หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1471 ศึกชิงอำนาจ

บทที่ 1471 ศึกชิงอำนาจ

ทวีปเทียนหลัว เมืองเทียนหลัว

เมืองใหญ่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของทวีป ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวง เนื่องจากเมืองนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะ ดังนั้นจึงไม่เคยถูกควบคุมโดยกองกำลังใด ซึ่งเป็นสิ่งที่จัดการร่วมกันโดยขั้วอำนาจสูงสุดทั้งหมดในทวีปเทียนหลัว

แต่ตอนนี้พันธมิตรเทียนหลัวได้ก่อตั้งขึ้น รวบรวมพลังของห้าขั้วอำนาจสูงสุด ดังนั้นพวกเขาจึงมีสิทธิ์ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงกำหนดให้ที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ในวันที่สองของการจัดตั้ง

ไม่มีใครกล้าออกความเห็นเกี่ยวกับการประกาศเผด็จการของพันธมิตรเทียนหลัว เนื่องจากการรวมกลุ่มของขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้านั้นสร้างความตกตะลึงให้กับพวกเขามากเกินตั้งรับแล้ว

ในอดีตขั้วอำนาจทั้งห้ามองว่าต่างเป็นคู่แข่งกัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มีกองทัพทรราชในทวีปเทียนหลัว แต่ด้วยการเติบโตของตำหนักมู่ พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคาม ดังนั้นพวกเขาจึงจับมือกันเป็นพันธมิตรใหญ่ในทวีป…

ตราบใดที่พวกเขาถือไพ่เหนือกว่าในงานเลี้ยงเทียนหลัว ก็จะไม่มีใครสงสัยว่าพวกเขาจะเป็นผู้ปกครองของทั้งทวีปนี้

ดังนั้นทุกความสนใจจึงพุ่งไป สองวันผ่านไปในพริบตา

เมื่อแสงแดดส่องผ่านชั้นเมฆลงมายังเมืองนี้ ทั้งเมืองก็คึกคักไปด้วยความมีชีวิตชีวา

ร่างแสงนับไม่ถ้วนเคลื่อนผ่าน ดูเหมือนฝูงตั๊กแตนกำลังบุกตัวเมือง

ตอนนี้เมืองเทียนหลัวกลายเป็นจุดสนใจของทั้งทวีปไปแล้ว ดังนั้นเกือบทุกคนจึงมารวมตัวกันที่นี่ เนื่องจากพวกเขารู้ว่างานเลี้ยงนี้อาจจะเป็นการกำหนดตัวเจ้าเหนือหัวแท้จริง…

หลายปีที่ผ่านมาตำหนักมู่ขยายตัวและสร้างชื่อเสียงมากมายภายใต้การนำของมู่เฉินที่สร้างปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนพันธมิตรเทียนหลัวก็มีภูมิหลังที่ทรงพลังเนื่องจากมีขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าเข้าร่วม ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคนในมหาพันภพเลยทีเดียว

เมื่อสองขั้วอำนาจที่เป็นอิทธิพลหลักในทวีปเทียนหลัวปะทะกัน จะเกิดผลในการต่อสู้นี้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นทั้งทวีปก็จะสงบลงและยินดีต้อนรับเจ้าเหนือหัวคนใหม่

นี่เป็นข่าวใหญ่สำหรับทวีปเทียนหลัวในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา!

ขณะที่เมืองคึกคัก จัตุรัสหยกขนาดใหญ่ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน…

ฟิ้ว ฟิ้ว!

ภาพเงาจำนวนมากพลิ้วลงมาบนจัตุรัส ทุกคนที่สามารถมาปรากฏตัวที่นี่ล้วนเป็นขั้วอำนาจระดับต้นในทวีปเทียนหลัว

ทว่าขั้วอำนาจที่ปกติจะได้รับการยกย่องวันนี้ไม่เป็นที่สนใจแน่นอน เพราะทุกคนรู้ว่าตัวเอกทั้งสองของเหตุการณ์นี้เป็นขั้วอำนาจทรงพลังทั้งสอง…

สายตานับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปที่จัตุรัส พวกเขาเห็นบัลลังก์ทองคำห้าตัวเปล่งประกายบด้วยรัศมีสีทอง ร่างเงาห้าร่างนั่งบนนั้นมีคลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของพวกเขา ทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคน!

การรวมตัวนี้ถือได้ว่ายิ่งใหญ่ตระการตาแม้แต่ในมหาพันภพ ดังนั้นเมื่อวางไว้ในทวีปเทียนหลัวก็น่าทึ่งมากเลยทีเดียว

โดยปกติทั้งห้าเป็นผู้สนับสนุนเบื้องหลังตัวแทนของตนเองในทวีปเทียนหลัว แต่ด้วยการปรากฏตัวของมู่เฉิน จอมยุทธ์ทรงอิทธิพลเหล่านี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเผยตัว…

“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคน… ช่างน่ากลัวอะไรขนาดนี้ ตลอดมาข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีบุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้ซ่อนอยู่ในทวีปเทียนหลัวของเรา” ทุกสายตาแสดงความเคารพมองไปที่ร่างเงาทั้งห้าพลางถอนหายใจ

“ดูเหมือนว่าพันธมิตรเทียนหลัวกับตำหนักมู่จะปะทะกันในวันนี้แน่”

“ตำหนักมู่เติบโตรวดเร็วเกินไปและประมุขก็ดุร้ายมาก ว่ากันว่าเมื่อไม่นานมานี้แม้แต่หวงเฉวียนจือจากเผ่าหงส์ฟ้ายังแพ้ในมือเขา”

“ประมุขตำหนักมู่ก็คือมู่เฉินใช่ไหม? ในอดีตเขาเป็นเพียงผู้บัญชาการของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่คิดเลยว่าเขาจะก้าวกระโดดในเวลาเพียงไม่กี่ปี”

“ไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายเหนือกว่าในการต่อสู้ครั้งนี้”

“คงเป็นพันธมิตรเทียนหลัวล่ะมั้ง ไม่ว่าอย่างไรพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนเชียวนะ!”

“แต่มู่เฉินก็ไม่ได้เคี้ยวง่าย ความสำเร็จของเขาแต่ละอย่างนั้นไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ”

“ไม่ว่ายังไงงานเลี้ยงเทียนหลัวในวันนี้น่าสนใจแน่…”

“…”

เสียงกระซิบดังก้องไปทั่วเมือง ทุกคนบอกได้ว่าพันธมิตรเทียนหลัวไม่ได้เพียงแค่เชิญตำหนักมู่มางานเลี้ยงเท่านั้น พวกเขายังตั้งใจครอบครองตำแหน่งเจ้าเหนือหัวในทวีปเทียนหลัวอีกด้วย

ประมุขตำหนักมู่เป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะที่มีความสำเร็จน่าอัศจรรย์ แล้วเขาจะเป็นคนที่ก้มหัวลงได้อย่างไร? ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าชนวนจะจุดขึ้นในการเผชิญหน้าวันนี้

พร้อมกับเสียงกระซิบโดยรอบ ร่างเงาทั้งห้าบนบัลลังก์ก็ปิดตาลงโดยไม่สนใจการสนทนาใด แต่เมื่อลืมตาขึ้นเป็นครั้งคราวก็จะทำให้มิติรอบๆ แปรปรวน

เวลาค่อยๆ ผ่านไปภายใต้บรรยากาศนี้ ดวงอาทิตย์ก็เคลื่อนขึ้นสู่ท้องฟ้า…

กีด!

ทันใดนั้นเสียงร้องของหงส์ฟ้าก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน

วาบ!

เสียงนั้นดึงดูดความสนใจทั้งหมดไป ทุกคนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัวที่แผ่ออกมา

มากจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้ายังต้องหรี่ตามอง

จุดสีดำปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าห่างไกลอย่างรวดเร็ว ในไม่กี่กะพริบตาก็ขยายออกไปจนเห็นเป็นร่างหงส์ฟ้าสีดำ

หงส์ฟ้ากระพือปีกที่ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีดำ พริบตาก็เข้าใกล้เมือง ทันใดนั้นแรงกดดันสายเลือดที่ทำให้ใบหน้าของหลายคนเปลี่ยนไปก็แผ่ออกมา

“นี่… เทพอสูรเผ่าอะไร?!”

“ช่างเป็นแรงกดดันที่น่ากลัว ไม่ด้อยไปกว่าเผ่าหงส์ฟ้าและเผ่ามังกรเลย!”

ทุกคนในเมืองต่างประหวั่นพรั่นพรึงเมื่อมองดูสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่บนท้องฟ้า พวกเขารู้สึกว่าหัวใจเย็นเยือกลงจากแรงกดดัน

ประมุขทั้งห้าถึงกับขมวดคิ้ว ขณะที่พวกเขาสบตากันด้วยความประหลาดใจ

“นั่นคือ…วิหคอมตะในตำนานหรือ?” ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ระดับนี้ พวกเขาก็มีความรู้จากประสบการณ์มากกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ถึงต้นกำเนิดของวิหคสีดำตัวนั้นได้ทันที ความตกใจเกิดขึ้นชั่วครู่จนม่านตาหดลง

พวกเขาสามารถสัมผัสได้ว่าพลังของวิหคอมตะมาถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายแล้ว

“ในเมื่อประมุขมู่มาอยู่ที่นี่แล้วก็โปรดแสดงตัวด้วย” ม่านตาสีเทาของกุ่ยตี้มองไปที่วิหคสีดำ เสียงอันเยือกเย็นของเขาก็ดังก้อง

ทันใดนั้นทุกคนก็เลื่อนสายตาตามไป ก็เห็นภาพเงายืนอยู่บนหัวของวิหคสีดำตัวนั้น นี่เป็นใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ปลดปล่อยความกดดันที่ไม่มีที่สิ้นสุดออกมา

เมื่อได้ยินคำพูดของกุ่ยตี้ ร่างเงาอ่อนเยาว์ก็ยิ้มและก้าวออกมา ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นภาพเงามาปรากฏขึ้นที่ใจกลางจัตุรัส

จากนั้นวิหคสีดำก็ส่งเสียงร้อง ก่อนที่จะหดตัวกลายเป็นร่างเงาเพรียวบางยืนอยู่ข้างมู่เฉิน

ในเวลาเดียวกันเสียงลมหวีดหวิวก็ดังขึ้น มีคนปรากฏตัวขึ้นด้านหลังมู่เฉินและจิ่วโยว

นี่ก็คือเฉวียนเทียนและมั่นถัวหลัว เห็นได้ชัดว่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดของตำหนักมู่มาปรากฏตัวในครั้งนี้

เมื่อพวกเขามาถึงทั้งเมืองก็เงียบกริบพร้อมกับสายตาแปลกประหลาดมากมายมารวมตัวกันที่ฝั่งตำหนักมู่

ร่างอ่อนเยาว์ยืนเอามือไพล่หลังมีรอยยิ้มจางๆ โดยไม่แสดงความอ่อนแอใดๆ ต่อจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้า

“ประมุขมู่เป็นจอมยุทธ์ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงสามารถก้าวสู่ระดับนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย” กุ่ยตี้มองไปที่มู่เฉินขณะพูด

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา มู่เฉินก็ยิ้ม “ไม่ต้องสนคำทักทายธรรมดาเหล่านั้น สำหรับพันธมิตรเทียนหลัวที่เชิญข้าด้วยการรวมตัวยอดเยี่ยมเช่นนี้ คงไม่ใช่แค่งานเลี้ยงละมั้ง?”

ทั้งห้าแลกเปลี่ยนสายตากัน ตันหยางก็หัวเราะเบาๆ “พวกข้ามีเรื่องที่จะคุยกับเจ้านิดหน่อย…”

เขาหยุดชั่วครู่สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนเป็นเถรตรง “ประมุขมู่น่าจะรู้ว่าพวกข้าลงทุนลงแรงอย่างมากในทวีปเทียนหลัว ดังนั้นเราจึงตัดสินใจยุติการต่อสู้และหวังว่าเจ้าจะหยุดความตั้งใจที่จะปกครองทวีปเทียนหลัว”

“แน่นอนว่าพวกจะให้ค่าตอบแทนแก่เจ้า หลังจากการประชุมพวกข้าตัดสินใจที่จะมอบทวีปเทียนหมังให้กับตำหนักมู่”

เมื่อเสียงของตันหยางดังก้อง ทั่วฟ้าดินก็เงียบลง ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเข้าปอด พันธมิตรเทียนหลัวไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ ยื่นข้อเสนอตั้งแต่เริ่ม…

ทุกคนรู้จักทวีปเทียนหมัง ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ไม่ไกลจากทวีปเทียนหลัว แต่เป็นทวีปขนาดเล็กและทรัพยากรก็จำกัดจำเขี่ย เมื่อเทียบกับทวีปเทียนหลัวก็เป็นความแตกต่างระหว่างฟ้ากับเหว

ใบหน้าสมาชิกตำหนักมู่เปลี่ยนไปเป็นเย็นชา การให้ยอมแพ้ต่อทวีปเทียนหลัวและมอบทวีปเทียนหมังให้ พันธมิตรเทียนหลัวคิดว่าพวกเขาสามารถคุมตำหนักมู่ได้หรือ?

สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่มู่เฉินที่ยังคงเงียบสงบ หลังจากตันหยางพูดจบเขาก็ยิ้ม

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประมุขทั้งห้าพลางส่ายหัว เสียงยังคงนิ่งเรียบ “ข้าให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งวัน ไสหัวไปจากทวีปเทียนหลัวซะ แล้วข้าจะไม่เอาเรื่องในวันนี้”

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนเงียบกริบทันตา แต่ละคนมือเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น แม้ว่าพันธมิตรเทียนหลัวจะโหดไปหน่อยกับคำพูด แต่พวกเขาก็ยังคงให้หน้ามู่เฉิน ทว่ามู่เฉินกลับพูดแบบตัดบัวไม่เหลือใย…

ตอนนี้คงไม่มีการพูดคุยกันอย่างสันติแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท