หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1435 การเปลี่ยนแปลงของเผ่าฝูถู

บทที่ 1435 การเปลี่ยนแปลงของเผ่าฝูถู

ทุกคนต่างตกตะลึง

ไม่มีใครคาดคิดว่าตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่จะเปลี่ยนแปลงต่อหน้าต่อตาพวกเขา…

ตระกูลเฉวียนและมั่วแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขารู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมด พวกเขารู้ว่าช่วงเวลาที่ชิงเหยี่ยนจิ้งขึ้นดำรงตำแหน่ง ทั้งสองตระกูลก็ไม่สามารถทำเบ่งได้อีกต่อไป

มิหนำซ้ำตอนนี้ผู้อาวุโสของตระกูลเฉวียนและมั่วยังถูกมู่เฉินปราบปรามอยู่ใต้ภูเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถส่งเสียงคัดค้านใดๆ สักแอะและไม่มีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้นด้วย

ส่วนตระกูลย่อยอื่นๆ แม้จะรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ยอมรับได้มากกว่า เนื่องจากชิงเหยี่ยนจิ้งมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้อาวุโสใหญ่จากพลังที่นางมี บวกกับความไม่พอใจที่พวกเขามีต่อตระกูลเฉวียนและมั่ว ซึ่งนี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับพวกเขา

สมาชิกตระกูลชิงต่างส่งเสียงโห่ร้องยินดี แม้ว่าการดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่จะหมายความว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะต้องออกจากตระกูลเพื่อรักษาความยุติธรรมและการตัดสินใจอย่างยุติธรรม แต่นี่ก็ยังคงเป็นข่าวดีสำหรับพวกเขา

อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งจากตระกูลเฉวียนและมั่ว

“น่าสนใจ…”

เย่าเฉินและหลินเตียวก็อึ้งไปกับฉากนี้ก่อนที่ทั้งสองคนจะยิ้ม ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะดำเนินมาในลักษณะนี้? ตอนแรกพวกเขาคิดว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะต้องทนทุกข์จากเจดีย์บรรพบุรุษ แต่สถานการณ์กลับตาลปัตรนางกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่ของเผ่าฝูถูแล้ว

พวกเขารู้ว่าเมื่อเรื่องนี้มาถึงจุดนี้ก็ถือว่าจบลงแล้ว ชิงเหยี่ยนจิ้งสามารถระงับเสียงทั้งหมดในเผ่าได้ด้วยพลังของนาง

“หึ ช่างเป็นไอ้แก่ที่ไร้ประโยชน์”

หมัวเฮอโยวขมวดคิ้วและสาปแช่ง ตอนแรกเขาหวังว่าจะเกิดการต่อสู้ล้างเลือดระหว่างฝูถูเฉวียนและชิงเหยี่ยนจิ้ง ใครจะไปคิดได้ว่าสุดท้ายจะเกิดผลลัพธ์นี้ นอกจากนี้ฝูถูเฉวียนไม่เพียงแต่ไม่โต้กลับเพื่อได้มา แต่ยังยอมรับโดยสดุดี

มู่เฉินก็ตกใจกับเหตุการณ์เบื้องหน้า ท่าทางเขาประหลาดไปหลายส่วน ตอนแรกเขาตั้งใจจะมารับมารดาแล้วพากันออกจากเผ่าโบราณงี่เง่านี้ แต่ตอนนี้นางกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าแทน…

“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้เนี่ย…?” มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากพลางยิ้มเก้อ

ขณะที่ทุกคนตกตะลึง แววตาของชิงเหยี่ยนจิ้งก็ผ่อนคลายลงเมื่อเห็นฝูถูเฉวียนลงจากตำแหน่งผู้อาวุโสให้อย่างไม่ยึดติด

หากฝูถูเฉวียนเพิกเฉยต่อกฎและตอบโต้ นางอาจต้องใช้เจดีย์บรรพบุรุษและขังเขาไว้ให้สำนึก แต่หากเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดผลกระทบใหญ่ต่อเผ่าฝูถู

นอกจากนี้ก็เทียบเท่ากับการสูญเสียจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ต้องรู้ว่าจอมยุทธ์ระดับนี้ทุกคนเป็นเสาหลักของเผ่าและการสูญเสียคนใดคนหนึ่งก็จะทำให้รากฐานของเผ่าเสียหาย

นี่เป็นสาเหตุที่ฝูถูเฉวียนและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ไม่กล้าบังคับนางมาก แม้ว่านางจะถูกจองจำก็ตาม

“อย่างน้อยท่านก็ไม่โง่” แม้ว่าท่าทางนางจะผ่อนคลายลง แต่น้ำเสียงยังคงเย็นชา นางรู้สึกโกรธที่ฝูถูเฉวียนพยายามจับมู่เฉินในอดีต

ขณะที่พูดค่ายกลรอบตัวนางก็ผันผวนและหายไปกลายเป็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งมากมายก่อนที่จะพุ่งกลับมาสถิตในแขนเสื้อของนาง

“กฎคือกฎ ไม่งั้นข้าไม่จบเรื่องง่ายๆ แบบนี้หรอก” ฝูถูเฉวียนตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมใครพร้อมกับใบหน้าที่บึ้งตึง

ทว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไร เมื่อเหลือบมองสภาพอนาถบนพิ้นดินก็สะบัดแขนเสื้อ “ในเมื่อตอนนี้เจ้าเป็นผู้อาวุโสใหญ่ก็ต้องจัดการเรื่องยุ่งทั้งหมดนี่เอง ข้าไม่เกี่ยวด้วยแล้วนะ”

จากนั้นสายตาเขาก็กวาดไปที่มู่เฉิน ซึ่งชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้ถึงสายตาซับซ้อนของฝูถูเฉวียน

“หวังว่าลูกชายเจ้าจะไม่ทำให้เส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรสูญเปล่าซะละ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ส่งเสียงเข้ม “ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ลูกชายข้าก้าวเดินเพียงลำพังโดยไม่มีทรัพยากรใดๆ จากเผ่าฝูถูและมาไกลได้ขนาดนี้ ความสำเร็จของเขาในอนาคตจะเกินกว่าจอมยุทธ์ทุกคนในเผ่าที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ”

ฝูถูเฉวียนอยากยิ้มเยาะต่อคำพูดนางสักหน่อย แต่เมื่อนึกถึงความสำเร็จของมู่เฉินที่เหนือกว่าทุกคนในที่นี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขากอบทุกอย่างจากความว่างเปล่าด้วยตัวเองพร้อมกับพรสวรรค์ที่มีอย่างแท้จริง

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพ่นลมหายใจทะยานเข้าไปยังส่วนลึกของมิติแล้วหายไปในพริบตา

เมื่อฝูถูเฉวียนจากไปแล้วบรรยากาศที่ตึงเครียดก็บรรเทาลง

“ทักทายผู้อาวุโสใหญ่!”

เมื่อบรรยากาศคลายลง สมาชิกตระกูลชิงก็เปล่งเสียง จากนั้นตระกูลสาขาแม้แต่ตระกูลเฉวียนและมั่วก็ตามมา

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งเห็นการทักทายของพวกเขา นางก็โบกมือให้

“ผู้อาวุโสใหญ่… ไม่ทราบว่าสามารถปล่อยให้ผู้อาวุโสตระกูลเราทั้งสองออกมาก่อนได้ไหม?” หลังจากลังเลสมาชิกตระกูลของเฉวียนและมั่วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

เมื่อมองภูเขาที่อยู่บนพื้นดินทันใดนั้นชิงเหยี่ยนจิ้งก็รู้สึกปวดหัวจี๊ด งานแรกของการเป็นผู้อาวุโสใหญ่ก็เริ่มไม่ง่ายแท้จริงแล้ว

ทว่านางจะทำเมินปล่อยให้ผู้อาวุโสของทั้งสองตระกูลถูกปราบปรามไม่ได้ ใครบางคนอาจคิดเล็กคิดน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงโบกมือภูเขาเหล่านั้นก็ยกขึ้นก่อนที่จะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

เมื่อภูเขาลอยออกไป เงาสิบกว่าร่างก็ทะยานออกมาทันที

“มู่เฉิน วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยแกไปแน่นอน!” เฉวียนกวางที่เป็นอิสระผมรกรุงรังไปหมด สายตามองไปที่มู่เฉินอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

แต่หลังจากนั้นเฉวียนกวางก็รู้สึกได้ถึงความเงียบงัน ก่อนที่เขาจะเห็นผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของตระกูลเฉวียนพยายามส่งสัญญาณทางสายตาให้

ดังนั้นเขาจึงอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงเย็นดังมาจากท้องฟ้า “โอ้? เจ้าจะทำอะไรลูกชายข้ารึ”

เฉวียนกวางเงยหน้าขึ้นก็เห็นชิงเหยี่ยนจิ้ง หัวใจเขาสั่นสะท้านอุทานออกมาว่า “ชิงเหยี่ยนจิ้ง? ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?!”

มั่วถงก็รู้สึกงงงวยพร้อมกับแววหวาดเกรง ในเวลาเดียวกันสายตาเขาก็ค้นหาร่างเงาของฝูถูเฉวียน อย่างต่อเนื่อง โดยคิดถามเหตุผลว่าทำไมชิงเหยี่ยนจิ้งถึงอยู่ที่นี่

ชิงเหยี่ยนจิ้งกวาดสายตาเย็นชาประกาศว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าคือผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู ฝูถูเฉวียนเลือกที่จะเข้าสู่สันโดษแล้ว”

เฉวียนกวางและมั่วถงตกตะลึงทันที ความไม่เชื่อพล่านในสายตาของพวกเขา ขณะที่พวกเขาพูดติดอ่าง “นะ นี่…เป็นไปได้ยังไง?! เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร!”

พวกเขาถูกระงับเพียงช่วงสั้นๆ ทำไมสถานการณ์ทั้งหมดถึงเปลี่ยนไป?

พวกเขามองไปที่ผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนและมั่วที่สวมสีหน้าขมขื่น แต่ไม่มีใครหักล้างคำพูดของนาง

เมื่อเฉวียนกวางและมั่วถงได้สติ พวกเขาก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสถานการณ์จะก้าวหน้าไปในลักษณะนี้ ตอนนี้ชิงเหยี่ยนนจิ้งดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่และกุมอำนาจของเผ่าฝูถูไว้แล้ว จากนี้ไปพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้อีก เว้นแต่พวกเขาจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งและชิงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่มาจากชิงเหยี่ยนจิ้ง

ทว่าแม้พวกเขาจะอยู่ในขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุด ห่างจากขั้นเซิ่งเพียงก้าวเดียว แต่พวกเขาก็รู้ว่านี่อาจเป็นก้าวที่ไม่สามารถก้าวไปได้ตลอดชั่วชีวิต

เมื่อนึกถึงการกลั่นแกล้งตระกูลชิงในอดีตและทัศนคติของพวกเขาที่ต่อต้านชิงเหยี่ยนจิ้งและมู่เฉินแม้แต่เฉวียนกวางและมั่วถงก็อดรู้สึกวิงเวียนไม่ได้

พวกเขารู้ดีว่าตระกูลเฉวียนและมั่วจะไม่มีช่วงเวลาที่ดีในอนาคต

แม้จะมีความยุ่งเหยิงในใจทั้งสองคนก็ยังเป็นประมุขตระกูล ดังนั้นจึงได้แต่ระงับอารมณ์และฝืนยิ้มให้ชิงเหยี่ยนจิ้ง “ถ้างั้นพวกเราขอทักทายผู้อาวุโสใหญ่”

ชิงเหยี่ยนจิ้งฉายท่าทางเย็นชาก่อนจะพยักหน้าส่งๆ นางทั้งเกลียดและขยะแขยงเฉวียนกวางและมั่วถง แต่ทั้งสองเป็นประมุขตระกูล หากนางจัดการกับพวกเขาก็จะนำปัญหามาสู่เผ่า ดังนั้นนางไม่สามารถทำอะไรเร่งรีบในขณะนี้ได้ ตราบใดที่นางดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ก็มีโอกาสมากมายที่จะปราบปรามทั้งสองตระกูลในอนาคตเพื่อลดความได้เปรียบลง

“กลับไปที่ตัวเองซะ”

เมื่อได้ยินเสียงของชิงเหยี่ยนจิ้ง เฉวียนกวางและมั่วถงก็พยักหน้าอย่างขมขื่นก่อนที่จะพาผู้อาวุโสที่อยู่ใต้อาณัติกลับไปที่ภูเขาต่างๆ

เมื่อมองไปที่แขกผู้ทรงเกียรติ ความเย็นชาในดวงตาของชิงเหยี่ยนจิ้งก็ค่อยๆ ลดลงและกลับมาเป็นอบอุ่นอ่อนหวาน

“ข้าให้ทุกคนดูเรื่องตลกในวันนี้แล้ว งานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถูจะสิ้นสุดลงในวันนี้ ขอเชิญทุกท่านอยู่ที่เผ่าฝูถูต่ออีกสองสามวันเพื่อให้ทางเราจะได้ต้อนรับในฐานะเจ้าภาพ”

น้ำเสียงของชิงเหยี่ยนจิ้งอบอุ่น แต่เนื่องจากทุกคนได้เห็นความเด็ดขาดของนางเมื่อครู่ พวกเขาจึงได้แต่แสดงความขอบคุณอย่างรวดเร็ว

เมื่อสายตานางหันไปทางเย่าเฉินและหลินเตียวสีหน้าก็อบอุ่นขึ้นอีกหลายส่วน “ขอบคุณมากสำหรับท่านสองที่ช่วยดูแลเฉินเอ๋อ หากมีโอกาสในวันหน้าข้าจะเดินทางไปยังแค้วนหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูเป็นการส่วนตัว เพื่อเยี่ยมคารวะเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม”

พบปะกับหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง แม้แต่เย่าเฉินแลหลินเตียวยังต้องแสดงความเคารพ พวกเขาจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็ถอนหายใจ ตอนแรกพวกเขาเพียงแค่มาชมงานชุมนุมสายเลือด แต่ใครจะคิดว่าพวกเขาจะได้ชมการแสดงที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้…

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเผ่าฝูถูจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่…

สำหรับมู่เฉิน… ชื่อของเขาจะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ บวกกับการที่มารดาเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูก็คงไม่ค่อยมีใครกล้าท้าทายอีกแล้ว…

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท