หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1497 ปรากฏตัวในใต้หล้าอีกครั้ง

บทที่ 1497 ปรากฏตัวในใต้หล้าอีกครั้ง

ภายในเจดีย์วั้นกู่

เมื่อเสียงหัวเราะของหมัวเฮอโยวสะท้อนก้องไปทั่ว ก็ทำให้เกิดความโกลาหลที่ภายนอก เมื่อทุกคนเห็นหมัวเฮอโยวสามารถควบคุมร่างสีทองเข้มได้ก็ฉายความประหลาดใจบนใบหน้าของพวกเขา

เห็นได้ชัดว่าฉากนี้เกินความคาดหมายของทุกคน

ไม่มีใครคิดว่าหมัวเฮอโยวจะควบคุมร่างสีทองเข้มที่อยู่ยงคงกระพันนั่นได้…

“หมัวเฮอโยวช่างลึกล้ำยากหยั่งถึง…”

“แต่วิธีเขาก็โหดเหี้ยมเช่นกัน เขารอให้มู่เฉิน เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางถูกกำจัดซะก่อนถึงได้ใช้ทักษะนี้…”

“เฮ้ เผ่าหมัวเฮอปกป้องร่างมหาเทพนิรันดร์มาเป็นหมื่นปี พวกเขาจะยอมให้ใครมาเอาไปง่ายๆ ได้อย่างไร? วิธีการของเขาก็อยู่ในความคาดหมายอยู่นะ”

“ในเมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์อยู่ในมือเผ่าหมัวเฮอ ความแข็งแกร่งและชื่อเสียงของพวกเขาก็จะทะยานไปถึงจุดสุดยอดของมหาพันภพแล้ว”

“…”

เสียงกระซิบดังก้อง ส่วนใหญ่เป็นการสรรเสริญ เพราะนี่คือร่างมหาเทพนิรันดร์และเมื่อตกอยู่ในมือของเผ่าหมัวเฮอก็เท่ากับติดปีกให้กับพยัคฆ์

เมื่อมองไปที่ภาพนี้ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนก็แลกเปลี่ยนสายตากันด้วยสีหน้ามืดครึ้ม เผ่าหมัวเฮอ ทรงพลังอยู่แล้วและเป็นที่รู้กันว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาห้าเผ่าโบราณ ดังนั้นหากหมัวเฮอโยวได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ เขาก็จะสามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ ในเวลานั้นความแข็งแกร่งของเผ่าหมัวเฮอจะเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว

“ฮ่าๆ!”

หมัวเฮอเทียนหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

“ขอแสดงความยินดีกับท่านประมุข!”

ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอกล่าวขึ้นพร้อมกับความยินดีบนใบหน้า หลังจากเวลาผ่านมาเนิ่นนานในที่สุดเผ่าหมัวเฮอก็สามารถกำจัดฐานะผู้พิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์ลงได้เสียที

ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากวันนี้ร่างมหาเทพนิรันดร์จะเป็นของเผ่าหมัวเฮอแม้แต่เทพจักรพรรดินิรันดร์จะมาเกิดใหม่ก็ไม่สามารถนำเอากลับไปได้

ในขณะนี้ภาระในหัวใจของเผ่าหมัวเฮอได้ถูกปลดปล่อยแล้ว

ในเจดีย์

หมัวเฮอโยวหัวเราะสมใจอยู่นานก่อนที่จะค่อยๆ หยุดมองไปที่ร่างสีทองเข้มเบื้องหน้าด้วยสายตาลุกโชน

ลวดลายสีแดงเข้มบนร่างสีทองเข้มกะพริบน้อยๆ ราวกับบอกว่ามีพลังต่อต้านจากภายใน

“หึ ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ?”

หมัวเฮอโยวเค้นเสียง เขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะปราบร่างสีทองเข้มนี้ด้วยเครื่องรางเทวะชิ้นนี้แต่เขาก็ไม่ได้เร่งรีบ เมื่อไรเขานำเจ้าสิ่งนี้ออกไปจากเจดีย์ มันก็จะไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไปด้วยความช่วยเหลือของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจกับการต่อต้านพลางกวาดสายตาสำรวจไปโดยรอบ

เขากำลังมองหามู่เฉิน เนื่องจากอีกฝ่ายทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว แม้ว่ามู่เฉินจะบาดเจ็บหนัก แต่ก็ยังไม่ตาย ดังนั้นเขาต้องมองหาโอกาสที่จะทำให้อีกฝ่ายพิการไปตลอดชีวิต แม้ว่าจะไม่สามารถฆ่าทิ้งได้ก็ตาม

ด้วยร่างมหาเทพนิรันดร์ที่อยู่ในมือ พลังของเผ่าหมัวเฮอก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องเกรงกลัวเผ่าฝูถูอีกต่อไป

“ก่อนหน้านี้แกกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขไม่ใช่เหรอ? ข้าขอดูหน่อยว่าตอนนี้แกทำอะไรได้บ้างเมื่ออยู่ในมือข้า” สายตาหมัวเฮอโยววูบไหวด้วยแสงเย็น เขารู้สึกอายตัวเองจากการเผชิญหน้ากับมู่เฉินครั้งก่อน ดังนั้นเขาไม่คิดตั้งใจที่จะปล่อยมู่เฉินไป

ร่างของหมัวเฮอโยวลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า โดยมีร่างสีทองเข้มตามหลัง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกไปสำรวจเหวลึกต่างๆ ตั้งใจจะขุดมู่เฉินออกจากที่ซ่อน

เมื่อผู้ชมภายนอกเจดีย์เห็นการกระทำของหมัวเฮอโยว พวกเขาก็รู้ทันทีว่าเขาพยายามที่จะชำระแค้นกับมู่เฉิน ดังนั้นแต่ละคนจึงรู้สึกสงสารมู่เฉินจับใจ

เมื่อมองที่ฉากนี้ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้งก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม นางมองไปที่หมัวเฮอเทียนด้วยแววตาเย็นชา

ทว่าหมัวเฮอเทียนไม่ได้ใส่ใจฉายสีหน้าเฉยเมย ในสายตาของเขาตราบใดที่หมัวเฮอโยวไม่ได้ฆ่ามู่เฉิน ชิงเหยี่ยนจิ้งก็โวยวายไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์มาแล้ว ไม่มีอะไรให้พวกเขาต้องกังวลเกี่ยวกับเผ่าฝูถูอีกต่อไป

“ในที่สุดข้าฉันก็พบแก ไอ้หนูน้อย…”

หมัวเฮอโยวใช้เวลาไม่กี่สิบลมหายใจสั้นๆ ก่อนที่จะมองไปในหุบเหวหนึ่งด้วยรอยยิ้มเย็นชา

เขาเหวี่ยงหมัดออกไป กำปั้นขนาดมหึมาพุ่งลงมาจากท้องฟ้ากระแทกลงไปในหุบเหวนั้น พลังอำนาจน่ากลัวกระแทกลงไปทำให้เกิดปากปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่เลยทีเดียว…

ฝุ่นควันลอยฟุ้ง หมัวเฮอโยวหรี่ตามองปากหลุมก่อนที่เขาจะเห็นภาพเงาที่ล้อมรอบด้วยแสงหลิงค่อยๆ ลอยขึ้นมาบนท้องฟ้า

ภาพเงานั้นก็คือมู่เฉิน ขณะนี้ร่างเขาถูกปกคลุมไปด้วยเลือดช่างดูน่าสงสารนัก ชัดว่าเกิดจากการที่เขาทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตนเอง

“ฮ่าๆ ประมุขมู่ทำไมถึงอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้” หมัวเฮอโยวมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเย้ยหยัน

มู่เฉินกวาดสายตามองหมัวเฮอโยวจากนั้นก็จ้องมองไปที่ร่างสีทองเข้มพลางหดดวงตา “เจ้าควบคุมมันได้เรอะ?”

หมัวเฮอโยวตอบกลับสบายๆ ว่า “เผ่าหมัวเฮอเตรียมการมาหลายหมื่นปี เราจะไม่มีการเตรียมการใดๆ ได้อย่างไร”

มู่เฉินพยักหน้าเผยรอยยิ้มบนใบหน้าซีดเซียว “ดูเหมือนข้าจะประเมินเจ้าต่ำเกินไป… ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าคงต้องรบกวนเจ้าแล้วล่ะ”

หมัวเฮอโยวหรี่ตา “รบกวนข้า?”

‘ไอ้นี่สมองไหลออกหมดหลังจากระเบิดร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทิ้งแล้วรึไง’

มู่เฉินยิ้มขณะชี้ไปที่ร่างสีทองเข้ม “ส่งมันมาให้ข้า”

ทันใดนั้นดวงตาของหมัวเฮอโยวก็เบิกกว้าง ขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสีหน้าแปลกๆ “สมองแกเสียไปแล้วจริงเรอะ?”

ตอนนี้มู่เฉินได้รับบาดเจ็บหนักไม่มีร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว ดังนั้นความสามารถในการต่อสู้จะต้องลดลง ส่วนหมัวเฮอโยวยังมีความสามารถในการต่อสู้และควบคุมร่างสีทองเข้มได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มู่เฉินยังกล้าเอ่ยปากจะชิงร่างสีทองเข้มไปจากเขาเรอะ?

‘มู่เฉินเป็นบ้าไปแล้วรึไง?’

“แกอยากได้มันเรอะ?”

หมัวเฮอโยวจ้องไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัวก่อนจะพยักหน้าช้า “ได้เลย”

เขายื่นมือออกและโบกมือเบาๆ

วาบ!

ทันใดนั้นร่างสีทองเข้มที่อยู่ข้างหลังก็พุ่งออกไปคว้าลำคอของมู่เฉิน

มองไปที่ร่างสีทองเข้ม มู่เฉินก็ยังคงความสงบบนใบหน้าไว้โดยไม่มีระลอกคลื่นใดๆ

แต่ในสายตาผู้คนนอกเจดีย์ปฏิกิริยาของเขาดูเหมือนตกใจจนเอ๋อไปแล้ว

ภายใต้สายตาของทุกคน เมื่อมือสีทองเข้มอยู่ห่างจากลำคอของมู่เฉินเพียงหนึ่งชุ่น จู่ๆ มือข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นคว้ามือสีทองเข้มเอาไว้

ทันใดนั้นรอยยิ้มของหมัวเฮอโยวก็หยุดนิ่งพลางมองไปข้างหลังมู่เฉินด้วยความตกใจ โดยที่เขาไม่รู้ตัวก็มีร่างเงาปรากฏขึ้น

ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ราวกับว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยความลึกลับ แต่กลับมีแรงกดดันที่มองไม่เห็นแผ่ออกมา

“โฮก!”

ฉับพลันร่างสีทองเข้มก็คำรามพร้อมกับความกลัวพล่านในดวงตา มันเริ่มดิ้นรนเพื่อพยายามหนีจากภาพเงาลึกลับเบื้องหน้า

ปัง!

อย่างไรก็ตามภาพเงาลึกลับปัดมือออกมาเบาๆ ร่างสีทองเข้มก็ได้รับความเสียหายรุนแรงหนัก มันกระเด็นกลับไปสร้างรอยแตกบนพื้นทำให้เกิดปากปล่องขนาดมหึมา

ซื้ด!

ด้านนอกเจดีย์ทุกคนสูดลมหายใจเย็นขณะที่ตะลึงพรึงเพริดไปหมด พวกเขานึกไม่ถึงว่าร่างสีทองเข้มซึ่งอยู่ยงคงกระพันจะไร้พลังแบบนั้น!

“อะไร…นั่นอะไร?”

“น่ากลัวเสียจริง ต้องรู้ว่าร่างสีทองเข้มอยู่ยงคงกระพันภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้วนะ แต่…”

“มู่เฉินยังมีไม้เด็ดอยู่อีกหรือ? แล้วทำไมเขาต้องทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ด้วยล่ะ!”

“…”

ความโกลาหลระเบิดขึ้น ทุกคนต่างประหลาดใจ

แม้แต่ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน ทั้งสองไม่รู้ว่ามู่เฉินได้รับภาพเงาลึกลับทรงพลังเช่นนี้มาได้อย่างไร…

ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนแข็งทื่อพร้อมกับสายตาน่ากลัว ในเวลาเดียวกันเขาก็มองไปที่ภาพเงาลึกลับข้างๆ มู่เฉินด้วยความตกใจและสงสัย

“นั่นคืออะไร?”

ใบหน้าของหมัวเฮอโยวปกคลุมไปด้วยความไม่เชื่อ

ขณะมองไปที่ปากหลุมลึกใบหน้าก็กระตุกไม่หยุด ฉากนี้ทำให้ความโกรธในใจของเขาเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นเจตนาฆ่า

“ฆ่ามัน!”

หมัวเฮอโยวคำรามขณะสร้างตราประทับด้วยมือข้างเดียว กระบวนท่านี้ทำให้ลวดลายบนร่างสีทองเข้มดิ้นพล่าน

โฮก!

เสียงคำรามสะท้อนออกมาจากหลุมลึก ร่างสีทองเข้มก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ลวดลายสีแดงเข้มรอบตัวหลั่งไหลเข้ามาในดวงตาย้อมเป็นสีแดงฉาน

ภายใต้การควบคุมด้วยลวดลายสีแดงเข้มได้ระงับความกลัวในใจมัน มันจ้องมองภาพเงาลึกลับข้างๆ มู่เฉิน

ทว่ามู่เฉินมองไปที่ภาพนี้อย่างใจเย็นพลางหันไปยิ้มให้กับภาพเงาลึกลับข้างๆ “ไปรับแก่นอมตะที่เป็นของเจ้าซะ…”

“เจ้าหลับไปหลายหมื่นปี วันนี้ถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องรู้ว่า…ร่างมหาเทพนิรันดร์ได้ปรากฏตัวขึ้นในใต้หล้าอีกครั้งแล้ว”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท