุขใดๆ บนใบหน้าชิงเทียน เขามองไปก็เห็นว่าการต่อสู้อีกสองด้านก็รู้ผลลัพธ์แล้ว

ในเวลานี้ทั้งชิงเซวียนและชิงหยุนก็ปลิวออกจากแท่นประลองเช่นกัน

ร่างกายของพวกเขาแข็งทื่อ ความผิดหวังเขียนไว้บนใบหน้า

ฟ้าดินเงียบลง ทุกคนบอกได้ว่าตระกูลชิงแพ้แล้ว

“ฮ่าๆ ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะท่านชิงเซวียนและท่านชิงหยุน” เฉวียนหลิงและเฉวียนจินหัวเราะพลางประสานมือคารวะ

ขณะที่เสียงหัวเราะของพวกเขาดังก้องไปทั่วเทือกเขา ฝั่งตระกูลชิงก็เงียบกริบ น้ำตาไหลอาบแก้มผู้คน

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตระกูลชิงของพวกเขาจะกลายเป็นตระกูลย่อย ฐานะในเผ่าก็จะร่วงลงอย่างรวดเร็ว!

“ตระกูลชิงจบแล้ว…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท