หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1447 ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล

บทที่ 1447 ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล

ในที่สุดเรื่องในเมืองไป่หลิงก็จบลง

ตามที่คาดไว้เมื่อทุกคนกลับไปความวุ่นวายก็สาดซัดไปทั่วทั้งทวีป

แต่ละคนตกตะลึง ใครจะคาดคิดว่าทวีปไป่หลิงจะเปลี่ยนเจ้าเหนือหัวหลังจากพิธีราชันจบลง…

ไม่ต้องพูดถึงว่าใครคือผู้ปกครองคนใหม่ ขนาดชื่อพันธมิตรเป่ยหลิงยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

ต้องรู้ว่านี่เป็นเพียงขั้วอำนาจขนาดเล็กค่อนไปทางกลางที่ไม่เคยมีใครในทวีปไป่หลิงให้ความสนใจ แต่กลับทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในพริบตา

แม้ว่าทุกคนจะรู้สึกอิหลักอิเหลื่อ แต่พวกเขาก็รู้ว่ามู่เฟิงมีกองหนุนที่น่ากลัว แม้ตัวเขาเองจะธรรมดา แต่บุตรชายและฮูหยินของเขาก็น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร…

มีข่าวลือว่าชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูซึ่งเป็นเผ่าโบราณที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของมหาพันภพ

ส่วนมู่เฉินเริ่มต้นจากศูนย์ ย่างก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนภายในสิบปีสั้นๆ รวบรวมทวีปเทียนหลัวเป็นหนึ่งเดียวและก่อตั้งตำหนักมู่ขึ้นเป็นขุมกำลังสูงสุด

กองหนุนของมู่เฟิงนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าราชันไป่หลิง ไม่แปลกใจเลยที่แม้แต่ฉิงเป่ยเฉวียนประมุขตำหนักปลายเหนือก็ยังมอบทวีปไป่หลิงให้โดยยินยอมพร้อมใจ

ด้วยการสนับสนุนของจอมยุทธ์ใหญ่ทั้งสองที่อยู่เบื้องหลังพันธมิตรเป่ยหลิง ก็ไม่มีใครในทวีปไป่หลิงกล้าก่อปัญหาใดๆ ขั้วอำนาจที่ชาญฉลาดได้ส่งทูตไปยังพันธมิตรเป่ยหลิงเพื่อจะสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน…

ทวีปไป่หลิง มณฑลเป่ยหลิง กองบัญชาการใหญ่พันธมิตรเป่ยหลิง

กองบัญชาการใหญ่แห่งนี้อยู่ในเขตมู่ที่มู่เฉินเติบโตขึ้นมา

สวนเงียบสงบในคฤหาสน์มู่ มู่เฉินกำลังนอนเอขกในศาลาขณะมองสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยพร้อมกับรอยยิ้มประดับบนริมฝีปาก ร่างกายของเขาผ่อนคลายลงด้วยความสบายใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แผ่ซ่านไปทั่วแขนขาของเขา

ในอดีตตัวเขาราวกับลูกธนูที่ขึ้นสายตั้งแต่ตอนที่ออกจากมณฑลเป่ยหลิงและท่องไปทั่วยุทธภพ ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคใด เขาก็ก้าวต่อไปด้วยความห้าวหาญ

ในเวลานั้นเขารู้ว่าตนเองอ่อนแอ ไม่สามารถไปได้กระทั่งตระกูลลั่วเสิน ไม่ต้องพูดถึงเผ่าฝูถูเลย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเดินหน้าต่อไป

ภายใต้การทำงานหนักไม่มีหยุดพัก เขาได้รับผลลัพธ์ที่ดี ในที่สุดก็สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับบิดาสำเร็จ…

แม้ว่าจะไม่ใช่การเดินทางที่ราบรื่น แต่โชคดีที่สุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จ…

“ตาแก่ ข้าทำสำเร็จเห็นไหมเล่า”

มู่เฉินยิ้มขณะมองท้องฟ้าสีครามด้วยความสุขเติมเต็มหัวใจ จะดีแค่ไหนถ้าลั่วหลีอยู่ที่นี่กับเขาในเวลานี้

เมื่อนึกถึงหญิงคนรัก รอยยิ้มของมู่เฉินก็กว้างขึ้น เขารู้ว่าลั่วหลีขึ้นดำรงตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง แม้ว่าสาเหตุหลักจะเป็นเพราะนางต้องการช่วยเขา แต่ก็มีส่วนที่นางไม่อยากแพ้ใคร

ลั่วหลีเป็นโฉมสะคราญในสายตาของเขา แต่นางก็มีความภาคภูมิใจมากและไม่ยอมแพ้ใคร

ก็เหมือนตอนสงครามเทพยุทธ์ นางไล่ล่าเขาไปหลายวันโดยไม่พักเพียงเพราะความไม่ยอมแพ้ในใจ…

ตอนนี้มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ลั่วหลีคงจะรู้สึกกดดันเพราะเรื่องนี้ เนื่องจากนางไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่ต้องการให้เขาปกป้อง

นางต้องการที่จะเข้มแข็งเพื่อที่จะได้ยืนเคียงข้างกัน เผชิญพายุที่ดาหน้าเข้ามาด้วยกัน…

“เฮ้ เหม่ออะไร!”

ขณะที่มู่เฉินกำลังนึกถึงภาพเงาคนรัก มือบางก็โบกที่เบื้องหน้าเขาพร้อมกับเสียงสดใส

เมื่อมู่เฉินออกจากภวังค์ก็เห็นถังเชียนเอ๋อ เขาจึงยิ้มให้ “พี่เชียนเอ๋อ ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?”

ถังเชียนเอ๋อนั่งลงข้างๆ พลางหัวเราะเสียงพลิ้ว ขณะที่ยืดเหยียดเอวก็วาดเส้นโค้งที่สวยงามขึ้น นางมองไปรอบๆ ก็พึมพำว่า “ช่างเป็นสถานที่ที่คุ้นเคย”

ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ดังนั้นถังเชียนเอ๋อจึงคุ้นเคยกับคฤหาสน์มู่ไม่น้อย

มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มถามว่า “ตอนนี้เจ้าทำงานที่สำนักศึกษาวั่นหวงเรอะ?”

ถังเชียนเอ๋อพยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าสำนักศักษาวั่นหวงเหมาะสมกับตัวเอง แม้ว่าจะไม่รุ่งโรจน์เท่าเจ้า แต่ก็มีเรื่องสนุกทุกวัน ได้เห็นเหล่าศิษย์เติบโตขึ้นเหมือนเราในอดีต”

มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพูดราวกับว่าเป็นแม่แก่ ตอนนี้เจ้าอยู่ในวัยสะพรั่งที่สุดเลยนะ”

เทียบกับเมื่อก่อนถังเชียนเอ๋อเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และเนื่องจากดำรงตำแหน่งรองอาจารย์ใหญ่ ทำให้นางมีรัศมีที่แตกต่างออกไป มิฉะนั้นราชันไป่หลิงคงจะไม่ถูกดึงดูดมา

“แล้วมีประโยชน์อะไรล่ะ?” ถังเชียนเอ๋อถอนหายใจในใจขณะมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้ม “ลั่วหลีล่ะ? นางเป็นอย่างไรบ้าง? ทำไมไม่พานางมาให้ลุงมู่ดูตัวล่ะ”

“นางสบายดี ตอนนี้ไปปฏิบัติหน้าที่ธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง ข้าจะพานางมาแน่เมื่อมีโอกาสในอนาคต” มู่เฉินยืดเอวขึ้น

มองมู่เฉินที่เหมือนบ่นไม่พอใจแต่ก็ยังยิ้ม สายตาของถังเชียนเอ๋อก็กะพริบพร้อมกับประกายแสงเบาบาง แต่ไม่นานนางก็ได้สติล้อว่า “คิดว่าเจ้ายังจีบนางไม่ได้ซะอีก นางช่างโดดเด่นมาก เจ้าจับสายตาของนางไว้ได้อย่างไร?”

มู่เฉินส่ายหัว “ข้าไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง?”

“จอมยุทธ์หนุ่มขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่เลวแล้ว” รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของถังเชียนเอ๋อขณะที่พูดต่อ “ข้าจะบอกท่านอาจารย์ใหญ่และคนอื่นๆ หลังจากกลับไปที่สำนักศึกษาวั่นหวง พวกนางยังจำเจ้าได้แม่นเลย เพราะในศึกเบญจภาคีเจ้าแย่งบทไปหมดเลย”

มู่เฉินเกาหัวแกรกกราก พอย้อนคิด ตอนนั้นเขาบ้าบิ่นจริงๆ

“ข้าจะกลับไปที่สำนักวั่นหวงในอีกไม่กี่วันนี้ ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะกลับมาเมื่อไร” ถังเชียนเอ๋อกอดเข่าขณะมองไปบนท้องฟ้า

“วางใจเถอะ ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปเยี่ยมเจ้าที่สำนักศึกษาวั่นหวง” มู่เฉินปลอบใจก่อนจะดึงป้ายหยกออกมาหลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง

“พกสิ่งนี้ไว้กับตัว ทำลายมันหากมีอันตรายเกิดขึ้น แล้วข้าจะไปช่วยเจ้าทันที”

ถังเชียนเอ๋ออึ้งไปเมื่อมองป้ายหยก ก่อนที่จะรับไว้ แม้ว่าป้ายหยกจะเย็นเมื่อสัมผัส แต่นางก็รู้สึกอบอุ่นใจ จากนั้นนางก็เอาเชือกแดงคล้องไว้แนบหน้าอก

“อย่างน้อยเจ้าก็มีจิตสำนึกบ้าง” นางเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ขึ้น

“ก่อนข้าจะไป เราหาเวลาไปเยี่ยมสำนักศึกษาเป่ยชางหน่อยเถอะ…”

“ได้”

ถังเชียนเอ๋อโบกมือก่อนที่จะพลิ้วตัวลงจากศาลาและจากไป

เมื่อมองไปที่ภาพเงาของถังเชียนเอ๋อ มู่เฉินก็ยิ้มและเริ่มคิดถึงหญิงคนรักอีกครั้ง…

“นางน่ารักดีนะ เจ้ารับมาเป็นลูกสะใภ้ของแม่อีกคนไหมล่ะ” เสียงหัวเราะหวานดังก้อง มู่เฉินรีบหันกลับไปก็เห็นชิ้งเหยี่ยนจิ้งมาอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

มู่เฉินท่าทางอึดอัดใจ แต่ก็ส่ายหัวให้

ชิงเหยี่ยนจิ้งลูบหัวมู่เฉิน “ไม่งั้นก็รีบพาลั่วหลีมาเยี่ยมบ้าน ข้าเคยเจอนางมาก่อน นางน่ารักดีนะ”

ชิงเหยี่ยนจิ้งเคยพบลั่วหลีมาแล้ว ดังนั้นนางจึงมีความประทับใจอย่างมากกับคนรักของบุตรชาย

ฟังคำพูดของมารดา มู่เฉินก็ทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“โอ้ ใช่ ท่านแม่สามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลได้ไหม? จะดีมากถ้าสามารถเชื่อมต่อกับกองบัญชาการใหญ่ของตำหนักมู่” มู่เฉินถามขึ้นทันทีหลังจากนึกบางอย่างได้

อนาคตเขาไม่สามารถอยู่ในมณฑลเป่ยหลิงได้เป็นเวลานาน แต่ตัวเขาก็เป็นห่วงบิดา ดังนั้นเป็นเรื่องดีที่สุดที่จะสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล เพื่อที่เขาจะได้ดูแลทวีปไป่หลิงได้ด้วย แต่ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย

เนื่องจากทวีปไป่หลิงและทวีปเทียนหลัวอยู่ห่างไกลกันมาก ตัวมู่เฉินเองยังไม่สามารถสร้างได้ในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งพาชิงเหยี่ยนจิ้งเท่านั้น

“ค่ายกลระยะไกลเชื่อมโยงไปยังทวีปเทียนหลัวเหรอ?” หลังจากไตร่ตรองชิงเหยี่ยนจิ้งก็พยักหน้า “คงมีเพียงหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งเท่านั้นที่ทำได้น่ะ”

มู่เฉินดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของนาง

“แต่แม่ต้องการพิกัดพื้นที่ของอีกด้านหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้”

มู่เฉินไม่แปลกใจกับคำพูดนี้ เขายิ้ม “ท่านแม่อย่าลืมว่าลูกชายของท่านก็เป็นหลิงเจิ้นซือด้วยนะ แล้วข้าจะไม่มีความรู้ทั่วไปได้อย่างไร? ข้าเตรียมไว้ตั้งแต่ออกจากตำหนักมู่แล้ว”

พูดจบผลึกแก้วสีเงินก็ปรากฏขึ้นในมือซึ่งเต็มไปด้วยความผันผวนของมิติที่หนาแน่น

นี่คือหินมิติซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้าย ก้อนในมือเขาคือหินหลัก ส่วนหินรองถูกทิ้งไว้ในค่ายกลของตำหนักมู่แล้ว

เมื่อได้รับหินมิติไป ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ครึ่งเดือนถัดจากนี้ข้าก็น่าจะสร้างได้เสร็จ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะสามารถเดินทางไปกลับได้โดยไม่ต้องผ่านหลายทวีปแล้ว…”

รอยยิ้มกว้างกระจายบนใบหน้าของมู่เฉินก่อนที่จะยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น

“ท่านแม่สุดยอด!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท