หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1455 การมาถึงของแขกไม่ได้รับเชิญ

บทที่ 1455 การมาถึงของแขกไม่ได้รับเชิญ

ครืน!

เมื่อเจดีย์โบราณบีบกดลงมา มิติโดยรอบก็ราวกับถูกปิดผนึก ร่างแร้งหงส์ทองคำขนาดใหญ่ถูกครอบเอาไว้

มู่เฉินโบกมือ เจดีย์ผลึกแก้วใสก็สั่นเล็กน้อยก่อนที่จะกลับมาในฝ่ามือ ในเวลาเดียวกันเขาก็ยังใช้วิชาเจดีย์แปดองค์เพื่อปราบปรามฟังจิ้งแบบเบ็ดเสร็จ

วาบ!

แต่เมื่อเขากำลังจะเคลื่อนไหว ดวงตาก็ต้องหดลง เขาสังเกตเห็นการสั่นสะเทือนรุนแรงจากเจดีย์ จากนั้นแสงสีแดงเข้มก็พุ่งพรวดออกมา

“หืม?!”

มู่เฉินอุทานด้วยความประหลาดใจขณะเงยหน้าขึ้น มิติห่างออกไปหลายหมื่นจั้งฉีกออกจากกัน ร่างแร้งหงส์ทองคำบินกระท่อนกระแท่นออกไป ซึ่งก็คือฟังจิ้งนั่นเอง

ทว่าปีกข้างหนึ่งของอีกฝ่ายหักลงอย่างสิ้นเชิง เลือดไหลหยดลงเปื้อนทะเลสาบสีมรกตเป็นหย่อม

“ทักษะทำลายปีก?” มู่เฉินหรี่ตาหัวเราะ ฟังจิ้งเด็ดขาดใช้ได้ เลือกทำให้ตัวเองพิการเพื่อที่จะไม่ถูกปราบปราม

ฟังจิ้งเป็นแร้งหงส์ทองคำ เผ่ามหาเทพอสูรนี้มีความเร็วสูงยิ่ง ดังนั้นจึงสามารถฉีกมิติออกจากกันได้ หากจ่ายปีกเป็นค่าเสียหาย พวกเขาก็จะสามารถหลบหนีจากผนึกส่วนใหญ่ได้

ทว่าราคานี้สูงมาก แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะสามารถสร้างอวัยวะใหม่ได้ แต่องคาพยบของมหาเทพอสูรเป็นความสามารถในการต่อสู้ นอกจากนี้ยังมีแก่นโลหิตอยู่ในเลือดเนื้อของพวกเขา หากจุดชนวนก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าหากฟังจิ้งต้องการฟื้นฟูปีกก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี

“อ้ากกก! มู่เฉิน ข้าไม่ปล่อยแกง่ายๆ แน่!” ฟังจิ้งหนีไปโดยไม่หันกลับมาขณะแผดเสียงด้วยรู้สึกปวดร้าวในใจ

ชัดว่าเขารู้ถึงราคาที่จ่ายออกไป

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับเสียงคำรามนั่น เขาเพียงยิ้มและโบกมือเก็บเจดีย์ กระทั่งตอนที่ฟังจิ้งอยู่จุดสูงสุดเขายังสามารถปราบได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ยิ่งเสียปีกไปข้างหนึ่ง พลังลดลงมาก อีกฝ่ายก็ไม่สามารถคุกคามเขาได้อีกต่อไป

พอเก็บเจดีย์เรียบร้อย มู่เฉินก็เงยหน้ามองเบื้องบนด้วยสายตาไม่แยแส เขารู้สึกได้ว่ากำลังถูกจับตาดูและน่าจะเป็นคนที่เฝ้าดูจากภายนอกสระยกเทพ

ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจ เขากลับไปหาจิ่วโยว รอนางกลืนกินแก่นเลือดโลหิตให้เสร็จ

นอกสระยกเทพ

ขณะเดียวกันทุกคนก็ตกตะลึง ทั่วบริเวณอยู่ในความเงียบ

หลังจากนั้นนานพวกเขาก็ค่อยๆ หายจากอาการตกใจ ทุกคนต่างเดาะลิ้น ความหวาดเกรงพล่านในสายตา

ใครสามารถจินตนาการว่าฟังจิ้งจะอ่อนแอขนาดนี้ต่อหน้ามู่เฉินและแพ้ง่ายดาย? สุดท้ายยังต้องหักปีกข้างหนึ่งเพื่อหนี

“มู่เฉินเหี้ยมจริงๆ”

“เขาเป็นจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเองนะ แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเขาน่ากลัวเกินไปแล้วมั้ง?”

“เขาไม่ธรรมดา มิน่าล่ะถึงพลิกเผ่าฝูถูกลับหัวกลับหางได้ เจ้านั่นเป็นสัตว์ประหลาด!”

“ดูเหมือนว่าจะมีคนอย่างหวงเฉวียนจือเท่านั้นที่ปราบเขาได้”

“…”

เสียงสนทนาสะท้อนออกมา ทุกคนที่นี่เคยได้ยินเกี่ยวกับความสำเร็จของมู่เฉินในเผ่าฝูถู แต่ไม่มีใครเห็นด้วยตาตนเอง ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของมู่เฉิน พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าชายหนุ่มคนนี้น่ากลัวเพียงใด

บนภูเขาที่อยู่ใกล้กับสระยกเทพ หวงจิงมองไปที่กระจกพลางหรี่ตา “เจ้านั่นสมคำล่ำลือจริงๆ สมกับเป็นบุตรชายของชิงเหยี่ยนจิ้ง”

ผู้อาวุโสตระกูลหวงที่อยู่ข้างหลังหัวเราะเบาๆ “เจ้านั่นมีพลังก็จริง แต่ก็ด้อยกว่าเมื่อเทียบกับประมุขน้อย”

แม้ว่าฟังจิ้งจะไม่อ่อนแอ แต่เขาก็ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะสู้กับหวงเฉวียนจือ ดังนั้นจึงไม่มีการคุกคามใดๆ ต่อหวงเฉวียนจือแม้ว่ามู่เฉินจะสามารถเอาชนะฟังจิ้งได้

“แน่นอน”

หวงจิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ พรสวรรค์ของหวงเฉวียนจือเป็นที่สุดในรอบนับหมื่นปี มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถฝึกฝนวิชาเก้าเทพหมุนวนได้ แม้ว่ามู่เฉินถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ก็ยังด้อยกว่าหวงเฉวียนจือ

เมื่อไรที่เขาต่อสู้กับหวงเฉวียนจือ เขาจะรู้ช่องว่างนั้นเอง

ประมาณครึ่งก้านธูป

จิ่วโยวดูดซับแก่นโลหิตเรียบร้อยก่อนจะหยุดลง เมื่อนางดูดซับไอเส้นสุดท้าย ไข่สีดำที่ด้านหลังก็เข้มขึ้นพร้อมกับรัศมีโบราณซึมผ่านราวกับว่ากำลังหล่อเลี้ยงบางอย่าง

พอลืมตาขึ้นเปลวไฟสีม่วงในดวงตานางก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ…

ฮา

เมื่อพรูลมหายใจขาวขุ่นออกจากปาก จิ่วโยวก็สัมผัสได้ถึงสายเลือดที่พลุ่งพล่านไหลเวียนผ่านเส้นเลือด ความสุขกระจายบนใบหน้า

เห็นได้ชัดว่าแก่นโลหิตชั้นยอดซึ่งเทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเป็นยาบำรุงชั้นดีสำหรับนาง

“น่าเสียดาย ไม่รู้ยังต้องการแก่นโลหิตชั้นยอดอีกมากแค่ไหนถึงจะพัฒนาสายเลือดได้” แต่จากนั้นจิ่วโยวก็ยิ้มขมขื่น เนื่องจากนางรู้สึกได้ว่าตนเองยังต้องการพลังงานสายเลือดจำนวนมหาศาล

“ค่อยเป็นค่อยไป ยังมีแก่นโลหิตอีกมากมาย พวกมันจะตอบสนองเจ้าได้แน่” มู่เฉินเผยรอยยิ้มปลอบใจ

จิ่วโยวพยักหน้าเห็นด้วย ทันใดนั้นก็นึกอะไรได้รีบมองไปรอบๆ แต่เมื่อนางไม่เห็นฟังจิ้งก็ถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้านั่นล่ะ?”

“มันหักปีกหนีไปแล้ว” มู่เฉินยิ้ม

พอได้ยินคำพูดของเขา จิ่วโยวก็อดตาโตไม่ได้ ฟังจิ้งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่เผ่าเทพอสูร ไม่คิดว่าในขณะที่นางกำลังชำระแก่นโลหิต มู่เฉินก็ซัดอีกฝ่ายหนีไปโดยต้องจ่ายราคาเป็นปีกหักๆ

‘ตอนนี้เขาทรงพลังมากขนาดนี้เชียวหรือ?’

“เจ้าสัตว์ประหลาด! ดูเหมือนข้าจะจับเงาของเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำถ้ายังไม่รีบพัฒนาให้เร็วอีก” จิ่วโยวถอนหายใจ เมื่อก่อนนางเป็นกองหนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ส่วนเขาก็เห็นนางเป็นที่พึ่งที่ทรงพลังที่สุด แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มอ่อนแอคนนั้นเติบโตขึ้นมากจนแม้แต่นางก็ก้าวตามไม่ทันแล้ว

เรื่องนี้กระทบต่อกำลังใจมากสำหรับคนชอบเอาชนะอย่างนาง

“ข้าเติบโตภายใต้ปีกของเจ้านะ ดังนั้นเจ้าควรจะภาคภูมิใจ” มู่เฉินเอ่ยล้อเลียน

จิ่วโยวกลอกตาพลางลุกขึ้นยืน รูปร่างเพรียวบางดูน่าดึงดูดอย่างยิ่ง ดวงตาหงส์กวาดไปรอบๆ ถามด้วยความคาดหวังว่า “เราจะไปที่ไหนต่อดี?”

“ก่อนหน้านี้ข้าแผ่คลื่นจิตออกไป แต่ไม่มีความผันผวนของแก่นโลหิตอยู่รอบๆ เลย” มู่เฉินส่ายหัวก่อนจะถามต่อ “แก่นโลหิตจะเกิดบริเวณไหนมากที่สุด?”

หลังจากลังเลชั่วครู่จิ่วโยวก็ชี้ไปที่ส่วนลึกของเวิ้งน้ำไร้ก้น “ยิ่งเข้าไปในส่วนลึกของสระยกเทพก็ยิ่งมีแก่นโลหิตมากขึ้น แต่ว่าเหล่าอัจฉริยะเผ่ามหาเทพอสูรก็จะอยู่ที่นั่นเช่นกัน ดังนั้นจะมีการต่อสู้เข้มข้นรอเราอยู่อย่างแน่นอน”

โดยทั่วไปแล้วเผ่าเทพอสูรแบบพวกนางจะเลือกพื้นที่รอบๆ สระยกเทพ เนื่องจากพื้นที่ส่วนลึกมักถูกเผ่ามหาเทพอสูรเข้าครองแล้ว

“ถ้างั้นจะรออะไรอีกล่ะ?”

มู่เฉินยิ้มร่าไม่มีความกลัวในสายตาก่อนที่จะพูดต่อ “เส้นทางของยอดยุทธ์เต็มไปด้วยการต่อสู้อยู่แล้ว ถ้าเอาแต่หลบจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?”

จิ่วโยวอึ้งไปกับคำพูดเขาชั่วขณะ ก่อนที่นางจะพยักหน้า ในที่สุดนางก็รู้ว่าทำไมความแข็งแกร่งของมู่เฉินจึงพุ่งทะยานแบบฉุดไม่อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะความกล้าหาญไร้ขอบเขตที่ผลักดันเขาออกไปแม้จะเผชิญกับความยากลำบากแสนสาหัสก็ตาม

ตรงข้ามกับตัวนางที่ลังเลมาตลอดนับตั้งแต่พัฒนาเป็นเทพอสูร ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พัฒนาการของนางช้าไปมาก

“งั้นเราก็ไปแย่งกันเถอะ!”

ทันใดนั้นห่วงในใจก็แตกสลาย จิ่วโยวกำหมัดแน่น รอยยิ้มกลับเต็มด้วยความห้าวหาญอีกครั้ง

ครั้นรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในหัวใจของจิ่วโยว มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ขณะพยักหน้า ร่างเขาวูบไหวกลายเป็นลำแสงทะยานไปยังส่วนลึกของสระยกเทพ

จิ่วโยวก็ตามหลังมาอย่างกระชั้นชิด

ไม่ผิดจากที่จิ่วโยวพูดไว้

ความถี่ของแก่นโลหิตชั้นยอดเพิ่มขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าไปลึกขึ้น ขณะที่พุ่งลงมาพวกเขาก็พบกับแก่นโลหิตอย่างน้อยสิบชิ้น

แก่นโลหิตทุกชิ้นที่พบล้วนกลายเป็นอาหารของจิ่วโยว หลังจากที่พวกมันพ่ายแพ้ก็ถูกดูดซับโดยนางทันที

นอกจากนี้รอยแตกก็เริ่มปรากฏบนเปลือกไข่สีดำที่ด้านหลังนาง…

เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงจิ่วโยวก็ตื่นเต้นมากขณะมองไปที่แก่นโลหิตด้วยความกระหายในดวงตา

แต่ก็เหมือนที่จิ่วโยวพูดไปก่อนหน้า ในส่วนลึกจะเป็นพื้นที่ของเหล่าอัจฉริยะจากเผ่ามหาเทพอสูร ดังนั้นพวกเขาจึงได้พบกับอัจฉริยะคนหนึ่งจากเผ่ามหาเทพอสูร

คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะจากเผ่ากระเรียนเทพซึ่งมีพลังไม่ได้อ่อนแอไปกว่าฟังจิ้ง มิหนำซ้ำยังมีชื่อเสียงในหมู่เทพอสูรอีกด้วย

เมื่อจิ่วโยวพบคนผู้นี้ นางก็กังวลและระวังตัวแจ

แต่ที่น่าตกใจคืออัจฉริยะเผ่ากระเรียนเทพเพียงแค่มองมู่เฉินก็เกิดความลังเลชั่วครู่ก่อนที่เขาจะล่าถอย

“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้ถึงผลลัพธ์ของฟังจิ้งแล้ว” เมื่อมองไปที่อัจฉริยะเผ่ากระเรียนเทพที่ถอยไป มู่เฉินก็ยิ้ม

การมีฟังจิ้งเป็นตัวอย่าง ทำให้เหล่าอัจฉริยะเผ่ามหาเทพอสูรไม่โง่พอที่จะยั่วยุมู่เฉิน

จิ่วโยวรู้สึกโล่งใจมากขึ้นกับภาพนี้ก่อนที่ทั้งสองจะมุ่งหน้าลึกเข้าไปในสระยกเทพ ภายใต้การนำของมู่เฉินในการค้นหาร่องรอยของแก่นโลหิตชั้นยอด

ในเวลาหนึ่งก้านธูป พวกเขาเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์โดยได้รับแก่นโลหิตถึงเกือบยี่สิบชิ้น โดยจิ่วโยวดูดซับไปทั้งหมด ในขณะเดียวกันก็มีรอยแตกมากขึ้นที่ไข่ด้านหลังนาง…

“โน้นอีกชิ้น!”

หลังจากดูดซับเรียบร้อยจิ่วโยวก็มองไปยังทิศทางที่มีแก่นโลหิตอย่างตื่นเต้น

มู่เฉินก็เหลือบไปเห็นเช่นกัน แต่ไม่ได้เข้าใกล้ ตรงกันข้ามเขาดึงจิ่วโยวกลับมาพร้อมกับแสงเย็นวูบไหวในดวงตา “ในเมื่อมาแล้วยังจะซ่อนตัวไปทำไม?”

“ฮิๆ ท่านประมุขมู่ประสาทสัมผัสดีเยี่ยม”

เมื่อมู่เฉินเรียกขาน มิติโดยรอบก็แปรปรวน เงาร่างสามร่างก็ก้าวออกมา

เมื่อจิ่วโยวเห็นคนทั้งสามดวงตานางก็เบิกกว้าง เสียงสะท้อนออกมาด้วยความตกใจ

“เผ่านกยูงเก้าสี—ข่งหลิงเอ๋อ?

“เผ่าแร้งทองคำเก้าหัว—หลินชาง?

“เผ่ากระเรียนมังกรฟ้า—เซียวเทียน?

ตอนนี้นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลแม้ว่านางจะมั่นใจในตัวมู่เฉิน เนื่องจากชื่อเสียงของทั้งสามอยู่รองจากแค่หวงเฉวียนจือ ‘ทั้งสามคิดจะร่วมมือกันจัดการมู่เฉินเรอะ?’

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท