หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1430 ต้านทั้งเผ่าด้วยตัวคนเดียว

บทที่ 1430 ต้านทั้งเผ่าด้วยตัวคนเดียว

ครืน!

ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวพุ่งลงมาพร้อมกับค่ายกลขนาดมหึมา ทำให้ใบหน้าของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนเปลี่ยนไป

ทุกคนมีสีหน้าหวาดผวา ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวค่ายกลมหึมาบนท้องฟ้าเลย

ใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงเปลี่ยนไป พวกเขาอุทานด้วยความกลัว “ค่ายกลพิทักษ์?!”

ทั้งสองคนฉายสีหน้าตกใจกลัว พวกเขารู้ชัดเกี่ยวกับค่ายกลที่อยู่เบื้องหน้าดี นี่คือค่ายกลพิทักษ์ของเผ่าฝูถู ซึ่งเป็นโครงสร้างพิถีพิถันที่ส่งต่อกันมาหลายชั่วอายุคนเพื่อปกป้องสมาชิกเผ่าทั้งหมดเอาไว้ มากจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่สามารถทำลายได้

ทว่าค่ายกลพิทักษ์ที่เป็นเกราะป้องกันของพวกเขากลับถูกเปิดใช้งานโดยไม่มีคำสั่งจากพวกเขา แล้วพวกเขาจะไม่กลัวได้อย่างไร?

“ใครเป็นคนกระตุ้นค่ายกลพิทักษ์?!”

เฉวียนกวางและมั่วถงมองไปที่มู่เฉินที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เนื่องจากตอนนี้มีการเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งระหว่างอีกฝ่ายกับค่ายกล

“เป็นไปได้ยังไง?!” ทั้งสองคนตะลึงพรึงเพริดกับภาพนี้ พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินถึงสามารถควบคุมค่ายกลของเผ่าได้

“นี่…นี่…”

ชิงเทียนและสมาชิกตระกูลชิงก็ฉายความตกใจบนใบหน้า แม้แต่ท่าทางของชิงเซวียนก็เปลี่ยนไปเนื่องจากนางเป็นคนที่วางแถบหยกที่มีแก่นแท้เลือดของมู่เฉินไว้ในค่ายกล แต่นางไม่คิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมได้

“อย่างนี้นี่เอง…”

เย่าเฉินหัวเราะร่วน เขาเข้าใจที่มาของความมั่นใจมู่เฉินแล้ว ที่แท้ชายหนุ่มสามารถเข้าควบคุมค่ายกลพิทักษ์ของเผ่าฝูถูได้โดยไม่มีใครรู้

ด้วยค่ายกลนี้ตราบใดที่ไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรกับมู่เฉิน ได้

“ไม่เลว รู้จักวางแผนก่อนเคลื่อนไหว ซ่อนไม้เด็ดทรงพลังโดยไม่มีใครรู้” หลินเตียวเอ่ยชื่นชม

หลินจิ้งเบิกตากว้างขณะที่หัวเราะเบาๆ “ใช้ค่ายกลเผ่าฝูถูจัดการกับพวกมันเอง มู่เฉินนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

เซียวเซียวพยักหน้า การเดินทางมายังเผ่าฝูถูของมู่เฉินก็เพื่อช่วยมารดา การทำเช่นนี้ช่วยคลายความโกรธแค้นได้ดีจริงๆ

ครืน!

ขณะที่ทุกคนตกใจ มู่เฉินก็กวาดสายตาเย็นชามองลง มือข้างหนึ่งวาดตราประทับเร็วรี่ ทันใดนั้นค่ายกลมหึมาก็เริ่มหมุนคว้าง รังสีแสงขนาดหมื่นจั้งสิบกว่าสายก็ยิงลงมา

ตู้ม ตู้ม!

เมื่อรังสีพุ่งลงมาก็ทำลายการโจมตีของเหล่าผู้อาวุโสอย่างง่ายดาย สมกับเป็นค่ายกลพิทักษ์เผ่าโบราณจริงๆ

พอเห็นการโจมตีสลายไปอย่างง่ายดาย ผู้อาวุโสของทั้งสองตระกูลก็อดไม่ได้ที่จะมีปฏิกิริยาเปลี่ยนไป แต่ละคนอยากจะถอยหนีจริงๆ เผชิญหน้ากับมู่เฉินที่ควบคุมค่ายกล พวกเขาไม่ได้เปรียบใดๆ ทั้งสิ้น

“คิดหนีเหรอ?”

แต่ความคิดของพวกเขาถูกมองผ่านโดยมู่เฉิน ชายหนุ่มเค้นเสียงเย็น ผีแก่ที่มั่นใจมากเมื่อครู่ด้วยความคิดว่าสามารถจัดการกับเขาได้ กำลังพยายามจะหนีออกไป จะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร?

เมื่อนึกถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ มือของมู่เฉินก็ประสานเข้าด้วยกันและเชื่อมต่อกับค่ายกล ทันใดนั้นแสงไร้ขอบเขตก็รวมตัวกันในค่ายกล ได้ยินเสียงอื้ออึงดังสนั่นก่อนที่ภูเขาขนาดใหญ่สิบกว่าลูกที่สร้างจากคลื่นหลิงจะถูกก่อตัวขึ้น ภูเขาเหล่านั้นดูแวววาว หนักราวล้านตัน เมื่อพวกมันปรากฏแม้แต่มิติก็รับน้ำหนักไม่ไหวและพังทลายลง

ตู้ม!

มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อ ภูเขาเหล่านั้นก็กดลง ก่อนที่จะตกใส่ผู้อาวุโสของทั้งสองตระกูล

เมื่อผู้อาวุโสเหล่านั้นเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็หมดสีสัน พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังน่ากลัวจากภูเขาเหล่านั้น

ด้วยพลังของค่ายกลพิทักษ์ มู่เฉินกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวในขณะนี้ เขาสามารถทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนยังหนังหัวชาหนึบ

“ถอยเร็ว!”

เหล่าผู้อาวุโสรู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรง ดังนั้นพวกเขาจึงเร่งความเร็วไม่กี่ลมหายใจก็ปรากฏตัวห่างออกไปหลายร้อยลี้

ครืน!

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะหลบหนีอย่างไร ภูเขาเหล่านั้นก็มาปรากฏขึ้นราวกับว่าทะลุผ่านมิติกระแทกลงมาทำให้แต่ละคนถูกทับเป็นกล้วยปิ้ง

ผู้ชมอ้าปากตาค้างเมื่อมองไปที่ภูเขาที่กำลังปราบปรามผู้อาวุโสเผ่าฝูถู

“ซี้ด!”

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็น ใครจะคิดได้ว่าเพียงสิบกว่าลมหายใจผู้อาวุโสที่ปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนเหยื่อจะถูกระงับอย่างไร้ประโยชน์

สมาชิกในเผ่าฝูถูก็พูดไม่ออก ทั้งเฉวียนหลัว มั่วซินและพรรคพวกก็ตกตะลึง ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามู่เฉินจะไม่สามารถหลบหนีได้ แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถควบคุมค่ายกลและปราบปรามผู้อาวุโสของเผ่าได้ในพริบตา

ใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงเขียวคล้ำ วันนี้ตระกูลของตนได้รับความอับอายอย่างที่สุด จอมยุทธ์ทั้งสองตระกูลออกโรง ไม่เพียงแต่จะจับมู่เฉินไม่สำเร็จ แต่กลับยังถูกปราบปรามแทน

“มู่เฉิน เวลานี้ยังคิดจะต่อต้านอยู่รึ? แกคิดว่าเผ่าฝูถูไม่สามารถทำอะไรแกได้ใช่ไหม?!” เฉวียนกวางแผดเสียงตะโกน

พอได้ยินเสียงเห่านั่น มู่เฉินก็กวาดสายตาไปมองอย่างไม่แยแส มือวาดตราประทับ ทันใดนั้นค่ายกลก็เริ่มหมุนคว้าง ก่อตัวเป็นมือขนาดใหญ่ตบลงมายังทิศของเฉวียนกวาง

ฝ่ามือทำให้มิติแตกสลาย เทือกเขาลดระดับถึงพื้นกลายเป็นปากปล่องภูเขาไฟดูราวกับเหวนรก

“อวดดี!”

เฉวียนกวางตะโกนลั่น ร่างกำจายรัศมีหลิงขณะที่เงาร่างใหญ่โตก่อตัวขึ้นราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวโคจร

เฉวียนกวางเร้าร่างเวทสวรรค์ออกมา

ร่างเงาขนาดใหญ่ผลักมือขึ้นปะทะกับมือที่พุ่งลงมา

ครืนๆ!

เกิดการระเบิดขนาดใหญ่ ทำให้แก้วหูแทบแตก หลายคนก็ตกใจเมื่อเห็นร่างเวทสวรรค์ขนาดใหญ่ถูกทุบลงมาจากท้องฟ้า ทำให้พื้นดินพังทลาย

เฉวียนกวางยืนอยู่บนไหล่ร่างเวทสวรรค์ด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ เขาอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบในการต่อสู้กับมู่เฉิน

“มั่วถงลงมือพร้อมกัน! ค่ายกลพิทักษ์ต้องใช้พลังมหาศาล ไอ้เด็กนั่นอยู่ได้ไม่นานหรอก!” หมดเวลาที่เฉวียนกวางจะกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียง เขาต้องการร่วมมือกับมั่วถงเพื่อจัดการกับมู่เฉิน

“ตกลง!”

มั่วถงตัดสินใจเด็ดขาดพลางพยักหน้า ตอนนี้มู่เฉินควบคุมค่ายกลพิทักษ์ พวกเขาต้องพ่ายแพ้แน่หากไม่ร่วมมือกัน

ตู้ม ตู้ม!

ดังนั้นเมื่อมีการเร้าร่างเวทสวรรค์ใหญ่โตสองร่าง แรงกดดันของของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดก็กวาดไปหามู่เฉิน

ทว่าเผชิญหน้ากับความร่วมมือของพวกเขา ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่กลัวยังเค้นเสียงใส่ ขณะที่ตราประทับเปลี่ยนแปลงไปมา ค่ายกลเริ่มหมุนคว้าง มือขนาดใหญ่พุ่งลงมาจากท้องฟ้าไม่หยุด ช่างดูราวกับมือเทพ ทุกสรรพสิ่งต้องแตกสลายภายใต้การโจมตีนี้

ตู้ม ตู้ม!

การต่อสู้สะเทือนโลกากวาดข้ามขอบฟ้า ทำให้หัวใจของผู้คนกระเด้งกระดอน แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็บอกได้ว่าเฉวียนกวางและมั่วถงเริ่มตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบ

ค่ายกลพิทักษ์เผ่าฝูถูทรงพลังมากเกินไป ถึงยังไงค่ายกลนี่เผ่าฝูถูโบราณก็พึ่งพาในช่วงวิกฤตมิหนำซ้ำยังสามารถต้านจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ แม้ว่ามู่เฉินจะไม่สามารถนำพลังที่แท้จริงออกมาได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะจัดการกับจอมยุทธ์ทั้งสองนี้

“ดูเหมือนเฉวียนกวางและมั่วถงจะถูกปราบแล้ว” หลินจิ้งยิ้มให้กับฉากนี้

“ไม่แยแสอัจฉริยะปล่อยไปตามยถากรรม เผ่าฝูถูดื้อรั้นอย่างแท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงค่อยๆ กลายเป็นเผ่าที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาห้าเผ่าโบราณ” เซียวเซียวส่ายหน้าพลางเอ่ย

หลินเตียวและเย่าเฉินพยักหน้าและถอนหายใจ ใครจะคิดว่ามู่เฉินสามารถพลิกเผ่าฝูถูคว่ำลงด้วยตัวคนเดียว?

ขณะนี้เองมู่เฉินก็สังเกตเห็นเฉวียนกวางและมั่วถงเริ่มหมดแรง เขาจึงเค้นเสียง ตราประทับเปลี่ยนแปลง ภูเขาขนาดใหญ่สองลูกก็ตกลงมาจากท้องฟ้า

ภูเขาทั้งสองลูกบดบังแสงของดวงอาทิตย์ ราวกับดวงดาว พลังที่แผ่ซ่านออกมาน่ากลัวกว่าที่เคยใช้ในการปราบปรามผู้อาวุโสคนอื่น

ใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงเปลี่ยนไปเมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเขารีบเร้าร่างเวทสวรรค์อย่างเต็มที่เพื่อต่อต้านภูเขา

ตู้ม!

แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาประเมินขอบเขตค่ายกลพิทักษ์ต่ำเกินไป เมื่อภูเขาบีบเข้ามา ร่างเวทสวรรค์ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ

อ็อก

ทันใดนั้นใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงก็ซีดลง พวกเขากระอักเลือดออกมาพร้อมกับแววสยดสยองพล่านในดวงตา

ตู้ม!

แต่ก่อนที่พวกเขาจะหลบหนีได้ ภูเขาก็กระแทกอย่างหนักหน่วงกดร่างพวกเขาลงไปกับพื้นดิน

ตึง ตึง!

พื้นดินสั่นสะเทือน ภูเขาวาวแสงสองลูกตั้งตระหง่าน ภายใต้ภูเขาใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงก็ไร้สีเลือด พวกเขากระอักเลือดจากการปราบปรามของภูเขา

คลื่นหลิงค่อยๆ สงบลง ทว่าความเงียบงันกลับปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทุกคนตกตะลึงมองไปที่ร่างอ่อนเยาว์ด้วยความหวาดหวั่น

ร่างนั้นเหยียดตรงเปล่งรัศมีคมชัด

สมาชิกเผ่าฝูถูต่างกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกลัว แม้แต่ผู้อาวุโสตระกูลชิงก็ยังตกใจกับความสำเร็จของมู่เฉิน

“สวรรค์ สัตว์ประหลาดนั่น…”

บางคนพึมพำออกมา ใครจะจินตนาการได้ว่าชายหนุ่มอ่อนเยาว์จะจัดการผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนและมั่วด้วยตัวคนเดียว

เขาเผชิญหน้ากับเผ่าฝูถูทั้งหมดด้วยตัวเองอย่างแท้จริง!

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับสายตาเหล่านั้น แต่จ้องมองไปที่ฝูถูเฉวียนก่อนเสียงเย็นชาของเขาจะดังขึ้น

“ฝูถูเฉวียน วันนี้แกจะปล่อยหรือไม่ปล่อย?!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท