หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1452 เผชิญหน้า

บทที่ 1452 เผชิญหน้า

ครืน!

ความผันผวนดุดันของคลื่นหลิงระเบิดไปทั่วท้องฟ้า แรงกดดันอันทรงพลังทำให้ใบหน้าของผู้คนเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด เมื่อพวกเขามองไปที่ชายหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่

นี่ก็คือมู่เฉินที่เพิ่งมาถึง เขาพลิ้วตัวลงบนภูเขา ความโกรธก็เกิดขึ้นในใจเมื่อเขาเห็นน้ำตาบนใบหน้าของจิ่วโยว

ตั้งแต่วันแรกที่เขารู้จักจิ่วโยวด้านที่ไม่ยอมใครของนางก็ตราตรึงอยู่ในหัวใจของเขา แต่ตอนนี้หญิงสาวเข้มแข็งไม่ยอมใครง่ายๆ กำลังร้องไห้ เขานึกได้เลยว่านางต้องแบกความทุกข์ทรมานไว้แค่ไหน

“ประมุขเทียนฮวง พวกท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?”

มู่เฉินมองไปที่เทียนฮวงช่วยพยุงผู้อาวุโสลู่ขึ้นก่อนจะประสานมือลุแก่โทษ “ขอโทษที่มาช้าขอรับ”

เทียนฮวงและผู้อาวุโสลู่อึ้งไปขณะมองมู่เฉิน พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่ามู่เฉินจะมาที่นี่จริงๆ

‘เจ้าหนูนี่กล้าที่จะรุกรานเผ่าหงส์ฟ้าเพื่อจิ่วโยวจริงหรือ?’

“ไม่สาย ไม่สายหรอก…” เทียนฮวงโบกมือไปมาพูดอย่างขมขื่น “เผ่าวิหคโลกันตร์ของข้าหมดหนทางกับสถานการณ์นี้แล้ว ดังนั้นจึงต้องให้ผู้อาวุโสเทียนเช่อแจ้งให้เจ้าทราบ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน”

มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านพูดอะไร จิ่วโยวช่วยเหลือข้ามากมายในอดีตและถ้าไม่ใช่นางตอนนี้ข้าอาจตายไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่านางจะอยู่ที่ไหน ข้าก็จะเร่งรุดมาช่วยทันที ”

เทียนฮวงมีสีหน้าซับซ้อน คำพูดของมู่เฉินทำให้เขารู้สึกผิดและพอใจผสมผเสกัน เขารู้สึกผิดที่พวกเขาสงสัยในตัวชายหนุ่ม ขณะเดียวกันก็รู้สึกยินดีที่จิ่วโยวเจอสหายร่วมเป็นร่วมตาย

หลังจากที่มู่เฉินและเทียนฮวงพูดคุยกันอารมณ์ของจิ่วโยวก็สงบลง เขาจึงพูดแหย่ว่า “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะร้องไห้ด้วย”

จิ่วโยวรีบเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าพลางถลึงตาใส่มู่เฉิน ก่อนจะเตะใส่ “ยังกล้าแกล้งข้าอีกเหรอ?!”

แต่หลังจากนั้นนางก็พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าไม่ควรมา”

แม้ว่าจะเอาอดีตมาเทียบเคียงกับมู่เฉินตอนนี้ไม่ได้อีกต่อไป แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ไม่สามารถมองข้ามไปได้

มู่เฉินส่ายหัวมองไปที่จิ่วโยวตอบว่า “ใครกันที่ปกป้องข้าตอนที่ออกจากมณฑลเป่ยหลิงแล้วพาข้าท่องยุทธภพ? เจ้าไม่เคยดูถูกว่าข้าอ่อนแอและช่วยเหลือกันมาตลอดแล้วจะให้ข้าทิ้งเจ้าได้อย่างไร?”

ตอนนั้นเขายังเด็กและอ่อนแอ สาเหตุที่เขาสามารถผ่านพ้นอันตรายมานักต่อนักก็มาจากความช่วยเหลือของจิ่วโยว ถ้าไม่ใช่นาง เขาคงก้าวไม่ถึงจุดสูงสุดในปัจจุบัน

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน จิ่วโยวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเปรี้ยวขึ้นจมูกขณะที่ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาก่อนที่นางจะกลั้นไว้

“แกเป็นใคร? ทำไมถึงเข้ามาแส่เรื่องระหว่างเผ่าเทพอสูรกลางเวหา?”

ขณะที่พวกเขาพูดคุย เสียงสูงส่งก็ดังก้อง หวงจิงจ้องมองไปที่มู่เฉิน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับจักรพรรดิหวง “ข้าชื่อมู่เฉิน ได้รับการเชิญจากเผ่าวิหคโลกันตร์ให้มาเป็นองครักษ์จิ่วโยว”

คำพูดของเขาทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที ทุกคนมองไปที่มู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคุ้นเคยกับชื่อดาวรุ่งของมหาพันภพในช่วงนี้

แม้ว่าจะคาดหวังคำตอบไว้แล้ว แต่หวงจิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ หากเป็นมนุษย์คนอื่นพยายามจะเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้ เขาคงจะไล่ตะเพิดไปแล้ว ทว่าเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นกับมู่เฉินได้เนื่องจากมารดาอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าโบราณ ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ของชายหนุ่มกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม นอกจากนี้เขายังเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพอีกด้วย ด้วยรัศมีรายรอบมู่เฉิน ทำให้เขาถูกข่มขู่

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่ายากจะจัดการเนื่องจากมู่เฉินมีกองหนุนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งหลายคน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้สถานะของตนเองเพื่อปราบปรามมู่เฉินได้ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นออกโรงได้ ในเวลานั้นการเผชิญหน้าระหว่างยอดยุทธ์จะเป็นปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว…”

หวงเฉวียนจือยิ้มขณะที่หวงจิงกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับมู่เฉิน เขาจ้องไปอีกฝ่าย “ข้าได้ยินมาเกี่ยวกับการกระทำอันยิ่งใหญ่ของประมุขมู่ในเผ่าฝูถู แต่นี่ไม่ใช่เผ่าฝูถู ไม่มีค่ายกลให้เจ้าได้ยืมใช้หรอกนะ”

แม้ว่าคำพูดจะราบเรียบ แต่ทุกคนก็เห็นด้วยเนื่องจากเหตุผลที่มู่เฉินสามารถปราบผู้อาวุโสในเผ่าฝูถูได้ ก็เพราะใช้ค่ายกลพิทักษ์เผ่า เพราะตัวเขามีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเท่านั้น

เหล่าอัจฉริยะที่สามารถเข้าสู่สระยกเทพน่ากลัวทั้งนั้นและมู่เฉินคงไม่สามารถทำในแบบเดียวกันกับเผ่าฝูถูได้

หวงเฉวียนจือสมกับเป็นบุตรชายของหวงจิง คำพูดของเขาลบความสำเร็จรุ่งโรจน์ของมู่เฉินจนหมดสิ้น

มู่เฉินผงกศีรษะตอบว่า “ผู้อาวุโสเผ่าฝูถูเป็นปัญหาเล็กน้อย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าจึงต้องใช้ค่ายกล แต่ทำไมข้าต้องใช้มันกับเรื่องเล็กน้อยวันนี้”

“ฮ่าๆ ประมุขมู่โอ้อวดแท้จริง”

หวงเฉวียนจือยิ้มขณะพูดต่อช้าๆ “ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังดูถูกเผ่ามหาเทพอสูรของเรานะ”

รอยยิ้มเยาะผุดที่มุมปาก คำพูดเลวร้ายของเขาวางมู่เฉินไว้ตรงข้ามกับเผ่ามหาเทพอสูรทั้งหมด

คำพูดนี่ดึงดูดความสนใจของเหล่าอัจฉริยะเผ่ามหาเทพอสูร ทั้งหมดต่างมองไปที่มู่เฉิน

มีความอยากรู้ ไม่แยแส แม้กระทั่งดูหมิ่นในสายตาเหล่านั้น…

“เฮอะ แค่มนุษย์ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางกล้าโอ้อวดที่นี่ด้วยหรือ? ไม่กลัวกัดลิ้นตัวเองขาดรึไง?” เสียงหัวเราะน่าขนลุกดังสะท้อนด้วยความดูถูก

ทุกคนมองไปที่ต้นเสียงก็เห็นชายหน้าตาบึ้งตึงคนหนึ่งยืนเอามือไพล่หลัง รอยยิ้มที่แขวนบนริมฝีปากดูเหมือนคมมีดที่เย็นยะเยือก

รัศมีระเบิดออกจากทางด้านหลังเขากลายเป็นนกขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนหงส์ฟ้าผสมกับแร้งสีทอง

“นั่นอัจฉริยะแร้งหงส์ทองคำ—ฟังจิ้ง หงส์แร้งทองคำและหงส์ฟ้าแท้จริงมีสายเลือดที่สัมพันธ์กัน เรียกได้ว่าสนิทสนมกับเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริงที่สุด ว่ากันว่าเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริงเลยทีเดียว” เทียนฮวงอธิบายด้วยสีหน้าไม่น่าดูข้างมู่เฉิน

“ก็แค่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย ไม่มีอะไรคุกคามได้” มู่เฉินยิ้ม ไม่สนใจการยั่วยุของฟังจิ้ง เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองอีกฝ่าย

ในสายตาของเขา ฟังจิ้งเป็นเพียงตัวตลกก่อนเปิดโรงที่พยายามทำให้หวงเฉวียนจือดูดีขึ้นเท่านั้น

“ฮึ่ม หาเรื่องตาย!”

ฟังจิ้งยิ้มเกรี้ยวกราด แต่ก็ไม่ได้ขยับ เขามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ

“ไม่ต้องมาทำยั่วยุไร้ประโยชน์ที่นี่ ไม่มีใครโง่ เจ้ามาทดสอบข้าได้เองหากต้องการทราบพลังที่ข้ามี” มู่เฉินมองไปที่หวงเฉวียนจือ เอ่ยด้วยเสียงนิ่งเฉย

รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงเฉวียนจือหุบลงขณะที่จ้องมองมู่เฉินอย่างเย็นชา พูดย้ำชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้า-จะ-กิน-สายเลือด-วิหคอมตะให้ได้!”

สายตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่หวงเฉวียนจือตอบว่า “อย่างที่ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้ ไม่มีวัน”

ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากัน ทำเอาหลายคนถึงกับแอบเดาะลิ้น แต่ละคนช่างดุดันอย่างแท้จริง อัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้าและดาวรุ่งดวงใหม่ของมหาพันภพ

แต่ไม่มีใครรู้ว่าใครจะหัวเราะในตอนจบ

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ขณะที่บรรยากาศตึงเครียดถึงขีดสุด สระมรกตก็กระเพื่อม แสงหลิงไม่มีที่สิ้นสุดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับน้ำพุร้อน

ครืน!

ทันใดนั้นแรงกดดันที่มองไม่เห็นก็ระเบิดออก ทำให้กระทั่งมู่เฉินยังหดตาลง เขามองเห็นภาพเงามากมายในแสงที่มีรูปแบบของเทพอสูร…

ชัดว่าร่างเหล่านั้นจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ละสังขารในสระ

“สระนี้…ไม่ธรรมดา”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง แม้ว่าสระแห่งนี้ดูเหมือนจะลึกเพียงหนึ่งพันจั้ง แต่จากการรับรู้ของเขาบอกได้ว่าสระนี้ไร้ขอบเขตราวกับสร้างขึ้นในอีกโลกหนึ่ง

“สระยกเทพกำลังเปิด ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม” เสียงของหวงจิงดังก้อง

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาบรรยากาศก็เริ่มตึงเครียด ทุกคนจ้องมองไปด้วยดวงตาที่ลุกโชน

ฮึ่ม!

อึดใจต่อมาคลื่นก็ยกตัวขึ้นในทะเลสาบสีมรกตทำลายความเงียบ ให้ความรู้สึกราวกับว่าผนึกได้ถูกปลดลงพร้อมกับแสงหลิงเชี่ยวกรากสาดส่องทั่วทั้งบริเวณ

“เข้าไปได้!”

พร้อมกับเสียงของหวงจิง แสงนับไม่ถ้วนก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและดำดิ่งลงไปในทะเลสาบมรกต

เมื่อร่างแต่ละคนดำดิ่งลงไป พวกเขาก็หายตัวไปทันทีราวกับว่าก้าวเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง

อัจฉริยะเหล่านี้เข้าไปโดยลำพัง เพราะตามกฎมีเพียงจอมยุทธ์ภายใต้ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถนำองครักษ์มาช่วยต่อสู้ได้

จิ่วโยวหายใจเข้าลึกมองไปที่มู่เฉิน “เจ้าจะไม่เสียใจนะ? จะมีการต่อสู้รุนแรงรออยู่ข้างในแน่นอน”

มู่เฉินคลี่รอยยิ้มบนริมฝีปากแล้วยื่นมือออกมา

“เจ้าปกป้องข้ามานาน ตอนนี้ถึงตาข้าปกป้องเจ้าแล้ว”

รอยยิ้มทรงเสน่ห์กระจายออกมาบนริมฝีปากของจิ่วโยว ก่อนที่นางจะยื่นมือออกมาจับมือของมู่เฉินเบาๆ

อึดใจสองพี่น้องก็กลายเป็นลำแสงพุ่งลงไปในทะเลสาบมรกต…

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท