หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1432 ชิงเหยี่ยนจิ้งปรากฏตัว

บทที่ 1432 ชิงเหยี่ยนจิ้งปรากฏตัว

ตู้ม ตู้ม!

เสียงกัมปนาทดังก้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง ฝูถูเฉวียนยืนอยู่บนอากาศพร้อมกับมือไพล่หลัง ขณะที่กงล้อสีดำขาวยังคงหมุนรอบตัว ทำให้รังสีหลิงแตกเป็นเสี่ยงๆ

ขณะนี้เขากำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ค่ายกล ไม่ว่ามู่เฉินจะควบคุมค่ายกลอย่างไรก็ไม่สามารถขัดขวางการเคลื่อนไหวของฝูถูเฉวียนได้

ผู้ชมฉายความเสียดายในสายตา พลังอำนาจของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไม่สามารถจินตนาการได้ ก่อนหน้านี้มู่เฉินยืมพลังค่ายกลในการเอาชนะผู้อาวุโสสิบกว่าคนในเผ่าฝูถู แต่ตอนนี้เขาก็ถูกฝูถูเฉวียนบีบให้ไปอยู่ในจุดที่ต้องซ่อนตัวในค่ายกล

เมื่อหลิงซี หลงเซี่ยงและชิงซวงเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปพร้อมกับความวิตกกังวลพล่านในดวงตา

อย่างไรก็ตามพวกเขารู้ว่าไม่มีอะไรที่สามารถทำได้เพื่อช่วยในสถานการณ์นี้ คงได้แต่ภาวนาให้มู่เฉินยันเอาไว้ได้

“ทำยังไงดี?” ชิงเซวียนมองไปที่ชิงเทียนอย่างกังวล ถ้าสถานการณ์แบบนี้ยังดำเนินต่อไป อีกไม่นานมู่เฉินก็จะพ่ายแพ้

ชิงเทียนยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายหัว “ผู้อาวุโสใหญ่โกรธมาก ไม่มีอะไรที่เราช่วยได้ แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลมาก ต่อให้จับมู่เฉินได้ ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่ทำโทษโหดเหี้ยมหรอก”

ชิงเซวียนกัดฟัน “ต่อให้ไม่ลงโทษโหดเหี้ยม แต่ถ้ามู่เฉินถูกคุมขัง จะไม่เป็นการขัดขวางการพัฒนาของเขาเหรอ?”

ด้วยพรสวรรค์ของมู่เฉินและเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร ตอนนี้เป็นเวลาที่เขาควรจะต้องพุ่งไปที่จุดสุดยอด ถ้าเขาถูกคุมขังก็จะสูญเสียปีที่ดีที่สุดไป ดังนั้นแม้ว่าเขาจะมีโอกาสในอนาคตก็ต้องใช้เวลามากขึ้นและราคาที่มากขึ้นตาม

ชิงเทียนยิ้มอย่างขมขื่นและถอนหายใจ “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เราจะหาวิธีแอบปล่อยเขา แม้จะต้องโดนลงโทษจากผู้อาวุโสใหญ่…”

ชิงเซวียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่พวกนางทำได้

บนภูเขาที่นั่งเผ่าหมัวเฮอ หมัวเฮอโยวฉายรอยยิ้มบนใบหน้า “การเดินทางมายังเผ่าฝูถูครั้งนี้ไม่เสียเปล่าจริงๆ ได้เห็นการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ”

จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของเผ่าหมัวเฮอก็พยักหน้า ในฐานะที่เป็นคนจากเผ่าหมัวเฮอการเห็นเผ่าฝูถูตกอยู่ในความวุ่นวายและมู่เฉินพลิกคว่ำพลิกหงายเผ่าทั้งหมดก็เป็นผลประโยชน์ของพวกเขา

“แต่มู่เฉินไร้เดียงสาไปจริงๆ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเขาสามารถควบคุมค่ายกลพิทักษ์ของเผ่าฝูถูได้อย่างไรแต่เขาก็สามารถควบคุมพลังได้เพียงสามถึงสี่ส่วนเท่านั้น เขาไร้เดียงสาเกินไปที่คิดว่าตัวเองจะสามารถเผชิญหน้ากับฝูถูเฉวียนได้ด้วยสิ่งนั้น”

หมัวเฮอโยวเอ่ยเยาะ “ยังไงก็ตามเป็นการดีที่มู่เฉินจะถูกจับไว้ เพื่อที่ข้าจะได้ไม่ต้องจัดการกับมันในงานชุมนุมนิรันดร์”

เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกว่ามู่เฉินถึงคราวหายนะในวันนี้แล้ว

ฝูถูเฉวียนเคลื่อนตัวไปยังค่ายกล

สายตาจ้องไปที่มู่เฉินที่ซ่อนตัวอยู่อย่างเย็นชาตะโกนว่า “ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังคิดจะต่อต้านในเวลานี้อีกรึ!”

ยามนี้มู่เฉินลืมตาขึ้นมองไปที่ฝูถูเฉวียนอย่างเย็นชา ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร แต่มือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นค่ายกลก็หมุนคว้าง ท่ามกลางเสียงดังกึกก้องภูเขาขนาดมหึมาก็ถูกสร้างขึ้นกดเข้าหาฝูถูเฉวียนพร้อมกับเงาขนาดใหญ่

เมื่อฝูถูเฉวียนเห็นสิ่งนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นด้วยความโกรธ มือทั้งสองข้างประสานกัน กงล้อสีดำขาวก็ขยายกว้างออกไปหลายหมื่นจั้ง

เมื่อกงล้อสีดำขาวหมุนก็ปล่อยพลังทำลายล้างที่ทำให้มิติพังทลายจากการหมุน

ตู้ม!

กงล้อสีดำขาวปะทะกับภูเขา รัศมีสีดำขาวก็เบ่งบาน ภูเขาที่สามารถปราบปรามเฉวียนกวางและมั่วถงได้อย่างง่ายดายพังทลายลงอย่างรวดเร็ว

ในช่วงสิบกว่าลมหายใจสั้นๆ กงล้อสีดำขาวก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ภูเขาลดทอนลงกลายเป็นฝุ่นละอองฟุ้งลงมาราวกับสายฝนอันงดงาม

มู่เฉินหดดวงตากับภาพนี้ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งน่ากลัวอย่างแท้จริง แม้เขาจะผลักดันตัวเองไปถึงขีดสุดก็ยังไม่สามารถต้านทานฝูถูเฉวียนได้

ครืนๆๆๆ

ขณะที่กงล้อสีดำขาวเข้าใกล้ค่ายกลก็ระเบิดรัศมีออก ก่อร่างกลายเป็นมือขนาดใหญ่คว้าค่ายกลเอาไว้

แกร็ก!

เมื่อมือขนาดใหญ่ตบลงบนค่ายกล พลังที่น่ากลัวก็ถูกปลดปล่อยออกมา มือค่อยๆ ควานเข้าไปในค่ายกลทำท่าทางคว้าไปในทิศทางของมู่เฉิน

เห็นได้ชัดว่าฝูถูเฉวียนพยายามที่จะดึงมู่เฉินออกจากค่ายกล เพื่อยึดการควบคุมของอีกฝ่าย

“ไอ้หนู เจ้าช่างยโสไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโส ในเมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้สั่งสอน ข้าจะสอนให้เป็นการส่วนตัวและบอกให้เจ้ารู้ความหมายของลำดับชั้นอาวุโส!” ฝูถูเฉวียนคำรามอย่างเย็นชา มือก็ห่อหุ้มพื้นที่รอบๆ มู่เฉินไว้ไม่ให้หนีไปได้

ผู้ชมส่ายหัวไปมา ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะเสร็จแน่แล้ว

“อาเตียวด่วนเลย! เรียกท่านพ่อมา!” เมื่อหลินจิ้งเห็นภาพนี้ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไป นางเขย่าแขนของหลินเตียวพูดอย่างรีบร้อน

เซียวเซียวก็หันไปมองเย่าเฉินด้วยความวิตกกังวลในดวงตาไม่แพ้กัน

หลินเตียวและเย่าเฉินขมวดคิ้วก่อนที่จะสบตากันพลางพยักหน้า เตรียมที่จะเรียกหลินต้งแลเซียวเหยียนมาที่นี่

แต่เมื่อพวกเขากำลังจะขยับตัว ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง การกระทำของพวกเขาชะงักไป ขณะมองไปเบื้องหลังมู่เฉินด้วยความสงสัย จังหวะนั้นมิติก็ฉีกออก ร่างเงาร่างหนึ่งเยื้องย่างออกมา

ในเวลาเดียวกันเสียงเย็นเยียบเกรี้ยวกราดของสตรีก็ดังขึ้น “ฝูถูเฉวียน เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนลูกชายของข้า—ชิงเหยี่ยนจิ้ง!”

เมื่อเสียงของสตรีผู้นี้ดังขึ้น ทันใดนั้นค่ายกลก็กระจายออกมาเหนือร่างมู่เฉิน ราวกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวก่อตัวเป็นโลกลึกลับซับซ้อน

มือที่ทะยานเข้าไปก็ถูกดูดเข้าไปในค่ายกล ก่อนที่ความผันผวนจะถูกปลดปล่อยออกมา จากนั้นมือขนาดใหญ่และค่ายกลก็สลายหายไปพร้อมกัน

การเผชิญหน้าที่น่ากลัวกะทันหันทำให้ใบหน้าของผู้ชมซีดเผือด พวกเขานึกไม่ถึงว่าการโจมตีของฝูถูเฉวียนจะถูกจัดการได้ง่ายขนาดนี้

ความตะลึงงันทั้งหมดพุ่งไปข้างหลังมู่เฉินด้วยความตกใจ พวกเขาเห็นผู้หญิงชุดขาวก้าวออกมาพร้อมกับสีหน้าเย็นชาบนใบหน้าอ่อนโยน นอกจากนี้ยังมองเห็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งมากมายบินฉวัดเฉวียนรอบตัวนาง โดยทุกๆ สัญลักษณ์จะรวมกันเป็นค่ายกล

“สวรรค์ นั่นคือหลิงเจิ้นต้าจงซือ!”

“ยิ่งกว่านั้นสัญลักษณ์หลิงยิ่งรอบตัวนางได้ก่อเป็นโลกเอกลักษณ์! นั่นคือหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง!”

“หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง…นี่น่ากลัวเกินไป!”

“เมื่อกี้นางพูดอะไรนะ? มู่เฉินเป็นลูกของนาง? ถ้าอย่างนั้นนางก็คือมารดาของมู่เฉินนะสิ?!”

ขณะที่ทุกคนตกตะลึง สมาชิกเผ่าฝูถูก็ตกใจเมื่อเห็นร่างเงาสะคราญโฉมนั่น คนอื่นอาจไม่รู้จักตัวตนของนาง แต่พวกเขารู้จักดี

นั่นเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้เป็นมารดาของมู่เฉิน—ชิงเหยี่ยนจิ้ง!

หลินเตียวและเย่าเฉินตะลึงงันไปเมื่อมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นและพูดว่า “ไม่คิดว่ามารดาของมู่เฉินจะเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง…”

ในมหาพันภพจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งมีจำนวนน้อย แต่คนที่สามารถประสบความสำเร็จในด้านค่ายกลจนถึงระดับหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งนั้นมีน้อยยิ่งกว่า!

“ฮ่าๆ ในเมื่อมารดามู่เฉินมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่พวกเราต้องเข้าไปแทรกอีกต่อไป” หลินเตียวและเย่าเฉินสบตากันและยิ้ม

ขณะที่ทุกคนตกตะลึง มู่เฉินก็ได้ยินเสียงที่อยู่ข้างหลัง ร่างกายเขาสั่นสะท้านก่อนที่จะค่อยๆ หันหลังด้วยความยากลำบาก มองไปที่ภาพเงานั้น

สายตาของสตรีก็มองมาที่เขาพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งรอบตัวนางผันผวน แสดงให้เห็นถึงแรงกระเพื่อมที่รุนแรงในใจ

“ท่านแม่…”

มู่เฉินพึมพำ

ย้อนกลับไปตอนที่อยู่สำนักศึกษาเป่ยชาง เขาเคยพบมารดามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงร่างดวงจิต แต่ตอนนี้เขากำลังมองตัวจริงของนาง

เขาปรารถนาภาพนี้ทุกวันทุกคืนนับตั้งแต่เดินทางออกจากมณฑลเป่ยหลิง ผ่านความทุกข์ยากนับไม่ถ้วน ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไป แต่ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง…

ผู้หญิงที่เบื้องหน้าดูไม่คุ้นเคย แต่เมื่อเขาเห็นนางก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ลึกลงไปในสายเลือด

นั่นเป็นเพราะตอนที่ชิงเหยี่ยนจิ้งจากไปเขายังเป็นเด็กน้อย แต่ตลอดเส้นทางที่เขาก้าวเดินก็สัมผัสได้ว่านางทำอะไรเพื่อเขาบ้าง

เพื่อปกป้องเขา นางยอมกลับมาที่เผ่าฝูถู ต้องทนทุกข์ทรมานกับความโดดเดี่ยวเพื่อที่เขาจะได้เติบโตอย่างสงบสุข

เพื่อปกป้องเขา นางต้องเจ็บปวดจากการแยกร่างเนื้อและฝังเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจรเข้าในร่างกายของเขา

นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่มู่เฉินยังอดดวงตาแดงก่ำขึ้นไม่ได้

เมื่อมองไปที่ดวงตาที่แดงขึ้นของมู่เฉิน ชิงเหยี่ยนจิ้งก็รู้สึกราวกับหัวใจโดนทุบอย่างหนัก ความเย็นชาที่ใช้เผชิญหน้ากับฝูถูเฉวียนก่อนหน้านี้หายไป นางเดินเข้าไปจับใบหน้าของบุตรชายไว้

“เฉินเอ๋อ เจ้าโตขึ้นแล้ว…”

เสียงแหบพร่าแต่อ่อนโยนของชิงเหยี่ยนจิ้งดังก้อง ย้อนกลับไปตอนที่นางจากมามู่เฉินยังเป็นทารก ก่อนที่นางจะรู้ตัวเขาก็เติบโตมาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเช่นนี้

รูปลักษณ์ของเขาคล้ายกับบิดา แต่ช่วงหว่างคิ้วคล้ายกับนางมากกว่า

สายสัมพันธ์แม่ลูกทำให้ชิงเหยี่ยนจิ้งไม่สามารถละสายตาได้

เมื่อสัมผัสได้ถึงมือเย็นเยียบและสั่นสะท้านบนใบหน้า กระทั่งมู่เฉินที่เก็บอารมณ์เก่งก็ยังดวงตาชื้นขึ้น “ท่านแม่ในที่สุดข้าก็พบท่านแล้ว”

สำหรับวันนี้เขาใช้ความพยายามมากเหลือเกิน

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ น้ำตาของชิงเหยี่ยนจิ้งก็อดไหลออกมาไม่ได้ นางรู้สึกปวดใจ นางรู้ดีว่ามู่เฉินต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดเพื่อที่จะมาถึงเผ่าฝูถู บางทีถ้าเกิดความผิดพลาดบนเส้นทางนั้น พวกนางแม่ลูกคงจะถูกแยกจากกันชั่วนิรันดร์…

นางเหมือนสามารถเห็นภาพเด็กหนุ่มอ่อนโยนออกจากมณฑลเป่ยหลิงเพื่อท่องยุทธภพและเติบโตอย่างแข็งแกร่งผ่านความยากลำบาก…

แค่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ชิงเหยี่ยนจิ้งปวดใจ ราวกับว่าหัวใจถูกกรีดแทง

“ทั้งหมดเป็นความผิดของแม่”

ดวงตาของชิงเหยี่ยนจิ้งคลอคลองด้วยหยาดน้ำตาขณะที่มือเรียวยกขึ้นเช็ดน้ำตาของมู่เฉิน ท่าทางระทมทุกข์ไม่มีลักษณะของหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งผู้ยิ่งใหญ่ นางเป็นเพียงมารดาที่สงสารลูกรักจับใจ

มู่เฉินจับมือของชิงเหยี่ยนจิ้งเบาๆ รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าเขา “ไม่เลย ข้าสัญญากับท่านพ่อว่าจะพาท่านแม่กลับบ้านเรา เพื่อพวกเราจะได้กลับไปอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง”

ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าหนักแน่นและสงบสติอารมณ์ จากนั้นลูบหัวมู่เฉินก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสาดสายตาเย็นชา

“แต่ก่อนหน้านั้นข้าจะเอาความทุกข์ทั้งหมดที่เจ้าเคยรู้สึกมาตลอดให้พวกมันรู้ซึ้ง!!!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท