หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1444 ฉิงเป่ยเฉวียน

บทที่ 1444 ฉิงเป่ยเฉวียน

เสียงคำรามดังก้องทั่วขอบฟ้าสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคน

แรงกดดันพลังงานหลิงจากฉิงเป่ยเฉวียนไม่ได้ดุร้ายเท่าหลิ่วไป่ฮวา แต่คล้ายกับคลื่นใต้น้ำของมหาสมุทรที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวอย่างเงียบๆ

ทุกสายตาพากันหวาดกลัวเมื่อมองไปที่ภาพเงาบนท้องฟ้า ผู้มาใหม่มีร่างกำยำสวมชุดสีฟ้าอมเขียว คลื่นหลิงในดวงตาก็ถูกปกปิดไว้ หากไม่ใช่เพราะความกดดันที่น่ากลัว ทุกคนคงคิดว่าเขาเป็นชายวัยกลางคนธรรมดาคนหนึ่ง

ทว่าทุกคนที่นี่รู้ดีว่าคนผู้นี้มีสถานะอย่างไร…

เขาคือประมุขตำหนักปลายเหนือและยังเป็นเจ้าทวีปทั้งสี่ที่มีทวีปไป่หลิงเป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นพร้อมกับชื่อเสียงเกรียงไกรไปทั่วทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ

แม้แต่ในมหาพันภพ จอมยุทธ์ผู้นี้ก็เป็นเจ้าเหนือหัว

“ท่านพ่อ!”

ราชันไป่หลิงรู้สึกยินดีในทันที

“เป่ยเฉวียนอย่าปล่อยให้ไอ้เวรนั่นหลุดไป!” หลิ่วไป่ฮวาฟื้นจากอาการตกใจก็กัดฟันกรอด

นางโกรธมาก ตอนแรกนางคิดว่าอย่างมากมู่เฉินก็อยู่ในระดับเดียวกัน แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกปราบได้หลังจากการแลกเปลี่ยนเพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น

ความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินน่ากลัวนักทำให้นางหวาดกลัว ดังนั้นนางต้องการให้ฉิงเป่ยเฉวียน จัดการฆ่ามู่เฉินที่นี่ซะ

กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงเพิ่งรู้สึกโล่งใจที่มู่เฉินเอาชนะหลิ่วไป่ฮวาได้อย่างง่ายดาย พริบตาหัวใจพวกเขาก็เหมือนถูกควักพร้อมกับใบหน้าซีดเผือด แม้พวกเขาจะอยู่ไกลจากระดับเทียนจื้อจุน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่รู้ช่องว่างระหว่างระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนและขั้นหลิง

ตำหนักปลายเหนือมีอิทธิพลมากในฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สามารถครอบครองสี่ทวีปได้ สำหรับเหตุผลที่พวกเขาประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่มาจากขุมพลังของฉิงเป่ยเฉวียนที่อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน

แม้ว่ามู่เฉินจะสามารถเอาชนะหลิ่วไป่ฮวาได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะถือไพ่เหนือกว่าฉิงเป่ยเฉวียนได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าฉิงเป่ยเฉวียนยังนำผู้ช่วยสามคนมาในครั้งนี้ด้วย

ดังนั้นเท่ากับว่าอีกฝ่ายมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนห้าคน นี่เป็นการรวมตัวที่น่าทึ่ง ซึ่งทำให้ผู้คนหนังหัวชาหนึบได้เลยทีเดียว

ทว่ามู่เฉินกลับไม่มีการแสดงออกบนใบหน้า เขามองไปที่ฉิงเป่ยเฉวียนอย่างใจเย็น “เจ้าเป็นประมุขตำหนักปลายเหนือ— ฉิงเป่ยเฉวียนเรอะ?”

“ข้าเอง” ฉิงเป่ยเฉวียนตอบเบาๆ

“แล้วเจ้ารู้สถานการณ์เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในวันนี้หรือไม่?”

ท่าทางของฉิงเป่ยเฉวียนไม่แยแส เขาได้รับข้อมูลจากผู้อาวุโสหลู่ที่ไปหาแล้ว “ลูกชายข้าเป็นฝ่ายผิดก็จริง แต่เจ้าตัดแขนของเขาสองข้างไม่เกินไปเรอะ”

“ทำไมล่ะ?” มู่เฉินยิ้มขณะตั้งคำถาม “ถ้าข้ามาช้าอีกก้าวเดียว บิดาข้าคงไม่ใช่แค่บาดเจ็บแล้ว สหายข้าก็อาจต้องอับอาย เจ้าคิดว่าลูกชายตัวเองสูงส่งกว่าบิดาและสหายของข้ารึไง?”

ถึงแม้จะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่เสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา

“ไอ้เวร ลูกชายข้าเกิดมาพร้อมเกียรติยศศักดิ์ศรี เขาสูงส่งกว่าพวกแกโดยธรรมชาติ!” หลิ่วไป่ฮวาหัวเราะเยาะ ในเมื่อฉิงเป่ยเฉวียนอยู่ที่นี่แล้วความมั่นใจของนางก็เพิ่มขึ้นคับฟ้า

เมื่อมู่เฉินได้ฟังสายตาก็วูบไหว “หยุดสาระแน! แกคิดว่าสิ่งนี้สามารถปกป้องตัวเองได้จริงๆ หรือ?”

ขณะที่พูดเขาก็โบกมือ ทันใดนั้นเพลิงม่วงบนกระดองเต่าฟ้าก็ระเบิดขึ้น เปลวไฟพุ่งเข้าใส่กระดองเต่าอีกครั้ง

ตู้ม!

ด้วยพลังเต็มพิกัดของเพลิงม่วง อุณหภูมิที่น่าสะพรึงก็แผ่ออก ทำให้พื้นโดยรอบละลายพร้อมกับเกิดเสียงร้องโหยหวน

เห็นได้ชัดว่าเต่าฟ้าตัวนั้นเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิง แต่ก็ยังไม่สามารถทนต่อเพลิงม่วงที่ครอบงำได้ ใต้กองไฟกระดองเต่าก็มีร่องรอยของการหลอมละลาย

ตึง!

เพลิงม่วงทำให้ความสามารถในการป้องกันของกระดองเต่าลดลงพร้อมกับพลังมหาศาลทุบกระดองเต่าลงกับพื้น ก่อนที่ฉิงเป่ยเฉวียนจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง

หลุมอุกกาบาตขนาดหมื่นจั้งปรากฏภายในเมือง ร่างหลิ่วไป่ฮวาไหม้เป็นตอตะโก แม้แต่เรือนผมก็ถูกไฟไหม้จนหมด กระดองเต่าสีฟ้าอมเขียวก็สลัวลง หากไม่ใช่เพราะกระดองเต่ารับแรงส่วนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังกำปั้น คงจะทำให้กายาหลิงเทียนจุนของหลิ่วไป่ฮวาป่นปี้ไปหมดแล้ว

แต่กระนั้นนางก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ความไม่เชื่อกระจายบนใบหน้า นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามู่เฉินจะ กล้าทำร้ายนางต่อหน้าฉิงเป่ยเฉวียน

“อ๊ายๆๆๆ!”

หลิ่วไป่ฮวาแผดร้องด้วยความโกรธก่อนที่จะตะโกนลั่น “เป่ยเฉวียน เร็ว ฆ่ามัน!”

แม้แต่ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนก็ดูน่าเกลียดไปในตอนนี้ การกระทำของมู่เฉินไม่มองเขาอยู่ในสายตาเลย สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกโกรธ เสียงแผดดังก้อง “ในเมื่อแกกล้ามาก ข้าก็จะจับแกมาจัดการในวันนี้!”

พูดจบกระดองเต่าสีฟ้าที่ปกป้องหลิ่วไป่ฮวาก็เริ่มขยายขนาดขึ้นจนมีขนาดหลายหมื่นจั้ง

เต่าสีฟ้าโผล่ออกมาด้วยท่าทางน่ากลัว ขณะที่อ้าปากพ่นสายธารสีฟ้าที่ทุกหยดหนาแน่นราวกับภูเขา ห่อหุ้มร่างมู่เฉินเอาไว้ภายใน

“ฮ่าๆ ตอนนี้เต่าทะเลเหนือของพี่ฉิงทรงพลังมาก ภายใต้สายธารไม่มีจอมยุทธ์คนใดที่อยู่ภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนสามารถต้านได้” หนึ่งในสามจอมยุทธ์ที่มาพร้อมกับฉิงเป่ยเฉวียนพูดด้วยรอยยิ้ม

อีกสองคนก็พยักหน้า พวกเขารู้เกี่ยวกับสายธารสีฟ้าเช่นกัน เส้นทางตอนที่ฉิงเป่ยเฉวียนก่อตั้งตำหนักปลายเหนือ เต่าทะเลเหนือตัวนี้ก็ติดตามฉิงเป่ยเฉวียนเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่รู้กี่คน

เมื่อมองจากความผันผวนของคลื่นหลิงชายหนุ่มก็น่าจะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อกรกับฉิงเป่ยเฉวียน

“เต่าทะเลเหนือเรอะ…”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองเต่า เต่าทะเลเหนือตัวนี้เป็นหนึ่งในเทพอสูรที่มีพลังเทียบเท่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้เมื่อโตเต็มที่ ฉิงเป่ยเฉวียนคงได้รับแก่นโลหิตและนำไปกลั่นเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิง

โดยปกติแล้วจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นบวกกับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิง จะสามารถจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้ แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่ได้ธรรมดาแบบนั้น

“ดูเหมือนการพูดด้วยเหตุผลกับครอบครัวแกจะไร้ประโยชน์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คุยด้วยหมัดละกัน”

มู่เฉินส่ายหัวด้วยสีหน้าไม่แยแส จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือเดียว ทันใดนั้นลวดลายแพรวพราวทั้งเก้าก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา

ในเวลาเดียวกันแสงยุ่งเหยิงก็เกิดขึ้นด้านหลังมู่เฉินซึ่งดูลึกซึ้งไม่น่าเชื่อ นี่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งกว่ามิติและเวลา

“แสงเทพปฐมกาล”

มู่เฉินเปล่งเสียงเย็นชาในใจ ลำแสงก็พุ่งผ่านสายธารสีฟ้าไป

วาบ!

เมื่อลำแสงส่องเข้ามาสายธารสีฟ้าก็หายไปทันที เพิ่มร่องรอยสีฟ้าในกลุ่มแสงที่อยู่เบื้องหลังศีรษะของมู่เฉิน

ทว่ามู่เฉินไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ กลุ่มแสงยุ่งเหยิงยิงออกมาอีกครั้ง ทะลุผ่านมิติบินไปหาเต่าสีฟ้า

วาบ!

เมื่อลำแสงพุ่งไป เต่าสีฟ้าก็หายไปก่อนที่เต่าสีฟ้าขนาดเท่าฝ่ามือจะปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มแสงที่อยู่เบื้องหลังศีรษะมู่เฉิน

ราวกับว่ากลุ่มแสงยุ่งเหยิงนี้สามารถยับยั้งทุกสรรพสิ่งได้…

“อะไรน่ะ?!” ภาพนี้ทำให้ม่านตาของฉิงเป่ยเฉวียนหดลง จอมยุทธ์ทั้งสามที่อยู่เบื้องหลังเขาก็เปลี่ยนสีหน้าด้วยความไม่เชื่อ

พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าเต่าทะเลเหนือของฉิงเป่ยเฉวียนจะเปราะบางขนาดนี้ในมือของชายหนุ่ม

“วิชาเทพที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเด็กนั่นคืออะไรกัน? ทำไมถึงครอบงำนัก?!” จอมยุทธ์คนหนึ่งพูดด้วยความตกตะลึง

ทุกคนในโถงใบหน้าแข็งค้าง ฉากนี้เกินจินตนาการของพวกเขาไปไกลแล้ว

ยามนี้กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงก็ตกใจจนไม่รู้จะแสดงสีหน้าอะไรดี

ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนก็เคร่งเครียดอย่างแท้จริง เขามองไปที่กลุ่มแสงยุ่งเหยิงที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินด้วยความกลัว ก่อนที่เขาจะหันกลับและประสานมือ “สหาย ข้าเกรงว่าต้องขอความช่วยเหลือจากทุกคนในครั้งนี้แล้ว”

ตอนนี้ฉิงเป่ยเฉวียนไม่คิดกับมู่เฉินเหมือนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดาอีกต่อไป ความสามารถในการต่อสู้ที่น่าตกใจของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจชื่อเสียงที่มีและขอความช่วยเหลือจากสหายเพราะกลัวว่าตนเองจะพ่ายแพ้

เมื่อได้ยินคำพูดของฉิงเป่ยเฉวียน จอมยุทธ์สองคนก็ลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้า แม้ว่ามู่เฉินจะน่ากลัว แต่พวกเขาก็มีข้อได้เปรียบในเรื่องจำนวนคน มู่เฉินไม่สามารถสู้กับคนทั้งหมดได้หรอก

ฉิงเป่ยเฉวียนมองไปที่จอมยุทธ์คนสุดท้าย เพราะชายคนนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น หากเขายอมช่วย มู่เฉินคงถึงคราวแม้ว่าจะมีทักษะมากมายก็ตาม

ทว่าเขาก็ต้องประหลาดใจที่เพื่อนสนิทคนนี้ไม่ได้ให้คำมั่น ตรงกันข้ามอีกฝ่ายขมวดคิ้วมองไปที่กลุ่มแสงยุ่งเหยิงที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินราวกับว่ากำลังครุ่นคิดบางอย่าง

“พี่หลู่?”

ฉิงเป่ยเฉวียนมองไปด้วยสายตางุนงง เขามีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสหายคนนี้และพวกเขามักจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เหตุใดอีกฝ่ายจึงลังเลเพียงแค่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง?

อีกฝ่ายไม่ตอบสนองฉิงเป่ยเฉวียน แต่มองไปที่มู่เฉินพักใหญ่ก่อนที่จะคิดอะไรบางอย่างออก ทันใดนั้นท่าทางเขาก็เปลี่ยนไป เขาไม่สนสายตาของสหายทั้งสาม ประสานมือให้มู่เฉินด้วยความระมัดระวัง “ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าเจ้าคือประมุขมู่เฉินแห่งทวีปเทียนหลัวใช่หรือไม่”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท