ในที่สุดเรื่องในเมืองไป่หลิงก็จบลง
ตามที่คาดไว้เมื่อทุกคนกลับไปความวุ่นวายก็สาดซัดไปทั่วทั้งทวีป
แต่ละคนตกตะลึง ใครจะคาดคิดว่าทวีปไป่หลิงจะเปลี่ยนเจ้าเหนือหัวหลังจากพิธีราชันจบลง…
ไม่ต้องพูดถึงว่าใครคือผู้ปกครองคนใหม่ ขนาดชื่อพันธมิตรเป่ยหลิงยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
ต้องรู้ว่านี่เป็นเพียงขั้วอำนาจขนาดเล็กค่อนไปทางกลางที่ไม่เคยมีใครในทวีปไป่หลิงให้ความสนใจ แต่กลับทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในพริบตา
แม้ว่าทุกคนจะรู้สึกอิหลักอิเหลื่อ แต่พวกเขาก็รู้ว่ามู่เฟิงมีกองหนุนที่น่ากลัว แม้ตัวเขาเองจะธรรมดา แต่บุตรชายและฮูหยินของเขาก็น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร…
มีข่าวลือว่าชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูซึ่งเป็นเผ่าโบราณที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของมหาพันภพ
ส่วนมู่เฉินเริ่มต้นจากศูนย์ ย่างก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนภายในสิบปีสั้นๆ รวบรวมทวีปเทียนหลัวเป็นหนึ่งเดียวและก่อตั้งตำหนักมู่ขึ้นเป็นขุมกำลังสูงสุด
กองหนุนของมู่เฟิงนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าราชันไป่หลิง ไม่แปลกใจเลยที่แม้แต่ฉิงเป่ยเฉวียนประมุขตำหนักปลายเหนือก็ยังมอบทวีปไป่หลิงให้โดยยินยอมพร้อมใจ
ด้วยการสนับสนุนของจอมยุทธ์ใหญ่ทั้งสองที่อยู่เบื้องหลังพันธมิตรเป่ยหลิง ก็ไม่มีใครในทวีปไป่หลิงกล้าก่อปัญหาใดๆ ขั้วอำนาจที่ชาญฉลาดได้ส่งทูตไปยังพันธมิตรเป่ยหลิงเพื่อจะสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน…
ทวีปไป่หลิง มณฑลเป่ยหลิง กองบัญชาการใหญ่พันธมิตรเป่ยหลิง
กองบัญชาการใหญ่แห่งนี้อยู่ในเขตมู่ที่มู่เฉินเติบโตขึ้นมา
สวนเงียบสงบในคฤหาสน์มู่ มู่เฉินกำลังนอนเอขกในศาลาขณะมองสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยพร้อมกับรอยยิ้มประดับบนริมฝีปาก ร่างกายของเขาผ่อนคลายลงด้วยความสบายใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แผ่ซ่านไปทั่วแขนขาของเขา
ในอดีตตัวเขาราวกับลูกธนูที่ขึ้นสายตั้งแต่ตอนที่ออกจากมณฑลเป่ยหลิงและท่องไปทั่วยุทธภพ ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคใด เขาก็ก้าวต่อไปด้วยความห้าวหาญ
ในเวลานั้นเขารู้ว่าตนเองอ่อนแอ ไม่สามารถไปได้กระทั่งตระกูลลั่วเสิน ไม่ต้องพูดถึงเผ่าฝูถูเลย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเดินหน้าต่อไป
ภายใต้การทำงานหนักไม่มีหยุดพัก เขาได้รับผลลัพธ์ที่ดี ในที่สุดก็สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับบิดาสำเร็จ…
แม้ว่าจะไม่ใช่การเดินทางที่ราบรื่น แต่โชคดีที่สุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จ…
“ตาแก่ ข้าทำสำเร็จเห็นไหมเล่า”
มู่เฉินยิ้มขณะมองท้องฟ้าสีครามด้วยความสุขเติมเต็มหัวใจ จะดีแค่ไหนถ้าลั่วหลีอยู่ที่นี่กับเขาในเวลานี้
เมื่อนึกถึงหญิงคนรัก รอยยิ้มของมู่เฉินก็กว้างขึ้น เขารู้ว่าลั่วหลีขึ้นดำรงตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง แม้ว่าสาเหตุหลักจะเป็นเพราะนางต้องการช่วยเขา แต่ก็มีส่วนที่นางไม่อยากแพ้ใคร
ลั่วหลีเป็นโฉมสะคราญในสายตาของเขา แต่นางก็มีความภาคภูมิใจมากและไม่ยอมแพ้ใคร
ก็เหมือนตอนสงครามเทพยุทธ์ นางไล่ล่าเขาไปหลายวันโดยไม่พักเพียงเพราะความไม่ยอมแพ้ในใจ…
ตอนนี้มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ลั่วหลีคงจะรู้สึกกดดันเพราะเรื่องนี้ เนื่องจากนางไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่ต้องการให้เขาปกป้อง
นางต้องการที่จะเข้มแข็งเพื่อที่จะได้ยืนเคียงข้างกัน เผชิญพายุที่ดาหน้าเข้ามาด้วยกัน…
“เฮ้ เหม่ออะไร!”
ขณะที่มู่เฉินกำลังนึกถึงภาพเงาคนรัก มือบางก็โบกที่เบื้องหน้าเขาพร้อมกับเสียงสดใส
เมื่อมู่เฉินออกจากภวังค์ก็เห็นถังเชียนเอ๋อ เขาจึงยิ้มให้ “พี่เชียนเอ๋อ ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?”
ถังเชียนเอ๋อนั่งลงข้างๆ พลางหัวเราะเสียงพลิ้ว ขณะที่ยืดเหยียดเอวก็วาดเส้นโค้งที่สวยงามขึ้น นางมองไปรอบๆ ก็พึมพำว่า “ช่างเป็นสถานที่ที่คุ้นเคย”
ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ดังนั้นถังเชียนเอ๋อจึงคุ้นเคยกับคฤหาสน์มู่ไม่น้อย
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มถามว่า “ตอนนี้เจ้าทำงานที่สำนักศึกษาวั่นหวงเรอะ?”
ถังเชียนเอ๋อพยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าสำนักศักษาวั่นหวงเหมาะสมกับตัวเอง แม้ว่าจะไม่รุ่งโรจน์เท่าเจ้า แต่ก็มีเรื่องสนุกทุกวัน ได้เห็นเหล่าศิษย์เติบโตขึ้นเหมือนเราในอดีต”
มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพูดราวกับว่าเป็นแม่แก่ ตอนนี้เจ้าอยู่ในวัยสะพรั่งที่สุดเลยนะ”
เทียบกับเมื่อก่อนถังเชียนเอ๋อเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และเนื่องจากดำรงตำแหน่งรองอาจารย์ใหญ่ ทำให้นางมีรัศมีที่แตกต่างออกไป มิฉะนั้นราชันไป่หลิงคงจะไม่ถูกดึงดูดมา
“แล้วมีประโยชน์อะไรล่ะ?” ถังเชียนเอ๋อถอนหายใจในใจขณะมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้ม “ลั่วหลีล่ะ? นางเป็นอย่างไรบ้าง? ทำไมไม่พานางมาให้ลุงมู่ดูตัวล่ะ”
“นางสบายดี ตอนนี้ไปปฏิบัติหน้าที่ธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง ข้าจะพานางมาแน่เมื่อมีโอกาสในอนาคต” มู่เฉินยืดเอวขึ้น
มองมู่เฉินที่เหมือนบ่นไม่พอใจแต่ก็ยังยิ้ม สายตาของถังเชียนเอ๋อก็กะพริบพร้อมกับประกายแสงเบาบาง แต่ไม่นานนางก็ได้สติล้อว่า “คิดว่าเจ้ายังจีบนางไม่ได้ซะอีก นางช่างโดดเด่นมาก เจ้าจับสายตาของนางไว้ได้อย่างไร?”
มู่เฉินส่ายหัว “ข้าไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
“จอมยุทธ์หนุ่มขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่เลวแล้ว” รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของถังเชียนเอ๋อขณะที่พูดต่อ “ข้าจะบอกท่านอาจารย์ใหญ่และคนอื่นๆ หลังจากกลับไปที่สำนักศึกษาวั่นหวง พวกนางยังจำเจ้าได้แม่นเลย เพราะในศึกเบญจภาคีเจ้าแย่งบทไปหมดเลย”
มู่เฉินเกาหัวแกรกกราก พอย้อนคิด ตอนนั้นเขาบ้าบิ่นจริงๆ
“ข้าจะกลับไปที่สำนักวั่นหวงในอีกไม่กี่วันนี้ ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะกลับมาเมื่อไร” ถังเชียนเอ๋อกอดเข่าขณะมองไปบนท้องฟ้า
“วางใจเถอะ ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปเยี่ยมเจ้าที่สำนักศึกษาวั่นหวง” มู่เฉินปลอบใจก่อนจะดึงป้ายหยกออกมาหลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง
“พกสิ่งนี้ไว้กับตัว ทำลายมันหากมีอันตรายเกิดขึ้น แล้วข้าจะไปช่วยเจ้าทันที”
ถังเชียนเอ๋ออึ้งไปเมื่อมองป้ายหยก ก่อนที่จะรับไว้ แม้ว่าป้ายหยกจะเย็นเมื่อสัมผัส แต่นางก็รู้สึกอบอุ่นใจ จากนั้นนางก็เอาเชือกแดงคล้องไว้แนบหน้าอก
“อย่างน้อยเจ้าก็มีจิตสำนึกบ้าง” นางเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ขึ้น
“ก่อนข้าจะไป เราหาเวลาไปเยี่ยมสำนักศึกษาเป่ยชางหน่อยเถอะ…”
“ได้”
ถังเชียนเอ๋อโบกมือก่อนที่จะพลิ้วตัวลงจากศาลาและจากไป
เมื่อมองไปที่ภาพเงาของถังเชียนเอ๋อ มู่เฉินก็ยิ้มและเริ่มคิดถึงหญิงคนรักอีกครั้ง…
“นางน่ารักดีนะ เจ้ารับมาเป็นลูกสะใภ้ของแม่อีกคนไหมล่ะ” เสียงหัวเราะหวานดังก้อง มู่เฉินรีบหันกลับไปก็เห็นชิ้งเหยี่ยนจิ้งมาอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
มู่เฉินท่าทางอึดอัดใจ แต่ก็ส่ายหัวให้
ชิงเหยี่ยนจิ้งลูบหัวมู่เฉิน “ไม่งั้นก็รีบพาลั่วหลีมาเยี่ยมบ้าน ข้าเคยเจอนางมาก่อน นางน่ารักดีนะ”
ชิงเหยี่ยนจิ้งเคยพบลั่วหลีมาแล้ว ดังนั้นนางจึงมีความประทับใจอย่างมากกับคนรักของบุตรชาย
ฟังคำพูดของมารดา มู่เฉินก็ทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“โอ้ ใช่ ท่านแม่สามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลได้ไหม? จะดีมากถ้าสามารถเชื่อมต่อกับกองบัญชาการใหญ่ของตำหนักมู่” มู่เฉินถามขึ้นทันทีหลังจากนึกบางอย่างได้
อนาคตเขาไม่สามารถอยู่ในมณฑลเป่ยหลิงได้เป็นเวลานาน แต่ตัวเขาก็เป็นห่วงบิดา ดังนั้นเป็นเรื่องดีที่สุดที่จะสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล เพื่อที่เขาจะได้ดูแลทวีปไป่หลิงได้ด้วย แต่ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย
เนื่องจากทวีปไป่หลิงและทวีปเทียนหลัวอยู่ห่างไกลกันมาก ตัวมู่เฉินเองยังไม่สามารถสร้างได้ในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งพาชิงเหยี่ยนจิ้งเท่านั้น
“ค่ายกลระยะไกลเชื่อมโยงไปยังทวีปเทียนหลัวเหรอ?” หลังจากไตร่ตรองชิงเหยี่ยนจิ้งก็พยักหน้า “คงมีเพียงหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งเท่านั้นที่ทำได้น่ะ”
มู่เฉินดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของนาง
“แต่แม่ต้องการพิกัดพื้นที่ของอีกด้านหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้”
มู่เฉินไม่แปลกใจกับคำพูดนี้ เขายิ้ม “ท่านแม่อย่าลืมว่าลูกชายของท่านก็เป็นหลิงเจิ้นซือด้วยนะ แล้วข้าจะไม่มีความรู้ทั่วไปได้อย่างไร? ข้าเตรียมไว้ตั้งแต่ออกจากตำหนักมู่แล้ว”
พูดจบผลึกแก้วสีเงินก็ปรากฏขึ้นในมือซึ่งเต็มไปด้วยความผันผวนของมิติที่หนาแน่น
นี่คือหินมิติซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้าย ก้อนในมือเขาคือหินหลัก ส่วนหินรองถูกทิ้งไว้ในค่ายกลของตำหนักมู่แล้ว
เมื่อได้รับหินมิติไป ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ครึ่งเดือนถัดจากนี้ข้าก็น่าจะสร้างได้เสร็จ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะสามารถเดินทางไปกลับได้โดยไม่ต้องผ่านหลายทวีปแล้ว…”
รอยยิ้มกว้างกระจายบนใบหน้าของมู่เฉินก่อนที่จะยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น
“ท่านแม่สุดยอด!”