หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1451 กลั่นแกล้ง

บทที่ 1451 กลั่นแกล้ง

ในทวีปซันไห่

สถานที่มีเทือกเขาตัดกัน มีทะเลสาบสีมรกตที่ดูราวกับกระจกไม่มีระลอกคลื่น สะท้อนให้เห็นฟ้าดิน แม้ว่าจะดูธรรมดา แต่ก็ให้ความรู้สึกกดดันโดยไม่ทราบสาเหตุ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังรู้สึกกดดัน

ทว่าความเงียบสงบของสถานที่แห่งนี้แตกสลายลงในวันนี้ เมื่อแสงอรุณรุ่งสาดส่องลงมายังดินแดนแห่งนี้ ริ้วแสงนับไม่ถ้วนพุ่งข้ามขอบฟ้า ก่อนที่จะพลิ้วลงมายังภูเขารอบสระแห่งนี้

พร้อมกับภาพเงาเหล่านี้ เสียงร้องนับไม่ถ้วนก็สะท้อนไปทั่วชั้นฟ้าราวกับเสียงร้องของวิหคมากมายมารวมตัวกัน…

สระยกเทพมีตำแหน่งพิเศษท่ามกลางเทพอสูรกลางเวหา ดังนั้นแม้ว่าที่นั่งในการเข้าร่วมจะจำกัด แต่ก็ดึงดูดเทพอสูรมากมายมาชมงาน

เมื่อทุกเผ่ามารวมตัวกัน ความปั่นป่วนก็กังวานมาจากภูเขาโดยรอบ

กีด!

ทว่าพร้อมกับการมาถึงที่มากขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องไพเราะดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก จากนั้นแรงกดดันที่มองไม่เห็นก็ปกคลุมไปทั่วแผ่นดิน ทำให้ใบหน้าของเหล่าเทพอสูรมากมายเปลี่ยนไปด้วยความเคารพ

พวกเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นสายรุ้งพาดผ่านภูมิภาคนี้ พร้อมกับเงาทอดลงไปยังภูเขาที่อยู่ใกล้สระมากที่สุด

เมื่อรุ้งจางก็ปรากฏเงาสองร่าง คนแรกก็คือจัประมุขตระกูลหวงของเผ่าหงส์ฟ้า-หวงจิง โดยมีหวงเฉวียนจือติดตามอยู่ข้างหลังกำจายความสูงศักดิ์ออกมา

“คารวะประมุขหวง!”

เมื่อหวงจิงปรากฏตัวจอมยุทธ์เทพอสูรที่นี่ทุกคนก็กล่าวคำทักทาย

หวงจิงมีท่วงท่าไม่ธรรมดา เขาพยักหน้าให้ทุกคนก่อนที่จะมองภาพเงาที่กำลังมาถึงและพลิ้วตัวลงบนภูเขาโดยรอบ

แรงกดดันทรงพลังแทรกซึมทั่วบริเวณ แสงหลิงรวมตัวกันเป็นร่างมหึมาอยู่เบื้องหลังพวกเขา

มีทั้งแร้งทองคำเก้าหัว สิ่งมีชีวิตที่คล้ายมังกรผสมนกกระจอก และเหยี่ยวเทพที่มีสายตาคมกริบ…

เมื่อมองไปที่ฉากนี้ทุกคนต่างก็ฉายความเคร่งเครียดพร้อมกับความอิจฉาในสายตา เนื่องจากคนเหล่านี้เป็นตัวแทนของมหาเทพอสูร

แม้ว่าความแตกต่างระหว่างเทพอสูรกับมหาเทพอสูรจะมีเพียงคำเดียว แต่ก็เป็นปากอ่าวกว้างใหญ่ระหว่างฟ้าดิน

“มีเผ่ามหาเทพอสูรสิบห้าเผ่าท่ามกลางเทพอสูรกลางเวหาและทั้งหมดก็มาอยู่ที่นี่…”

“ลือกันว่าเผ่ามหาเทพอสูรได้ส่งเหล่าอัจฉริยะมาเพื่อสระยกเทพเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าพวกเขาพยายามใช้โอกาสนี้เพื่อชำระสายเลือดและก้าวไปอีกขั้น…”

“แต่มีการจำกัดจำนวนแก่นโลหิตที่สร้างขึ้นในสระยกเทพ ท่าทางว่านี่จะเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดแล้ว…”

“ฮ่าๆ หวงเฉวียนจือเผ่าหงส์ฟ้าใครจะกล้าต่อกรกับเขา? เขาคงจะได้รับประโยชน์สูงสุดในครั้งนี้”

“นั่นก็ไม่แน่เสมอไป หวงเฉวียนจืออาจจะไม่ธรรมดา แต่หลินชางจากเผ่าแร้งทองคำเก้าหัวและข่งหลิงเอ๋อจากเผ่านกยูงเก้าสีก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา…”

“ถูกต้อง อัจฉริยะเหล่านี้ซ่อนตัวมานานเป็นร้อยปีเพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งผ่านสระยกเทพนี้ การแข่งขันครั้งนี้คงรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…”

ขณะที่เสียงสนทนาดังขึ้น ผู้คนก็มองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น

“หืม? เผ่าวิหคโลกันตร์ก็อยู่ที่นี่ด้วย? พวกเขามีที่เข้าสู่สระยกเทพด้วยเหรอ” มีคนสังเกตเห็นเงาบนภูเขาและจำได้ทันที

“เฮ้ มีบรรพบุรุษของเผ่าวิหคโลกันตร์ละสังขารที่สระยกเทพเมื่อหลายร้อยปีก่อนเพื่อกันที่นั่งสำหรับสมาชิก ดูเหมือนพวกเขาจะใช้แล้ว” มีคนพูดอย่างอิจฉา ท้ายที่สุดแล้วที่นั่งในสระยกเทพยากเกินกว่าที่จะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากหมายถึงการเสียสละของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน

“หึ ดูท่าพวกเจ้ายังไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกน่ะ…” พวกรู้ลึกถึงกับเค้นเสียงขึ้นจมูก “เทียนจิ่วโยวแห่งเผ่าวิหคโลกันตร์มีข่าวลือว่านางวิวัฒนาการเข้าสู่สายเลือดวิหคอมตะได้ แต่ตอนนี้หวงเฉวียนจือหมายตานางในฐานะผู้เสียสละครั้งสุดท้ายเพื่อวิชาหมุนวนเก้าเทพของเขา…”

“ดังนั้นเมื่อไรที่เทียนจิ่วโยวเข้าสู่สระยกเทพหวงเฉวียนจือจะเคลื่อนไหวและกลืนกินสายเลือดนาง…”

โลกของสัตว์อสูรโหดร้ายกว่าโลกของมนุษย์ ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินถึงความตั้งใจของหวงเฉวียนจือก็ไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นสิ่งผิด

ตามคำกล่าวที่ว่าคนที่มีสมบัติจะกลายเป็นก่ออาชญากรรม นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้สายเลือดที่หายากของเผ่าวิหคโลกันตร์ถูกเล็งเป็นเป้าหมาย ถ้าพวกเขาเก็บงำไว้กับตัวเองก็แล้วไป แต่พวกเขากลับเลือกที่จะเปิดเผย ตอนนี้หวงเฉวียนจือกำหนดเป้าแล้ว คงไม่สามารถหลบหนีได้อย่างง่ายดาย

เมื่อรู้สึกถึงสายตาเหล่านั้น ใบหน้าของเทียนฮวงก็ดูน่าเกลียดเช่นกัน

จิ่วโยวยืนอยู่ข้างหลังบิดาสวมเสื้อผ้าสีดำพอดีตัว ซึ่งเผยรูปร่างและส่วนโค้งนูนน่าทึ่งที่หน้าอก นางเม้มริมฝีปากเข้าหากันดูดื้อดึงมากกว่าปกติ

เมื่อเทียบกับเทียนหวง สีหน้านางดูสงบกว่ามาก แต่หมัดที่กำแน่นเผยให้เห็นความไม่สบายใจในหัวใจ

“ผู้อาวุโสลู่ ครั้งนี้ต้องรบกวนท่านแล้ว” เทียนฮวงถอนหายใจขณะหันไปหาผู้อาวุโสสวมชุดคลุมสีเทา นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพียงหนึ่งเดียวของเผ่าวิหคโลกันตร์ ซึ่งตอนแรกอยู่ในสมาธิ แต่เพื่อจิ่วโยว พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกจนต้องเชิญเขาออกจากสมาธิ

ทว่าผู้อาวุโสคนนี้ก็อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายเท่านั้น

ผู้อาวุโสลู่มีสีหน้าขมขื่นแต่ก็ยังพยักหน้า “ท่านประมุขวางใจเถอะ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องจิ่วโยว แต่…ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวงเฉวียนจือ”

เทียนฮวงตัวสั่นสะท้าน เขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ตอนนี้หวงเฉวียนจือมีขุมพลังอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นแล้ว พลังในการต่อสู้เหนือล้ำแน่นอน ว่ากันว่ากระทั่งจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันยังตายในมือเขาได้ ความสำเร็จของเขาเกรียงไกรนัก

“ผู้อาวุโสลู่ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับหวงเฉวียนจือ แค่พาจิ่วโยวหนีให้ไกลจากเขาในสระยกเทพ พยายามแสวงหาโอกาสที่เหมาะสมก็พอ” เทียนฮวงปลอบโยน

“ข้าจะทำให้ดีที่สุด” ผู้อาวุโสลู่ผงกศีรษะและหายใจเข้าลึกพร้อมกับการแสดงออกเด็ดขาดบนใบหน้า เขาเองก็โกรธแค้นกับการกลั่นแกล้งของเผ่าหงส์ฟ้า ดังนั้นต่อให้ต้องสละชีวิต เขาก็ต้องปกป้องความปลอดภัยของจิ่วโยวให้จงได้

ทว่าทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ เขาเหลือบมองไปที่จิ่วโยวเอ่ยด้วยความลังเล “ยังไม่มีข่าวจากผู้อาวุโสเทียนเช่อรึ? ข้าได้ยินมาว่ามู่เฉินน่าเกรงขามนัก ถ้าเขามาที่นี่อาจจะเผชิญหน้ากับหวงเฉวียนจือได้…”

เทียนฮวงขมวดคิ้วเบาๆ ตอบว่า “ยัง… เผ่าวิหคโลกันตร์ของเราไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วยเหลือต่างสายพันธุ์ นอกจากนี้เขาอาจไปรุกรานเผ่าหงส์ฟ้าหากมาที่นี่ ข้าคิดว่าเจ้าหนูนั่นคงต้องพิจารณาข้อดีข้อเสียก่อน”

น้ำเสียงของเขาไม่มีแววตำหนิใดๆ เนื่องจากเป็นเรื่องธรรมชาติ ในมหาพันภพไม่มีใครกล้าที่จะรุกรานเผ่าหงส์ฟ้าเพื่อเผ่าวิหคโลกันตร์ เห็นได้จากเผ่าเทพอสูรที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเผ่าวิหคโลกันตร์มาตลอดก็ยังไม่กล้าเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้

“ท่านพ่อ!”

ทว่าคำพูดของเขาดึงดูดสายตาเย็นชาจากจิ่วโยวทันที

เมื่อเทียนฮวงเห็นก็ส่ายหัวอย่างขมขื่น “ก็ได้ๆ ข้าจะไม่พูดแง่ร้ายเกี่ยวกับเขา”

ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน จู่ๆ หวงจิงก็มองมาอย่างไม่แยแสและยิ้ม “พวกเจ้าพิจารณาเรื่องนี้หรือยัง?”

คำพูดของเขาดึงดูดความสนใจรอบข้างทันที เทียนฮวงทำได้เพียงเกร็งศีรษะขึ้นถามว่า “เผ่าหงส์ฟ้า ไม่สามารถปล่อยเผ่าวิหคโลกันตร์ไปได้จริงๆ เหรอ?”

น้ำเสียงของเขาเป็นการขอร้องแล้ว ไม่มีเหลือเกียรติคุณของประมุขไว้เลย

เมื่อหวงจิงได้ยินคำตอบนี้ก็ถอนหายใจเบาๆ “ทำไม? ถ้าพวกเจ้าทำให้ลูกชายข้าพอใจ ข้าจะถือว่านี่เป็นบุญคุณจากเผ่าวิหคโลกันตร์และเราจะตอบแทนในอนาคตแน่ แต่เจ้ากลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง”

ไม่มีอารมณ์ใดๆ ในสายตาเขาขณะที่พูดต่อ “ในเมื่อยืนกรานที่จะดื้อรั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเองแล้ว”

ใบหน้าของเทียนฮวงดิ่งลงทันที

หวงเฉวียนจือกวาดสายตามองไปที่ผู้อาวุโสลู่ก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ “นั่นองครักษ์ของเจ้ารึ?”

“ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย…”

รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหวงเฉวียนจือก่อนที่จะส่ายหัวไปมา “ถ้ามีทั้งหมดแค่นี้ ข้าขอแนะนำให้ยอมแพ้ซะ”

เมื่อพูดจบเขาก็ก้าวออกมา เสียงร้องของหงส์ฟ้าก็ดังก้องขึ้นพร้อมกับแรงกดดันรุนแรงทำให้ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนจากแรงกดดันของเขา

แรงกดดันนั้นพุ่งไปที่ผู้อาวุโสลู่ ทำให้ร่างเขาสั่นใบหน้าซีดเซียวลง เข่าของเขาค่อยๆ งอจากแรงกดและเกือบจะคุกเข่าลงไป

เห็นได้ชัดว่าหวงเฉวียนจือพยายามข่มขู่ผู้อาวุโสลู่ ก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่สระยกเทพ เมื่อถึงตอนนั้นผู้อาวุโสลู่ก็จะไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา

ผู้อาวุโสลู่รู้ถึงเจตนาของหวงเฉวียนจือดี ดังนั้นเขาจึงกัดฟันถึงขนาดเส้นเลือดดิ้นพล่านบนหน้าผากเลยทีเดียว ทว่าแรงกดดันจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนบวกกับแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงของหวงเฉวียนจือ ก็ทำเอาเข่าของผู้อาวุโสลู่งอลงอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าของเทียนฮวงและจิ่วโยวก็เขียวคล้ำ แต่พวกเขาทำได้เพียงเฝ้าดูผู้อาวุโสลู่ทนทุกข์ทรมานจากแรงกดดัน

สายตาของเทียนฮวงมืดดำ มากจนจะกระอักเลือดออกมา นี่เป็นความอัปยศอดสูสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์แท้จริง

หมัดของจิ่วโยวกำแน่นโดยที่เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือจนเลือดหยดแหมะๆ ในตอนนี้แม้แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างนางก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้

ความรู้สึกไร้พลังลอยอวลทำให้นางได้แต่โทษตัวเอง

“พอแล้ว ถ้าเจ้าต้องการสายเลือดขนาดนั้นก็รับ…” นางเบิกตากว้างขณะที่ตะโกนใส่หวงเฉวียนจือ

แต่ก่อนที่นางจะพูดจบ เสียงสายฟ้าก็ดังขึ้น ทุกคนเงยหน้ามองขอบฟ้าห่างไกล คลื่นหลิงขนาดใหญ่ถาโถมเข้ามา

ตู้ม ตู้ม

คลื่นกระแทกหลิงนี้บดขยี้แรงกดดันของหวงเฉวียนจือพร้อมกับเสียงคำรามที่ดังก้อง

“แกไม่มีสิทธิ์จะได้รับสายเลือดของนาง!”

เสียงคำรามดังกล่าว ทำให้เสียงของจิ่วโยวถูกขัดจังหวะทันที นางเงยหน้าขึ้นทันควันก่อนที่จะเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามา รูปลักษณ์ที่หล่อเหลาดูเหมือนจะมีความโกรธซ่อนอยู่ภายใต้มหาสมุทรสายฟ้า ทำให้หัวใจของนางเต้นไม่เป็นส่ำ

นางมองร่างคุ้นเคยด้วยความอึ้งทึ่ง ก่อนที่หยดน้ำตาจะร่วงลงจากแก้ม

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท