หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1456 ความร่วมมือ

บทที่ 1456 ความร่วมมือ

ในทะเลสาบมรกต

ร่างทั้งสามปกคลุมด้วยรัศมีไร้ขอบเขตเมื่อปรากฏตัว ครั้นแสดงตัวให้เห็นแต่ละคนก็ปล่อยคลื่นหลิงที่ทรงพลังสามสายออกมา

เมื่อเห็นทั้งสามคน ใบหน้าของจิ่วโยวก็เปลี่ยนไป จอมยุทธ์ทั้งสามนี้มีชื่อเสียงตามหลังหวงเฉวียนจือนิดเดียวเท่านั้น

ว่าแต่ทำไมทั้งสามคนถึงมาหาพวกนาง?

เมื่อเทียบกับท่าทางกังวลใจของจิ่วโยว มู่เฉินสงบนิ่งกว่ามาก มีเพียงความประหลาดใจเบาบางที่แสดงออกมา เขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับสถานการณ์นี้เช่นกัน

“ดูเหมือนพวกเจ้าจะวางข้าไว้สูงถึงได้มาด้วยกัน” มู่เฉินยิ้มบางขณะที่คลื่นหลิงไหลเวียนไปรอบๆ ตัวพร้อมกับสัญญาณของการเปลี่ยนเป็นกายาหลิงเทียนจุน

เขาไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับทั้งสาม ดังนั้นการมาที่นี่บอกได้คำเดียวเป็นเจตนาร้าย

ทว่าคนอย่างมู่เฉินไม่เคยกลัว แม้ว่าพวกเขาทั้งสามจะไม่ได้อ่อนแอ มิหนำซ้ำยังมีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้ว แต่พวกเขาก็ไร้เดียงสาเกินไปหากคิดว่าจะปราบเขาด้วยจำนวนคน

“ฮิๆ อย่านับศัตรูกันนักเลย เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อจัดการเจ้าเพราะหวงเฉวียนจือหรอก” ทว่าไม่เหมือนที่มู่เฉินคาดไว้ ข่งหลิงเอ๋อหัวเราะเบาๆ เสียงออดอ้อนดังก้องเพื่อตอบสนองต่อมู่เฉิน

มู่เฉินเลิกคิ้วขึ้นขณะมองไปที่หญิงสาวที่กำลังพูด นางช่างสะคราญโฉมอย่างไม่น่าเชื่อ ภายใต้ความงามยังมีรัศมีทรงเกียรติราวกับหงส์ฟ้า

นางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสพันรอบเอวไว้อย่างแน่นหนา แม้แต่คอเรียวระหงและไหล่บอบบางก็ยังแทรกซึมด้วยเสน่ห์

“เจ้าหมายความว่าอะไร?” มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของทั้งสามคน นอกจากการจะมาหาเรื่องเขา

แม้แต่จิ่วโยวก็ยืนงงอยู่ข้างๆ

ข่งหลิงเอ๋อหัวเราะเบาๆ “เรามาตามหาเจ้า เพราะอยากร่วมมือกับพี่มู่”

“ร่วมมือ?” มู่เฉินอึ้งไป ความประหลาดใจเกิดขึ้นทันที พวกเขาร่วมมือทำอะไรกันได้ในสระยกเทพนี่?

ข่งหลิงเอ๋อคลี่รอยยิ้มทรงเสน่ห์ชี้ไปที่สองคนข้างๆ “พี่มู่สองคนนี้คือหลินชางจากเผ่าแร้งทองเก้าหัวและ เซียวเทียนจากเผ่ากระเรียนมังกรฟ้า ทั้งสองคนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่มหาเทพอสูรเชียวนะ”

หลินชางและเซียวเทียนพยักหน้าให้มู่เฉินตามการแนะนำ แต่ท่าทางของพวกเขาดูภาคภูมิใจเล็กน้อย ทว่านั่นก็เป็นเรื่องปกติเนื่องจากพวกเขาสามารถมองคนอื่นอย่างหยิ่งยโสด้วยศักดิ์ศรีของตน

มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้มขณะที่ถาม “ทำไมเราต้องร่วมมือกัน?”

เขาไม่สนใจการร่วมมือมากสักเท่าไร เนื่องจากเขาไม่ไว้วางใจทั้งสามคน ดังนั้นสถานการณ์จะมีแต่ความกังวลหากเกิดการร่วมมือกัน

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่สนใจมากนักข่งหลิงเอ๋อก็ยิ้ม “ไม่รู้ว่าเจ้าสนใจแก่นโลหิตชั้นยอดระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไหม?”

ไม่เพียงแต่จิ่วโยวเท่านั้น กระทั่งมู่เฉินยังหดดวงตาด้วยความตกตะลึง แก่นโลหิตชั้นยอดระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง?!

แก่นโลหิตระดับนั้นเกิดในสระยกเทพด้วยเรอะ?

จนถึงตอนนี้แก่นโลหิตสูงที่สุดที่พวกเขาหาได้ก็ประมาณระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นยาบำรุงดีเยี่ยมสำหรับจิ่วโยวแล้ว ดังนั้นพวกเขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับแก่นโลหิตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเลย

ทว่าหากเขาสามารถคว้าส่วนหนึ่งของแก่นโลหิตชั้นยอดระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็เพียงพอที่จะทำให้จิ่วโยวมีพัฒนาการได้ อาจมากจนถึงมีส่วนเหลือให้มู่เฉินใช้กับมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเพื่อให้พวกมันสร้างร่างแท้จริงได้…

ความตกตะลึงพล่านในดวงตาครู่หนึ่งก่อนที่มู่เฉินจะสงบใจ “ถ้ามีแก่นโลหิตระดับนั้นจริงๆ ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าเลิกตามซะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะจัดการได้”

แม้ว่าแก่นโลหิตชั้นยอดจะเป็นเพียงรัศมีสายเลือดที่ไม่มีทักษะในการต่อสู้ แต่ก็ไม่มีอะไรธรรมดาตราบใดที่เกี่ยวข้องกับคำว่า ‘เซิ่ง’

ด้วยพลังของพวกเขาที่มีตอนนี้ พวกเขาควรหนีเมื่อพบเจอ เป็นไปไม่ได้ที่จะโค่นล้มแม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกันก็ตาม

ข่งหลิงเอ๋อไม่ได้คัดค้านต่อคำพูดของมู่เฉิน กลับพยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่จะถามย้อนว่า “ถ้าเป็นแก่นโลหิตชั้นยอดระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เราก็ทำได้แค่วิ่งหนีเท่านั้น แต่ถ้าเป็นแค่แก่นโลหิตชั้นยอดที่เกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งล่ะ?”

สายตาของมู่เฉินวูบไหวขณะจ้องข่งหลิงเอ๋อพลางขมวดคิ้ว “ถ้าส้มหล่นแบบนั้นจริง ทำไมพวกเจ้าถึงมาหาข้า?”

หากกลุ่มของข่งหลิงเอ๋อสามารถหารับโชคใหญ่จริงๆ ก็เป็นโอกาสที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย หากพวกเขาสามารถดูดซับได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่ออนาคตในการฝ่าไปยังระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

มู่เฉินไม่ได้เป็นมิตรอะไรกับพวกเขา แล้วทำไมพวกเขาถึงเสนอส่วนแบ่งให้?

ข่งหลิงเอ๋อแลกเปลี่ยนสายตากับหลินชางและเซียวเทียนแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “เพราะหวงเฉวียนจือก็รู้เรื่องนี้เหมือนกันน่ะสิ”

มู่เฉินอึ้งไปวูบหนึ่งก่อนจะเริ่มงงงวยมากขึ้น “งั้นทำไมพวกเจ้าไม่ไปหาหวงเฉวียนจือแต่มาข้าล่ะ?”

ตามหลักแล้วหวงเฉวียนจือเป็นพันธมิตรที่ดีกว่าสำหรับการทำงานร่วมกันกับพวกเขา

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ท่าทางทั้งสามก็กระอักกระอวนเล็กน้อยก่อนที่พวกเขาจะอธิบายว่า “เพราะหวงเฉวียนจือเอาแต่ใจเกินไป เขาบอกว่าต้องการเจ็ดส่วนและให้พวกข้าสามคนรวมกันแค่สามส่วนเท่านั้น”

เมื่อได้ยินคำอธิบายมู่เฉินก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีความขัดแย้งภายในเรื่องการกระจายผลประโยชน์ ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงไม่เต็มใจและต้องการมองหาตัวช่วยอื่น

“พวกเจ้าสามคนแย่งกับหวงเฉวียนจือไม่ได้เรอะ?” มู่เฉินกวาดสายตามอง ทั้งสามคนเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน พูดแบบจริงจังพวกเขาน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นได้

“หึ เจ้าไม่รู้หรอกว่าหวงเฉวียนจือแข็งแกร่งแค่ไหน เขาเป็นหงส์ฟ้าแท้จริงซึ่งเป็นจักรพรรดิของสัตว์อสูรกลางเวหาทั้งหมด ไม่ต้องพูดถึงว่าที่เขาฝึกฝนวิชาเก้าเทพหมุนวนซึ่งเป็นหนึ่งในวิทยายุทธสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน ดังนั้นแม้ว่าขุมพลังของเขาจะอยู่ในขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น ทว่าก็ไม่มีแม้แต่พวกระยะกลางสามารถแข่งขันกับเขาได้” หลินชางพ่นลมหายใจ

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นอัจฉริยะของเผ่า แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังขาดไปเมื่อเทียบกับหวงเฉวียนจือ

ข่งหลิงเอ๋อพยักหน้าพลางยิ้ม “พวกข้าสามคนไม่มั่นใจในการต่อสู้กับหวงเฉวียนจือ ดังนั้นจึงต้องการกำลังเสริมที่ทรงพลัง เราได้ยินจากเรื่องฟังจิ้งว่าพี่มู่ลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ นั่นคือเหตุผลที่พวกข้าตามหาเจ้า”

มู่เฉินยิ้มให้กับคำพูดของนาง แม้ว่าข่งหลิงเอ๋อจะพูดคลุมเครือ แต่เขาก็ฟังออกว่าตอนแรกพวกเขาไม่คิดที่จะมองหาเขา บางทีพวกเขาอาจรู้สึกว่าเขาไม่มีคุณสมบัติ แต่หลังจากได้ยินข่าวว่าเขาจัดการกับฟังจิ้งได้ง่ายดายขนาดไหน พวกเขาก็เริ่มมองเขาอย่างจริงจังและตามหา

“จะมีการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับหวงเฉวียนจือแน่นอน หากเราร่วมมือกัน พวกข้าอาจทำให้เขาอ่อนแอลงได้ ซึ่งทำให้เจ้ามีโอกาสมากขึ้น” เซียวเทียนกล่าว

แต่เมื่อพิจารณาจากน้ำเสียง เขาไม่คิดว่ามู่เฉินมีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้กับหวงเฉวียนจือได้

มู่เฉินยิ้มพลางพิจารณาเรื่องนี้ เนื่องจากตัวเขาก็สนใจแก่นโลหิตนั่นเช่นกัน

หากเขาหามาได้ก็จะแก้ไขปัญหาวิวัฒนาการของจิ่วโยวและอาจได้รับโชคดีๆ จากมันด้วย

พวกข่งหลิงเอ๋อเงียบลงขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างกังวล ตามการคาดการณ์หากมู่เฉินไม่สนใจที่จะร่วมมือ พวกเขาก็ไม่สามารถคว้าแก่นโลหิตสุดยอดได้ก่อนที่หวงเฉวียนจือจะเจอ

จากนั้นไม่นานมู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองทั้งสามคน “ข้าสามารถร่วมมือกับเจ้าสามคนได้”

เมื่อได้ยินคำตอบของเขา ความปีติยินดีก็ฉายบนใบหน้าของข่งหลิงเอ๋อทันที

“แต่เราต้องคุยรายละเอียดของส่วนแบ่งก่อน” มู่เฉินพูดต่อ

“แน่นอน” ข่งหลิงเอ๋อยิ้มขณะพูดต่อ “แต่ข้าเชื่อว่าพี่มู่คงไม่เห็นแก่ตัวเหมือนหวงเฉวียนจือใช่ไหม?”

มู่เฉินยิ้มพลางกางนิ้วสี่นิ้ว “ข้าไม่ขอมาก พวกข้ามีสองคนดังนั้นก็ขอสี่ส่วน”

คำพูดของเขาทำให้หลินชางและเซียวเทียนขมวดคิ้ว พวกเขากวาดมองจิ่วโยวก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “พวกข้าต้องการร่วมมือแค่กับเจ้า ไม่ใช่นาง”

พลังในปัจจุบันของจิ่วโยวไม่เข้าตาพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เต็มใจให้นางถึงสองส่วน

มู่เฉินยิ้มบางแต่ไม่ได้ตำหนิอะไร เขาเงียบลงเพราะได้ตัดสินใจอย่างชัดเจนแล้ว จากการคาดการณ์ของเขาสี่ส่วนเหมาะสมและสามารถทำให้จิ่วโยวมีพัฒนาการได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ

เมื่อเห็นท่าทีของมู่เฉิน ข่งหลิงเอ๋อก็ลังเลชั่วครู่ก่อนจะกัดฟัน “ได้ สี่ส่วน ตกลงตามนั้น!”

หลินชางและเซียวเทียนแสดงท่าทางไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นแววตาวูบไหวของข่งหลิงเอ๋อ พวกเขาก็กลืนคำพูดลงไป

มู่เฉินทำราวกับไม่ได้สังเกตเห็น เขายิ้มให้ข่งหลิงเอ๋อ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะร่วมมือกัน”

“งั้นก็อย่าชักช้า รีบหน่อย เราต้องไปถึงที่นั่นก่อนเพื่อขัดขวางหวงเฉวียนจือ” ข่งหลิงเอ๋อเป็นคนเด็ดขาด นางประกาศทันที

“เชิญนำทาง” มู่เฉินพยักหน้าโดยไม่มีข้อคัดค้าน

นางพยักหน้า ทั้งสามคนก็กลายเป็นร่างแสงฉีกผ่านมวลน้ำ ทะยานไปในส่วนลึกของทะเลสาบมรกตไร้ขอบเขต

เมื่อมองไปที่พวกเขา สายตาของมู่เฉินก็สั่นไหวขณะโบกมือ คลื่นหลิงกระเพื่อมแล้วกวาดออกไปหาจิ่วโยว ทั้งสองตามหลังไปอย่างใกล้ชิด

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท