หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1439 ราชันไป่หลิง

บทที่ 1439 ราชันไป่หลิง

ตอนนี้อารมณ์ของถังเชียนเอ๋อบูดสนิท

หลังจากที่มู่เฉินออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง นางก็เลือกที่จะอยู่ในสำนักศึกษาต่อ ด้วยการทำงานหนักและความสามารถที่มี นางบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปดและยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวง

หลังจากได้เลื่อนตำแหน่ง นางก็ขอวันหยุดสั้นๆ เพื่อกลับมาเยี่ยมบิดาในมณฑลเป่ยหลิง แต่ตอนที่กลับมาถึงก็ได้ข่าวพิธีราชัน เนื่องจากถังซันบิดาของนางต้องติดตามมู่เฟิง นางจึงติดสอยห้อยตามมาเนื่องจากเป็นคนชอบงานครื้นเครงอยู่แล้ว

แต่ปัญหาดันเกิดขึ้น เมื่อไม่กี่วันที่ก่อนนางติดตามพวกมู่เฟิงเข้าพบราชันไป่หลิง อีกฝ่ายมองนางด้วยสายตาระยับระยับและบอกใบ้บางอย่าง ทว่าทั้งหมดก็ถูกนางปฏิเสธไป

เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ราชันไป่หลิงไม่พอใจและยังจำกัดเสรีภาพของพวกนาง โดยตั้งใจที่จะข่มขู่ให้นางยอมจำนน

นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้อารมณ์ของนางแย่สุดๆ

“เฮ้อ ลูกรัก…”

ถังซันยิ้มขมขื่นอยู่ข้างหลังมู่เฟิง เขามองไปที่ถังเชียนเอ๋อที่แม้จะดูนิ่งสงบ แต่ก็กำมือแน่นเป็นครั้งคราว เขารู้ดีว่านางรู้สึกแย่มาก ดังนั้นจึงเริ่มโทษตัวเอง “นี่เป็นความผิดของพ่อเองที่ให้เจ้ามาด้วย”

ถังซันทะนุถนอมบุตรสาวราวกับสมบัติล้ำค่า ย้อนไปตอนนั้นที่เขาส่งนางไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาวั่นหวง เขาก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านางจะมีความสามารถมากขนาดบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปด ซึ่งถือได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของคนที่อยู่ในมณฑลเป่ยหลิง

นอกจากนี้ถังเชียนเอ๋อยังเป็นรองอาจารย์ใหญ่ ซึ่งทำให้แม้แต่มู่เฟิงซึ่งเป็นประมุขพันธมิตรเป่ยหลิงยังเทียบไม่ติด

ตอนแรกเขารู้สึกมีความสุขกับความโดดเด่นของบุตรสาว แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นเพราะความโดดเด่นนี้…

ด้วยสถานะราชันไป่หลิง น่าจะได้พบเห็นสาวงามมามากมาย แต่เมื่อได้พบหน้ากับถังเชียนเอ๋อซึ่งเป็นรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวงก็ยังอดไม่ได้ที่จะถูกดึงดูดและข่มขู่

มู่เฟิงตบไหล่ถังซันแล้วหันไปหาถังเชียนเอ๋อ “เชียนเอ๋อพยายามหาโอกาสไปซะ ราชันไป่หลิงคงไม่ทำอะไรเราด้วยสถานะที่ค้ำคอ อย่างมากก็แค่สลายพันธมิตรเป่ยหลิงไป…”

เขาเฝ้ามองถังเชียนเอ๋อเติบโตไปพร้อมกับมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเห็นนางต้องทนทุกข์

ถังเชียนเอ๋อถอนหายใจ นางได้ยินมาว่าราชันไป่หลิงไม่ใช่คนที่มีจิตใจกว้างขวาง ดังนั้นถ้านางจากไปละก็ เขาจะต้องเอาเรื่องถังซันและมู่เฟิงแน่

“ข้าจะปล่อยให้อะไรเกิดขึ้นกับท่านลุงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับมู่เฉินอย่างไรในอนาคต?”

ถังเชียนเอ๋อกำมือแน่น สายตาวูบไหวพลางตัดสินในใจ นางวางแผนจะหาโอกาสหนีไปพร้อมทุกคน ในฐานะรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวง นางมีวิธีการบางอย่างเพื่อหลบหนีและสลัดราชันไป่หลิงให้พ้นทาง

แต่ถ้านางทำเช่นนั้น พันธมิตรเป่ยหลิงที่มู่เฟิงและถังซันใช้ความพยายามสร้างอยู่หลายปีก็จะสูญสลายไป รวมทั้งตัวนางคงจะไม่สามารถกลับไปยังมณฑลเป่ยหลิงได้อีก

เมื่อนึกถึงแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะนางมีความทรงจำมากมายที่นั่น

ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่ บรรยากาศในห้องโถงก็พลุ่งพล่านพร้อมกับทุกคนยืนขึ้นมองไปยังบัลลังก์ด้วยความเคารพ

ภายใต้ขบวนแถวสาวงาม ร่างเงาร่างหนึ่งที่ดูแข็งแกร่งก็ปรากฏขึ้น เขาสวมเสื้อคลุมสีทองมีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่ดวงตาเรียวยาวทำให้ดูคล้ายกับอิสตรีอยู่หลายส่วน

ขณะที่เดินเขาก็ปลดปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังซึ่งบอกว่ามาถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว

ที่ยืนอยู่ข้างหลังเป็นผู้อาวุโสชุดดำสองคนที่ราวกับวิญญาณ

“คารวะราชันไป่หลิง!”

เมื่อชายคนนั้นปรากฏขึ้นทุกคนก็เอ่ยทักทายพร้อมเพรียง

ราชันไป่หลิงยิ้มนั่งลงบนบัลลงก์แล้วสะบัดมือลง “ทุกคนนั่งลงเถอะ”

ทุกคนแสดงความขอบคุณทันทีก่อนที่จะนั่งลง ท่าทางเต็มไปด้วยเคารพนี้ทำให้ริมฝีปากของราชันไป่หลิงโค้งขึ้น

เขากวาดมองโถงประหนึ่งจักรพรรดิก่อนที่สายตาจะหยุดที่ร่างเงาหนึ่งของพันธมิตรเป่ยหลิง

“ฮ่าๆ แม่นางเชียนเอ๋อ เจ้าพอใจกับเมืองไป่หลิงของข้าหรือไม่?” ราชันไป่หลิงยิ้มโดยไม่สนใจคนที่เหลือและพูดเพียงกับถังเชียนเอ๋อ

ถังเชียนเอ๋อเผยสีหน้าสงบตอบว่า “ข้าได้เห็นแล้วว่าเมืองไป่หลิงเฟื่องฟูขนาดไหน แต่ในฐานะรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวง ข้ากลัวว่าจะไม่สามารถอยู่ได้นานเพราะมีหลายสิ่งต้องไปจัดการ”

นางปฏิเสธอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็นำสำนักศึกษาวั่นหวงมาช่วยออกหน้าด้วยความหวังว่าราชันไป่หลิงจะลดระดับลงบ้าง

ราชันไป่หลิงหัวเราะเบาๆ ทำเหมือนจะไม่ได้ยินความหมายในคำพูดของถังเชียนเอ๋อ เขายกถ้วยหยกตรงหน้าพลางหัวเราะ “ข้าไม่ทุบตีรอบพุ่มไม้ ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกพและหวังว่าแม่นางเชียนเอ๋อจะอยู่เคียงข้างเพื่อดูแลทวีปไป่หลิงกับข้า”

คำพูดของเขาทำให้เกิดความวุ่นวายในโถง ทุกคนหันมามองที่ถังเชียนเอ๋อด้วยความอิจฉา ในสายตาของพวกเขานี่เป็นการก้าวสู่สวรรค์เลยทีเดียว

ทว่าถังเชียนเอ๋ออดกำกำปั้นด้วยความโกรธที่มีต่อราชันไป่หลิงไม่ได้ แต่นางไม่ใช่สาวน้อยที่กล้าได้กล้าเสียเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป นางหายใจเข้าลึกตอบว่า “ข้าขอขอบคุณราชันไป่หลิงสำหรับความรู้สึกที่มีให้ แต่ข้าชอบจัดการงานในสำนักศึกษาวั่นหวงมากกว่า เห็นแก่หน้าสำนักศึกษา ท่านให้เรื่องนี้ผ่านไปเถอะ”

ราชันไป่หลิงยิ้มขณะเล่นถ้วยหยกในมือ “แม้ว่าสำนักศึกษาวั่นหวงจะมีชื่อเสียง แต่กลัวว่ายังไม่เพียงพอที่จะระงับข้าได้…”

“ท่านพ่อข้าเป็นประมุขตำหนักปลายเหนือและมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น ส่วนมารดาก็เป็นเจ้าสำนักร้อยบุปผาที่มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น”

ราชันไป่หลิงกล่าวขณะที่ยิ้มให้ถังเชียนเอ๋อ “เจ้าคิดว่าราชันอย่างข้าจะกลัวสำนักศึกษาวั่นหวงกระจ้อยร่อยเหรอ?”

แม้ว่าน้ำเสียงจะกลั้วเสียงหัวเราะ แต่บรรยากาศในห้องโถงก็เงียบลงจนผู้คนตัวสั่น ถึงพวกเขาจะรู้ภูมิหลังของราชันไป่หลิง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดันและตกใจเมื่อได้ยิน

ตำหนักปลายเหนือมีชื่อเสียงทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ ขั้วอำนาจนี้ปกครองสี่ทวีป ซึ่งทวีปไป่หลิงเป็นหนึ่งในนั้น ตำหนักปลายเหนือจึงถือได้ว่าเป็นเจ้าเหนือหัวโดยไม่มีการโต้แย้งในดินแดนอันกว้างใหญ่นี้

ส่วนสำนักร้อยบุปผาแม้จะไม่ทรงพลังเท่าตำหนักปลายเหนือ แต่ก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนซึ้งถือได้ว่าครอบงำมาก เมื่อเทียบกับสิ่งนั้นผู้นำทั้งหมดที่นี่คือมดปลวก

อีกฝ่ายสามารถสลายพวกเขาเป็นฝุ่นได้ด้วยการเป่าเบาๆ

นี่เป็นสาเหตุที่ราชันไป่หลิงสามารถควบคุมทวีปไป่หลิงโดยมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น กระทั่งจอมยุทธ์ทรงพลังบางคนยังต้องยอมก้มหัวให้เขา

นั่นเป็นเพราะราชันไป่หลิงมีภูมิหลังที่น่ากลัว!

สีหน้าของถังเชียนเอ๋อเปลี่ยนไปขณะความกดดันกวนตัว ในแง่ของความแข็งแกร่งสำนักศึกษาวั่นหวงเอามาเทียบไม่ได้เลย

ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าสำนักศึกษาวั่นหวงเป็นผู้อ่อนแอ เนื่องจากในฐานะสำนักศึกษา สิ่งที่แข็งแกร่งไม่ใช่พลัง แต่เป็นความสัมพันธ์ที่มี

ดังนั้นหากตำหนักปลายเหนือและสำนักร้อยบุปผาต้องการทำลายสำนักศึกษาวั่นหวง นางเชื่อว่าพวกเขาต้องเผชิญกับการขัดขวางไม่น้อย

ถังเชียนเอ๋อกำมือตอบว่า “ราชันไป่หลิงต้องการบังคับข้าแบบนี้จริงหรือ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของถังเชียนเอ๋อ รอยยิ้มของราชันไป่หลิงก็จางหายไปพร้อมกับประกายอันตรายวาบในดวงตา

ทั้งโถงเงียบกริบ ทุกคนรู้สึกว่าแผ่นหลังเหงื่อไหลโชก พวกเขาทั้งหมดสาปแช่งถังเชียนเอ๋อที่ไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง หากนางทำให้ราชันไป่หลิงขุ่นเคืองใจ เรื่องนี้จบไม่ดีแน่

สายตาของมู่เฟิงเปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ตกอยู่บนตัวถังเชียนเอ๋อ เขากัดฟันยืนขึ้นคารวะราชันไป่หลิงพร้อมกับรอยยิ้ม “ราชันอย่าโกรธเคืองเลย เชียนเอ๋อแค่ไม่รู้ แต่นางเป็นเพื่อนรักวัยเด็กของบุตรชายข้า ท่านเป็นคนที่จะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ ทำไมต้องมีปัญหากับผู้หญิงคนเดียว…”

แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ราชันไป่หลิงก็มองมาอย่างเย็นชา ผู้อาวุโสในชุดดำก็มองตามและก้าวออกไป “แกมีคุณสมบัติพอที่จะพูดที่นี่เรอะ?!”

คำพูดของเขาราวกับเสียงฟ้าร้องดังก้อง ทำให้ทั้งโถงสั่นสะเทือน คำพูดของมู่เฟิงหยุดลงขณะผลกระทบซัดใส่ ใบหน้าของเขาซีดลง ร่างกายซวนเซพร้อมกับรอยเลือดไหลที่มุมปาก

แรงกดดันคลื่นหลิงที่น่ากลัวที่เกิดขึ้นจากผู้อาวุโสชุดดำทำให้ผู้นำขั้วอำนาจอื่นสั่นสะท้าน “ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?!”

พวกเขาอุทานในใจ ราชันไป่หลิงช่างมีการสนับสนุนที่น่ากลัวแท้จริง แม้จะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ก็มีผู้คุ้มกันสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

ราชันไป่หลิงคลึงถ้วยหยกเล่นไม่ได้มองไปที่มู่เฟิงขณะพูดอย่างไม่แยแส “ข้าไม่อนุญาตให้พูด เจ้ากล้าพูดแทรกได้ยังไง? แกเป็นใคร? แล้วลูกแกเป็นใครอีก? เขากล้าแย่งผู้หญิงกับข้าเรอะ?”

ใบหน้าของมู่เฟิงสลับไปมาระหว่างเขียวกับขาวขณะที่กำหมัดแน่น

“ลุงมู่เป็นยังไงบ้างเจ้าคะ?” ถังเชียนเอ๋อรีบเข้ามาประคองมู่เฟิงพลางถาม

มู่เฟิงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่นแล้วถอนหายใจ “ลุงไร้ประโยชน์”

ถังเชียนเอ๋อกัดฟันกรอด ดวงตาวูบไหว นางรู้ว่าอยู่ที่นี่อีกต่อไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้นางคงต้องทำเป็นเอาใจราชันไป่หลิงไปก่อน แล้วหาโอกาสเหมาะพาทุกคนหนีไป

ด้วยความคิดนี้ นางลุกขึ้นมองไปยังราชันไป่หลิงก่อนที่จะกัดฟัน “ได้ ข้าสัญญา…”

แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรออกไป จู่ๆ ก็มีมือยื่นออกมาจากด้านหลังปิดปากนางไว้

ในเวลาเดียวกันเสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นพร้อมกับความหนาวเหน็บสาดซัดในโถง

“พี่เชียนเอ๋ออย่าบุ่มบ่ามพูดอย่างนั้น ขยะอย่างเขาไม่คู่ควรกับเจ้าเลยสักนิด…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท