เคร้ง!
ในวันที่สอง เสียงระฆังโบราณดังก้องไปทั่วทุกมุมเมือง ความเงียบคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ภาพเงานับไม่ถ้วนจะทะยานออกไปราวกับฝูงตั๊กแตน ขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังใจกลางเมืองวั้นกู่
มีภูเขาหัวโล้นตั้งอยู่ใจกลางเมือง แม้ว่าจะดูธรรมดา แต่มีเจดีย์โบราณองค์หนึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา
เจดีย์หินนี้ก็ดูธรรมดามาก แต่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ทำให้พวกเขาฉายสีหน้าเคร่งเครียดและเคารพ
เจดีย์นี้เป็นที่รู้จักกันในนามเจดีย์วั้นกู่และถูกสร้างขึ้นโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์
เผชิญหน้ากับเทพจอมยุทธ์ยุคโบราณที่ช่วยมหาพันภพให้พ้นภัย ทุกคนมีแต่ความเคารพให้
“นั่นคือเจดีย์วั้นกู่รึ?”
มู่เฉิน ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนปรากฏตัวในศาลาบนยอดเขาที่รายรอบพลางจ้องมองไปที่เจดีย์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ร่างมหาเทพนิรันดร์ถูกเก็บไว้ในเจดีย์นี่เรอะ?
“เทพจักรพรรดินิรันดร์ทรงพลังอย่างแท้จริง แม้เวลาผ่านไปนับหมื่นปี แต่เจดีย์หินก็ยังน่าสะพรึงมาก” ฝูถูเฉวียนกล่าวขณะสายตาจ้องไปที่เจดีย์
เผชิญหน้ากับเจดีย์นี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังรู้สึกได้ถึงอันตราย
“พลังของเทพจักรพรรดินิรันดร์ดูเหมือนจะเกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไปแล้ว…” มู่เฉินตกอยู่ในความเงียบ แม้ว่าเขาจะเคยพบจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งมาหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงพลังเช่นนี้
ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าตอบ “เทพจักรพรรดินิรันดร์ก้าวไปเหนือกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแท้จริง”
“เหนือกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง?” มู่เฉินตกใจในใจ ‘ระดับลึกลับนั่นถึงนับเป็นจุดสูงสุดของมหาพันภพอย่างแท้จริงหรือ?’
“ในมหาพันภพ มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งมากมาย แต่มีเพียงจอมยุทธ์สองคนที่มีโอกาสก้าวเข้าสู่ระดับเดียวกับเทพจักรพรรดินิรันดร์” ฝูถูเฉวียนเอ่ยเสียงต่ำ
มู่เฉินถามด้วยสายตาที่สั่นไหว “เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม?”
ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทั้งหมดที่เขาพบ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกยากที่จะอธิบาย พวกเขาให้ความรู้สึกราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวไร้ขอบเขต ไม่อาจวัดได้
ฝูถูเฉวียนถอนหายใจ แม้แต่คนหัวดื้ออย่างเขายังมีร่องรอยความเคารพในน้ำเสียง “ทั้งสองมาจากพิภพเขตล่าง แต่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไปถึงจุดสูงสุดเดียวกับเทพจักรพรรดินิรันดร์ในอนาคต”
“นั่นถือเป็นข่าวดีสำหรับมหาพันภพ การมียอดยุทธ์ทั้งสองคนทำให้เราไม่ต้องกลัวจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ” มู่เฉินยิ้ม
พอได้ยินคำพูดลูกชาย ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ส่ายหัว แม้แต่ฝูถูเฉวียนยังแสดงออกในท่าทางหนักใจ
“เจ้ามองโลกในแง่ดีเกินไปในเรื่องจักรวรรดิปีศาจ ในสมัยโบราณมหาพันภพพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อเผชิญหน้ากับการรุกรานของเผ่าปีศาจ กระทั่งตอนที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ก้าวออกมา สถานการณ์ก็แค่คงไว้ไม่ถดถอยต่อ แต่ถึงกระนั้นเกือบครึ่งหนึ่งของดินแดนในมหาพันภพก็ถูกยึดครองไป”
ชิงเหยี่ยนจิ้งถอนหายใจเบาๆ กล่าวต่อว่า “แทนที่จะเรียกว่าชัยชนะ น่าจะเป็นการที่พวกมันซื้อเวลามากกว่า ที่สำคัญที่สุดจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกมันถูกผนึกไว้ด้วยชีวิตของเทพจักรพรรดินิรันดร์ นี่คือสาเหตุว่าทำไมจักรวรรดิปีศาจต่างมิติถึงหยุดรุกราน…”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดเหล่านั้นท่าทางก็เปลี่ยนไปรุนแรง จินตนาการไม่ได้เลยถึงความทุกข์ยากที่มหาพันภพเผชิญอยู่ในตอนนั้น
ความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจจะทำให้มหาพันภพต้องตกเป็นทาสของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติได้
เขาเคยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเผ่าปีศาจเข้ามายึดครองพิภพเขตล่าง สิ่งมีชีวิตที่นั่นถูกเลี้ยงคล้ายกับโรงปศุสัตว์
“เผ่าปีศาจแสดงสัญญาณการเคลื่อนไหวเมื่อเร็วๆ นี้ แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพวกมัน หากเทพปีศาจจักรพรรดิผู้ชั่วร้ายลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความสงบสุขของมหาพันภพคงจบลงแน่” ฝูถูเฉวียนกล่าวเสริม
เมื่อเห็นท่าทางทั้งสองคน มู่เฉินก็ปลอบใจ “ไม่ต้องกังวลไปก่อน เราจะจัดการเมื่อถึงเวลา หากกองทัพจักรวรรดิปีศาจต่างมิติรุกรานอีกครั้งจริงๆ เราจะต่อสู้กับพวกมัน เทพจักรพรรดินิรันดร์สามารถทำให้พวกมันล่าถอยได้ มหาพันภพในปัจจุบันก็ไม่เหมือนอดีต เราเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง”
ตึง!
ขณะที่มู่เฉินกำลังปลอบใจทั้งสองคน เสียงระฆังโบราณก็ดังขึ้นพร้อมกับผู้คนมารวมตัวกัน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นคนกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่บนแท่นสูงตระหง่านโดยมีหมัวเฮอโยวยืนอยู่ด้านหน้าสุด
ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหมัวเฮอโยวเป็นชายวัยกลางคนในชุดสีทอง ร่างเขากำยำกระจายแรงกดดันเข้มข้น แม้ว่าจะไม่มีความผันผวนคลื่นหลิงใดๆ รอบตัว แต่กระทั่งหมัวเฮอโยวยังแสดงความเคารพ แม้แต่ผู้อาวุโสของเผ่ายังถอยออกไปหนึ่งก้าว ไม่กล้าที่จะยืนใกล้
“นั่นคือประมุขเผ่าหมัวเฮอคนปัจจุบัน—หมัวเฮอเทียน” ชิงเหยี่ยนจิ้งอธิบาย
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน ‘นี่คือคนที่ต่อสู้กับเทพจักรพรรดิอัคคีเหรอ? ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง’
ขณะที่มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอเทียน อีกฝ่ายก็เหมือนจะสัมผัสได้ สายตาเลื่อนมามองที่กลุ่มมู่เฉิน
เมื่อหมัวเฮอเทียนจ้องมองมา มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพื้นที่รอบตัวเขาหยุดนิ่ง เขารู้สึกราวกับถูกตรึงเอาไว้
“แค่ก!”
เมื่อมิติเริ่มแช่แข็ง เสียงไอก็ดังขึ้นทำลายความเวิ้งว้างนั่น ฝูถูเฉวียนจ้องไปที่หมัวเฮอเทียนอย่างเย็นชา
เมื่อเห็นฝูถูเฉวียนอยู่ด้วย หมัวเฮอเทียนก็ยิ้มแล้วพยักหน้าให้ฝูถูเฉวียนและชิ้งเหยี่ยนจิ้งเป็นการต้อนรับ
“หึ เป็นถึงขนาดประมุขเผ่าโบราณกลับมาข่มขู่เด็ก ดูเหมือนจิตใจของเจ้าไม่ได้มีการเติบโตขึ้นเลย” ฝูถูเฉวียนเค้นเสียง ไม่สนใจท่าทางของหมัวเฮอเทียน
มู่เฉินหลุดออกจากการถูกตรึงไว้ ท่าทางของเขายังคงสงบโดยไม่มีความโกรธใดๆ เพียงแค่นึกถึงความรู้สึกที่ถูกตรึงไว้นั้น ‘นั่นคือพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งรึ? ทรงพลังแท้จริง! การจ้องมองเพียงแวบเดียวก็ทำให้ข้าเคลื่อนไหวไม่ได้’
จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มให้ฝูถูเฉวียน “ขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ไม่ต้องไปโกรธหรอก เพราะอีกไม่นานข้าจะไปเอาสมบัติที่พวกเขาหวงนักหนามา”
ฝูถูเฉวียนได้ยินคำพูดของเขาก็เย้าว่า “เจ้านี่หยิ่งผยองดีจริงๆ เจ้าคิดว่าร่างมหาเทพนิรันดร์จะเป็นของตัวเองจริงๆ เรอะ?”
มู่เฉินยิ้มพร้อมกับสายตาวูบไหวด้วยความคมชัด
“เด็กนั่นเป็นลูกของชิงเหยี่ยนจิ้งเหรอ?” หมัวเฮอเทียนก็ถอนสายตาออกมา ขณะที่หันมายิ้มให้หมัวเฮอโยว
“ใช่” หมัวเฮอโยวพยักหน้าแล้วพูดต่อ “ไอ้เด็กนั่นไม่ธรรมดา อายุเพียงนี้ก็บรรลุความสำเร็จได้มากเท่านี้แล้ว ถ้าให้เวลามันอีกสักหน่อย แม้แต่ข้าก็คงไม่สามารถเอาชนะได้”
หมัวเฮอเทียนมองไปที่เจดีย์โบราณพลางเอ่ยว่า “แต่น่าเสียดายที่มันไม่เหลือเวลาแล้ว ดังนั้นถือว่ามันไม่มีโชคชะตา”
หมัวเฮอโยวพยักหน้าและยิ้ม “แน่นอน… เพราะจากนี้ข้าจะเป็นเจ้าของร่างมหาเทพนิรันดร์คนใหม่”
มีความมั่นใจอย่างมากในน้ำเสียง ท้ายที่สุดเขามีโอกาสสูงที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งคนอื่นๆ
“หวังว่าเจ้าจะไม่พลาดนะ…”
มือของหมัวเฮอเทียนลูบสิงโตหินบนเสาขณะหลุบตาลง “แน่นอน ต่อให้เจ้าพลาดจริง ก็ไม่มีใครสามารถเอาร่างมหาเทพนิรันดร์ไปต่อหน้าข้าได้”
“นั่นน่าจะเป็นหอกอสูรเยี่ยฉิงสินะ?”
มู่เฉินหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็เห็นชายสวมชุดสีฟ้าอมเขียว ม่านตาสีแดงเข้มสั่นไหวด้วยจิตสังหารที่น่ากลัว
อากาศรอบตัวเขาเย็นเยือกจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“ราชันทองวัชระซื่อหลัว… ดาบเทวะทั่วป๋าชาง…”
ยืนอยู่ไม่ไกลจากเยี่ยฉิงเป็นชายร่างผอมในชุดคลุมสีทองแสงสะท้อนบนศีรษะล้านโล่งทำให้ดูสะดุดตา ภายใต้รอยยิ้มอบอุ่นเขาช่างคล้ายกับสัตว์อสูรร้าย
บนอาคารพังพินาศก็มีชายชุดดำไร้อารมณ์พาดดาบหักไว้ที่กลางหลัง นอกจากนี้ยังมีความแหลมคมซึมออกมาจากร่างกายบั่นทอนทุกคนที่เข้าใกล้ให้กลายเป็นชิ้นเนื้อ
“มาถึงกันหมดแล้ว…”
เมื่อรู้สึกถึงคลื่นหลิงทรงพลังเหล่านั้น มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงกระแสเลือดเดือดพล่านด้วยความกระหาย ราวกับว่ามีบางสิ่งในคนเหล่านี้ดึงดูดเขา
มู่เฉินรู้ว่านี่เป็นแรงดึงดูดของร่างเทพสุริยะนิรันดร์
ครืน!
ทันใดนั้นพื้นก็สั่นสะเทือน เสียงโบราณสะท้อนก้อง ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองเจดีย์โบราณด้วยดวงตาลุกโชน
ภายใต้การจ้องมองประตูของเจดีย์ก็ค่อยๆ เปิดออกพร้อมกับกลิ่นอายแห่งความรกร้าง…
เมื่อประตูเปิดกว้างมู่เฉินก็เลื่อนสายตาขึ้นพร้อมกับประกายคมกล้าวูบวาบในดวงตา
ในที่สุดเจดีย์วั้นกู่ก็เปิดออกแล้ว!