หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1482 ศึกชุมนุมนิรันดร์

บทที่ 1482 ศึกชุมนุมนิรันดร์

แอ๊ด!

ประตูเก่าครำเปิดออก ภายในปกคลุมด้วยความมืดซึ่งให้ความรู้สึกถึงความอ้างว้างและความเก่าแก่

ทุกคนต่างตื่นเต้นขณะมองไปที่ประตูที่กำลังเปิดออกพร้อมกับความกระหายและความโลภในดวงตา หากพวกเขาไม่รู้ว่ามีเพียงคนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์เท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้ พวกเขาคงจะสูญเสียการควบคุมและพุ่งเข้าใส่แล้ว

เนื่องจากสิ่งล่อลวงจากร่างมหาเทพนิรันดร์ใหญ่หลวงจริงๆ

หมัวเฮอเทียนมองไปที่ประตูด้วยสีหน้าซับซ้อน ความโหยหาและความโลภริบหรี่ในดวงตา

ในบรรดาห้าเผ่าโบราณ อีกสี่เผ่าก็มีร่างมหาเทพปฐมกาล เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเขาได้ฝึกฝนสำเร็จ ดังนั้นจึงได้ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เพียงแต่ว่าปัจจุบันไม่มีใครในสี่เผ่าที่สามารถฝึกฝนได้สำเร็จ…

แต่กระนั้นทั้งสี่เผ่าก็ยังเป็นเจ้าของ ขณะที่เผ่าหมัวเฮอเป็นเพียง ‘ผู้พิทักษ์’

บรรพบุรุษเผ่าหมัวเฮอของพวกเขาพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับเทพจักรพรรดินิรันดร์เพื่อรับร่างมหาเทพนิรันดร์มา ชายคนนั้นได้รับชัยชนะและฝึกฝน ท้ายที่สุดก็กลายเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพ

แต่บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ที่เผ่าหมัวเฮอเพื่อพิทักษ์รักษาให้ปลอดภัย

อีกสี่เผ่ามีร่างมหาเทพปฐมกาลขณะที่พวกเขาเป็นเพียงผู้พิทักษ์ ดังนั้นประมุขทุกคนของเผ่าหมัวเฮอจึงได้แต่อิจฉาและไม่พอใจมาตั้งแต่สมัยโบราณ

ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงดื้อรั้นกับเรื่องนี้นัก

“เทพจักรพรรดินิรันดร์ เผ่าหมัวเฮอปกป้องร่างมหาเทพนิรันดร์มาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ถึงเวลาที่ท่านควรส่งมอบให้พวกเราอย่างแท้จริงแล้วมั้ง?”

“ในตอนนั้นท่านแย่งชิงร่างมหาเทพนิรันดร์ไปจากบรรพบุรุษของข้า ท่านก็สมควรส่งคืนให้เราในตอนนี้แล้วไม่ใช่หรือ?”

หมัวเฮอเทียนหรี่ตาขณะที่กวาดสายตามองเงานับร้อยที่อยู่ใกล้ๆ คนเหล่านี้เป็นผู้ผ่านการคัดเลือกที่จะเข้าสู่เจดีย์วั้นกู่

“เจดีย์วั้นกู่เปิดแล้ว แต่ข้าต้องเตือนว่าการแข่งขันนี้ดุเดือด ทุกด่านจะกำจัดพวกเจ้าออกครึ่งหนึ่ง ดังนั้นหากต้องการไปให้ถึงปลายทางก็จงกำจัดคนอื่นๆ ออกไปซะ” เสียงของหมัวเฮอเทียนดังก้อง ทำให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน ขณะใบหน้าพวกเขากลายเป็นเคร่งขรึม

“ครึ่งหนึ่งทุกด่าน…”

มู่เฉินขมวดคิ้ว อัตราการกำจัดนี้น่ากลัว นั่นหมายความว่าจะมีการแข่งขันที่โหดเหี้ยมรอพวกเขาอยู่ในเจดีย์วั้นกู่

นี่เป็นเหมือนห้องสำหรับเพาะเลี้ยงแมลงพิษ โดยคนสุดท้ายที่ยืนหยัดถึงจะได้เจอร่างมหาเทพนิรันดร์สินะ?

ฟิ้ว!

หลังจากเสียงของหมัวเฮอเทียนสิ้นสุด หมัวเฮอโยวก็ทะยานกลายเป็นริ้วแสงพุ่งเข้าไปในประตูโดยไม่มีอาการลังเลใดๆ

วาบ วาบ!

เยี่ยฉิง ซื่อหลัวและทั่วป๋าชางก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด…

เมื่อมีพวกเขาเป็นผู้นำ ทุกคนก็พุ่งเข้าประตูไปด้วย

“ข้าไปล่ะ”

มู่เฉินหันไปหาชิ้งเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียน

“ระวังด้วยนะลูก” ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ปล่อยมันไป แม้ว่าร่างมหาเทพปฐมกาลร่างนี้จะทรงพลัง แต่เจ้าก็สามารถทดลองฝึกร่างมหารัศมีอนันต์ของเผ่าฝูถูได้ นั่นก็เป็นหนึ่งในห้าร่างเทห์สวรรค์สุดยอดและไม่ได้อ่อนแอไปกว่าร่างมหาเทพนิรันดร์”

“แค่กๆ!”

ฝูถูเฉวียนกระแอมไอขณะที่แสดงความคิดเห็น “นังหนู แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ แต่เจ้าก็ไม่สามารถอนุญาตให้คนอื่นมาทดลองฝึกร่างมหารัศมีอนันต์ได้ง่ายๆ นี่ต้องขอความเห็นจากเจดีย์บรรพบุรุษฝูถูก่อน!”

ทว่าชิงเหยี่ยนจิ้งลอยหน้าลอยตาไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของฝูถูเฉวียนตอบว่า “ข้าเป็นผู้อาวุโสใหญ่ สามารถชี้นำได้ แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าเจดีย์บรรพบุรุษฝูถูจะไม่เห็นด้วย”

“เจ้า!”

เมื่อเห็นทั้งสองตั้งท่าเถียงกัน มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะส่ายหัวกลายเป็นริ้วแสงพุ่งเข้าประตูไป

เพียงหนึ่งนาที ร่างเงากว่าร้อยร่างก็ทะยานเข้าไปในเจดีย์ เมื่อพวกเขาเข้าไป หมัวเฮอเทียนก็โบกมือคลื่นหลิงรวมตัวกันกลายเป็นกระจกนับร้อยชิ้น แต่ละบานก็ฉายภาพเงาแต่ละคน…

เข้ามาในประตู

มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนเชิงพื้นที่ที่รุนแรง ทว่าเขาไม่ได้ต่อต้านปล่อยให้ความผันผวนห่อหุ้มตัวเอาไว้ ไม่กี่ลมหายใจความมืดเบื้องหน้าก็ถดถอย ดินแดนรกร้างปรากฏขึ้น

มู่เฉินยืนอยู่บนเนินเขารกร้าง สายตามองไปที่สถานที่แห่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยความรกร้างว่างเปล่า

เมื่อกระจายประสาทสัมผัสออกไป เขาสังเกตเห็นว่าสภาพของพื้นที่ตรงนี้บิดเบี้ยวราวกับว่าถูกแบ่งออกเป็นพื้นที่เล็กๆ

ทว่าเขายังสามารถสัมผัสได้คลุมเครือถึงคลื่นหลิงรุนแรงที่แพร่กระจายออกไป

“การต่อสู้เริ่มแล้วรึ…?” มู่เฉินพึมพำ

ฮึ่ม!

ทันใดนั้นความผันผวนของคลื่นหลิงก็พุ่งมาจากบริเวณใกล้เคียงมีร่างแสงทะยานเข้ามา

แต่เมื่อจอมยุทธ์คนนั้นเห็นมู่เฉิน ใบหน้าก็เปลี่ยนไปจากนั้นก็หันขวับโดยไม่ลังเล

นี่เป็นชายวัยกลางคนที่มีขมุพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง แต่ชัดว่าเขาจำมู่เฉินได้และรู้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินน่ากลัวเพียงใดแม้จะมีขุมพลังขั้นหลิงเท่านั้น

“ในเมื่อมาแล้ว ทำไมต้องวิ่งหนีล่ะ?” แต่ทันทีที่เขาหันกลับไป พื้นที่ก็แปรปรวนเบื้องหน้า มู่เฉินก้าวย่างออกมาด้วยรอยยิ้ม

ทุกคนที่นี่เป็นคู่แข่งที่มีจุดยืนแตกต่างกัน

“ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานานแล้ว งั้นขอทดสอบความแข็งแกร่งของเจ้าวันนี้ซะหน่อย!”

เมื่อเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนี ชายวัยกลางคนก็กระทืบเท้าร่างแวทสวรรค์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นข้างหลังเขาพร้อมกับความผันผวนลึกลับ

นี่ก็คือร่างเทห์สวรรค์ที่คุ้นเคย—ร่างเทพสุริยะนิรันดร์

เมื่อมองไปที่ร่างนั่นมู่เฉินก็ถอนหายใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนอื่นใช้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์

“รหัสเทพอมตะ!”

ชายวัยกลางคำราม อักขระเปล่งรัศมีก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งมีจำนวนถึงสามร้อยลายเลยทีเดียว

“รวม!”

รหัสเทพอมตะรวมตัวกันเป็นกระบี่ที่เอิบอาบด้วยรัศมีคมชัด แม้แต่มิติก็ฉีกออกจากกัน ขณะที่เฉือนใส่มู่เฉิน

มีรอยลากยาวบนพื้นจากกระบี่

มู่เฉินเงยหน้าขึ้น เจดีย์ผลึกแก้วใสก็วาบในดวงตา ขณะที่คลื่นหลิงในร่างกายคำรามลั่นแล้วเปลี่ยนเป็นผลึกพลังงาน กระทั่งเสื้อผ้าของเขายังก็สั่นกระพือ

ตราประทับวาดขึ้นในฝ่ามือ ลอนผลึกคลื่นหลิงก็กวาดออกปะทะกับกระบี่สีม่วงทอง

เคร้ง!

เมื่อพลังงานสองสายชนกัน พายุคลื่นหลิงรุนแรงก็พัดออกมากลายเป็นเกลียวแสงนับล้านห่อหุ้มกระบี่สีม่วงทองไว้

คลื่นหลิงบนกระบี่ดิ่งลงทันทีก่อนที่จะแตกสลาย

“ไป”

มู่เฉินสะบัดนิ้วเกลียวผลึกเปล่งประกายก็ทะลุผ่านมิติซัดใส่ร่างสีม่วงทอง

“พลังปิดผนึก?”

ใบหน้าของชายวัยกลางเปลี่ยนไปเมื่อสัมผัสถึงพลังผลึกคลื่นหลิง ทันใดนั้นเขาก็ควบคุมร่างเทพสุริยะนิรันดร์เพื่อสร้างแนวป้องกันมั่นคง

ทว่าเกลียวผลึกห่อหุ้มก็ก่อร่างเป็นรังไหมครอบคลุมร่างเทพสุริยะนิรันดร์เอาไว้

เมื่อมู่เฉินมองไปที่รังไหม แสงก็วาบผ่านดวงตา ด้วยขุมพลังในปัจจุบันของเขาที่ใกล้เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย ความแข็งแกร่งของผลึกคลื่นหลิงของเขาเทียบได้กับขอบเขตขั้นเซียนระยะต้นแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาที่จะจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง แม้ว่าอีกฝ่ายจะฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ตาม…

ชั่วครู่มู่เฉินก็โบกมือรังไหมระเบิดเป็นประกายแสง

เมื่อรังไหมหายไปชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่บนร่างสีทองคำก็ได้แต่ยิ้มขมขื่น

แกร็ก!

รอยแตกพล่านไปบนร่างสีม่วงทองก่อนที่จะระเบิดออกในที่สุด…

มีประกายระยิบระยับบนร่างของชายวัยกลางคน ชัดว่าคลื่นหลิงในร่างกายเขาก็ถูกปิดผนึกชั่วคราว

“ชื่อเสียงของประมุขมู่สมฐานะแล้ว ข้ายอมรับความพ่ายแพ้” ชายวัยกลางคนยอมจำนนด้วยรอยยิ้มเหยเก

เมื่อสิ้นเสียงของเขา ลำแสงก็ส่องลงมาห่อหุ้มร่างไว้ จากนั้นก็ถูกส่งออกจากเจดีย์

“ขอบใจ”

มู่เฉินพยักหน้าเอ่ยอย่างนิ่งสงบ

ขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังจะออกไป ก็มีลำแสงสีม่วงทองพุ่งออกมาจากกึ่งกลางหว่างคิ้วของเขา

มู่เฉินยื่นมือออกไปจับลำแสงนั้น ช่างเต็มไปด้วยความเป็นอมตะและรัศมีลึกลับ

“นี่คือ…รัศมีอมตะของร่างเทพสุริยะนิรันดร์…”

มู่เฉินคุ้นเคยกับรัศมีนี้ นี่เป็นรากฐานของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ยิ่งรัศมีอมตะที่หนาแน่น ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ยิ่งทรงพลัง

“ความล้มเหลวจะทำให้รัศมีอมตะของพวกเขาถูกสกัดโดยเจดีย์วั้นกู่…”

มู่เฉินฉายสีหน้าซับซ้อน รัศมีอมตะเป็นรากฐานของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เมื่อถูกสกัดพลังออกมาร่างก็จะอ่อนแอลง

นี่คือราคาของความพ่ายแพ้

เจดีย์วั้นกู่โหดร้ายอย่างแท้จริง

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ใช่คนใจอ่อน เส้นทางยอดยุทธ์เต็มไปด้วยการแข่งขัน หากเขาไม่มีความมุ่งมั่นที่เพียงพอนี่ก็เป็นผลลัพธ์ของเขาเช่นกัน

มู่เฉินกำมือแน่น ร่างแสงสีม่วงทองก็ปรากฏขึ้นข้างหลังพลางกลืนกินรัศมีอมตะนั้น ทันใดนั้นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ยิ่งลึกซึ้งและลึกลับมากขึ้น

มู่เฉินลืมตาขึ้นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็หายไป สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนั้น เขาก็ระงับความตื่นเต้นเอาไว้ จากนั้นก็หันกลับไปก้าวเข้าไปในมิติบิดเบี้ยว

แม้จะมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเดินผ่านเส้นทางนี้ คนอย่างมู่เฉินก็ต้องสู้เพื่อให้ได้มา!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท