หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1449 ปัญหาของจิ่วโยว

บทที่ 1449 ปัญหาของจิ่วโยว

ภูเขาด้านหลังคฤหาสน์มู่

มู่เฉินนั่งเงียบๆ บนภูเขาพร้อมแสงหลิงไร้ขอบเขตหมุนวนรอบตัว ร่างยักษ์สีม่วงทองขนาดใหญ่ยืนอยู่ข้างหลังดูดซับคลื่นหลิงในฟ้าดินเข้าไปในรูจมูก ส่งเสียงคำรามคลุมเครือดังก้อง

การฝึกฝนของเขาดำเนินไปหนึ่งวันเต็มก่อนจะหยุดลง เมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนขึ้น เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงสองสายพุ่งออกมาจากดวงตาฉีกฟ้าดินออกจากกัน

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่อยู่เบื้องหลังก็ค่อยๆ สลายไปหลังจากทิ้งความผันผวนไว้ชั่วครู่

มู่เฉินสัมผัสได้ถึงร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่สลายไป ดวงตาก็เป็นประกาย เขารู้สึกได้เลือนรางว่าการฝึกฝนในวิชานี้ประสบความสำเร็จส่วนมากแล้ว พลังอำนาจที่มีก็เริ่มจะถึงจุดสูงสุด

ซึ่งหมายความว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขาเริ่มมาถึงขีดจำกัดแล้ว หากเขาต้องการเพิ่มพลังของมันก็ขึ้นอยู่กับขุมพลังของตัวเขา

“ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเจ้าสมบูรณ์แบบแล้ว”

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง มู่เฉินหันกลับไปก็เห็นชิงเหยี่ยนจิ้งกำลังมองมาด้วยความสนใจ ขณะที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์สลายไป

มู่เฉินพยักหน้า เพียงร่างเทพสุริยะนิรันดร์อย่างเดียว เขาก็เข้าใกล้จักรพรรดิฟ้าแล้ว

“ด้วยร่างเทพสุริยะนิรันดร์นี้ ตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะต่อสู้เพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์แล้ว…” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม

เมื่อได้ยินคำว่าร่างมหาเทพนิรันดร์ ริ้วแสงก็วูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน นี่เป็นความฝันสูงสุดของเขานับตั้งแต่เริ่มฝึกฝนร่างเทพสุริยะ เขาก็เฝ้ารอร่างเทห์สวรรค์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดทุกเมื่อเชื่อวัน—ร่างมหาเทพนิรันดร์

“แต่ว่าร่างมหาเทพนิรันดร์อยู่ภายใต้ดูแลของเผ่าหมัวเฮอ ข้าว่าการได้มาจะไม่ใช่เรื่องง่าย” มู่เฉินถอนหายใจ

“เทพจักรพรรดินิรันดร์มอบร่างมหาเทพนิรันดร์ให้เผ่าหมัวเฮอดูแลรักษาเท่านั้น พวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของ ตามกฎที่เทพจักรพรรดิทิ้งไว้ เผ่าหมัวเฮอจะต้องเป็นเจ้าภาพจัดงานชุมนุมนิรันดร์ ทุกคนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์จะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเพื่อให้ร่างมหาเทพนิรันดร์เลือกเจ้านายเอง”

“แต่เป็นเรื่องจริงที่ตอนนี้เผ่าหมัวเฮอก็แสดงท่าทีเป็นเจ้าของเอง พยายามขัดขวางผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ เพื่อให้สมาชิกในเผ่าได้รับการยอมรับ แต่ก็น่าเสียดายที่พวกเขาไม่เคยประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์เลย” ชิงเหยี่ยนจิ้งเย้ยหยัน

“พวกเขาปกป้องมานับหมื่นปี จะมอบให้คนอื่นง่ายๆ ได้ยังไง” มู่เฉินยิ้ม ไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ เขาแจ่มแจ้งในใจเกี่ยวกับการล่อลวงโดยร่างมหาเทพนิรันดร์นี้ นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่เผ่าโบราณก็ไม่สามารถต้านทานได้

เพราะนี่คือหนึ่งในห้าของร่างมหาเทพปฐมกาลของมหาพันภพ ในเวลาเดียวกันก็ช่วยสร้างเทพจักรพรรดินิรันดร์ซึ่งเป็นเทพจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสมัยโบราณ

“แต่ไม่ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจแค่ไหน ข้าก็จะไปยังเผ่าหมัวเฮอแน่นอนเมื่องานชุมนุมนิรันดร์เริ่มขึ้น ในเมื่อเทพจักรพรรดินิรันดร์ต้องการหาเจ้าของที่ดีที่สุดให้ร่างมหาเทพนิรันดร์ ข้าก็ต้องลงชิงชัย” มู่เฉินประกาศด้วยสายตาวูบไหว

เขาเริ่มต้นฝึกจากร่างเทพสุริยะจนตอนนี้พัฒนาเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ตลอดทางผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วน ทั้งหมดก็เพื่อให้ได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ ดังนั้นไม่ว่าเผ่าหมัวเฮอจะไม่เต็มใจเท่าไร เขาก็ต้องไปลองชิงดู

ย้อนกลับไปตอนนั้นจักรพรรดิฟ้าเคยบอกว่าเขายังไม่ควรมุ่งหน้าไปยังเผ่าหมัวเฮอก่อนที่ความแข็งแกร่งของเขาจะถึงระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาไปไกลเกินกว่าอดีตแล้ว…

“ในเมื่อลูกรักของแม่มุ่งมั่นขนาดนี้ ในฐานะมารดา ข้าจะสนับสนุนเต็มที่ หากเจ้าสามารถได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ ข้าจะไม่ปล่อยเผ่าหมัวเฮอแน่ หากพวกมันคิดกล้ารังแกเจ้า” ชิงเหยี่ยนจิ้งลูบหัวของมู่เฉินพลางพูดด้วยความเผด็จการ

เมื่อมู่เฉินได้ยินก็ยิ้มและพยักหน้า “ขอบคุณท่านแม่”

ทันใดนั้นมือของเขาก็เคลื่อนไหว ป้ายหยกปรากฏขึ้นก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ และก่อตัวเป็นแถวคำ

มู่เฉินขมวดคิ้วขณะมองไป จากนั้นสีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไปรุนแรง

“จิ่วโยวมีอันตราย รีบกลับเทียนหลัว!”

มู่เฉินหดดวงตากระเด้งตัวขึ้นด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ ป้ายนี้เป็นของที่เขาให้มั่นถัวหลัวไว้เพื่อแจ้งให้ทราบหากมีเรื่องด่วนเกิดขึ้น

เห็นได้ชัดว่าจิ่วโยวต้องเจอเรื่องยุ่งยาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่มั่นถัวหลัวส่งข้อความมา

“เกิดอะไรขึ้นกับจิ่วโยว?” ดวงตาของมู่เฉินกะพริบด้วยความดุร้าย เขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับจิ่วโยว แม้จะไม่ใช่เรื่องความรัก แต่คล้ายกับสมาชิกครอบครัว

ย้อนกลับไปตอนนั้นมู่เฉินพบจิ่วโยวที่มณฑลเป่ยหลิง พวกเขาได้สร้างพันธะโลหิตต่อกัน กล่าวได้ว่าจิ่วโยวเป็นผู้นำทางในการฝึกยุทธ์ของเขา

ก่อนที่เขาจะเผชิญหน้ากับโลกภายนอกด้วยตัวเองได้ นางก็คอยปกป้องเขามาตลอด ดังนั้นมู่เฉินจึงรู้สึกขอบคุณและเคารพนางในฐานะพี่สาวเสมอ

นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมมู่เฉินอารมณ์ขึ้นเมื่อได้รับข้อความนี้

“เกิดอะไรขึ้น?” ชิงเหยี่ยนจิ้งถามเมื่อเห็นความวิตกกังวลของบุตรชาย ในสายตาของนางมู่เฉินเป็นคนที่รักษาอารมณ์ได้เรียบนิ่ง ดังนั้นต้องมีอะไรบางอย่างที่ร้ายแรงสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของเขา

“ท่านแม่สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังทวีปเทียนหลัวเสร็จหรือยัง?” มู่เฉินยื่นมือออกมาลบคำพูดก่อนที่จะมองไปชิงเหยี่ยนจิ้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ตอบว่า “ที่จริงยังต้องใช้เวลาอีกห้าวัน แต่ดูเจ้ารีบขนาดนี้ ข้าจะทำให้เสร็จภายในสองวัน”

พูดโดยทั่วไปแม้จะเป็นสุดยอดขั้วอำนาจก็ไม่สามารถเร่งชิ้งเยี่ยนจิ้งได้ หากให้นางช่วยสร้างค่ายกล แต่เนื่องจากนี่เป็นบุตรชายสุดที่รัก นางจึงตัดสินใจทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีกหน่อย

“งั้นข้าต้องรบกวนท่านแม่แล้ว” มู่เฉินกล่าวด้วยความซาบซึ้ง

ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มอ่อนโยน “ไม่ต้องเกรงใจแบบนี้กับแม่หรอก…”

จากนั้นนางก็หยุดชั่วครู่มองไปที่มู่เฉินถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือลูก? ต้องการให้แม่ช่วยไหม?”

“เพื่อนคนสำคัญกำลังมีปัญหา แต่ข้าก็ไม่แน่ใจรายละเอียด ดังนั้นข้าต้องกลับไปที่ทวีปเทียนหลัวก่อน แต่ข้าจัดการได้ ไม่รบกวนท่านแม่กับท่านพ่อดีกว่า” มู่เฉินยิ้ม

“แหม เพราะเจ้าทำให้เขากลายเป็นเจ้าทวีปไป่หลิง ทุกวันนี้ก็งานล้นมือไปหมด…”

ชิงเหยี่ยนจิ้งแซวเล่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก นางยิ้มให้มู่เฉิน “แต่เมื่อเจ้ามั่นใจ ข้าก็จะไม่พูดอะไร ข่าวที่เจ้าเป็นบุตรชายของข้ากระจายไปทั่วมหาพันภพ ดังนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าทำเกินไปหรอก อย่างน้อยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่ออกโรงแน่นอน”

มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าตัวเขาจะไม่อยากโอ้อวดเกี่ยวกับมารดา แต่ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกได้ ดังนั้นจึงถือเป็นการสนับสนุนเขาที่สามารถใช้เพื่อข่มขู่คู่ต่อสู้ได้

แม้ว่ามู่เฉินจะชอบพึ่งพาตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้โง่

สองวันต่อมาหลังคฤหาสน์มู่

ค่ายกลขนาดหนึ่งพันจั้งถูกสร้างขึ้น ทำให้เกิดความผันผวนของมิติที่น่ากลัว พื้นที่โดยรอบถึงกับบิดเบี้ยว

สามารถมองเห็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับล้านๆ ได้เลือนราง โครงสร้างซับซ้อนนี้แม้แต่มู่เฉินก็ไม่สามารถสร้างได้สำเร็จ

“สมกับเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งแท้จริง…”

มู่เฉินมองไปที่ขนาดของค่ายกลเคลื่อนย้ายก็อดถอนหายใจไม่ได้

ชิงเหยี่ยนจิ้ง หลิงซีและหลงเซี่ยงก็มารมตัวกันอยู่ที่นี่ แม้แต่มู่เฟิงก็มาด้วย สำหรับถังเชียนเอ๋อ นางกลับไปที่สำหนักศึกษาวั่นหวงเมื่อไม่กี่วันก่อน

“ไอ้หนูระวังตัวด้วย…”

มู่เฟิงรู้ว่ามู่เฉินมีเรื่องเร่งด่วนเข้ามา เขาจึงกังวลไม่น้อย มหาพันภพเต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมายซึ่งแตกต่างจากทวีปไป่หลิงมาก

“พ่อ ลูกชายคนนี้ไม่ใช่เด็กหนุ่มคนเดิมที่กำลังจะเดินทางออกจากมณฑลเป่ยหลิงอีกแล้วนะ” มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนั้นที่ออกจาเกมณฑลเป่ยหลิงมู่เฟิงก็พูดด้วยความเป็นห่วงเช่นนี้

“เมื่องานในทวีปไป่หลิงเข้าที่เข้าทาง ข้าจะพาพ่อเจ้าไปเยี่ยมเจ้าที่ตำหนักมู่ในทวีปเทียนหลัว” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม

“งั้นลูกจะรอต้อนรับนะ”

มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆ พลางพยักหน้าให้ครอบครัว จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในค่ายกล

เขาโบกมือคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็เทลงในค่ายกลเคลื่อนย้าย ทันใดนั้นความผันผวนของมิติก็ทวีความรุนแรงขึ้น ฟ้าดินบิดเบี้ยวก่อนที่จะถักทอสร้างอุโมงค์มิติขึ้นที่ด้านหลังมู่เฉิน

“ท่านพ่อท่านแม่ ข้าไปก่อนนะ”

มู่เฉินโบกมือก่อนที่หันกลับด้วยดวงตาคมกล้า เมื่อมองไปที่อุโมงค์มิติเขาก็ก้าวเข้าไป

ขณะเดียวกันมือของเขาก็กำแน่น

“จิ่วโยวอย่าเป็นอะไรนะ…”

“ในอดีตเจ้าปกป้องน้องชายคนนี้เสมอ ดังนั้นวันนี้ถึงคราวที่ข้าจะปกป้องเจ้ามั่ง…”

ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมีนับไม่ถ้วน ก่อนที่ภาพเงาของมู่เฉินจะหายไป

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท