หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1502 ปรากฏตัว

บทที่ 1502 ปรากฏตัว

เสียงคำรามประหนึ่งฟ้าคำรนสะท้อนออกมาจากเจดีย์วั้นกู่

เสียงคำรามกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนต้องหันมาสนใจ ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก เนื่องจากสัมผัสได้ว่าบรรยากาศระหว่างเผ่าฝูถูและหมัวเฮอตึงเครียดเพิ่มขึ้นพร้อมกับไอสังหารน่าสะพรึงกลัวไหลพล่านเข้ามา…

“ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะไม่ซ่อนตัวอีกต่อไปแล้ว…”

“ก็ช่วยไม่ได้นี่ เขาซ่อนตัวมาครึ่งปีแล้ว คงไม่สามารถอยู่ข้างในตลอดไปหรอกมั้ง? เมื่อพิจารณาจากการเคลื่อนไหวของเผ่าหมัวเฮอเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ”

“ท้ายที่สุดเขาอายุยังน้อย ไม่รู้ว่าการกระทำของตนจะสร้างความปั่นป่วนให้กับภายนอกมากแค่ไหน เผ่าฝูถูอาจแข็งแกร่ง แต่นี่คืออาณาเขตของเผ่าหมัวเฮอ หากปะทะกันเผ่าฝูถูคงต้องเสียเปรียบ ถึงเวลานั้นร่างมหาเทพนิรันดร์ก็จะถูกเผ่าหมัวเฮอแย่งกลับคืนไป…”

“…”

เสียงกระซิบดังก้องจากนอกเมือง แต่ทุกคนฟันธงไว้แล้วว่าการหายตัวไปของมู่เฉินก็เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับเผ่าหมัวเฮอ

แต่เผ่าหมัวเฮอและเผ่าฝูถูไม่ได้ใส่ใจกับเสียงนกเสียงกาเหล่านั้น สายตาของพวกเขาจดจ่อไปที่เจดีย์วั้นกู่ด้วยอารมณ์แตกต่างกะพริบในดวงตา

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ภายใต้ความสนใจของพวกเขา เจดีย์วั้นกู่ก็สั่นสะเทือนพร้อมกับวงรัศมีล้ำลึกกำจายออกมา หลังจากนั้นร่างแสงร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

หมัวเฮอเทียนเงยหน้าขึ้นโดยไม่แสดงอารมณ์ใด เขามองไปที่ยอดเจดีย์ ก็เห็นร่างสูงโปร่งค่อยๆ ปรากฏตัวต่อสายตาทุกคน

ร่างนั้นเพรียวบาง เสื้อผ้าพลิ้วไหวเบาๆ ร่างกายเอิบอาบด้วยรัศมีสีทองพร้อมกับความแวววาวประหนึ่งหยกบนใบหน้า แสงสีทองไหลเวียนไปทั่วสรรพางค์กายอบอวลด้วยรัศมีลึกลับ

นี่ก็คือมู่เฉินที่ปลีกวิเวกอยู่ในเจดีย์วั้นกู่มาห้าปี

ภายใต้การจ้องมองเหล่านั้น มู่เฉินก็ยังสงบนิ่ง เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันตั้งแต่ก้าวขาออกจากเจดีย์วั้นกู่เลยทีเดียว

การต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ เขาอาจเกิดความกังวลหากมีพลังก่อนที่จะเข้าสู่เจดีย์ เพราะถ้าไม่เข้มแข็งพอก็คงไม่สามารถรักษาความสงบในใจได้

แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ในห้าปีพลังของเขาทบทวีคูณอย่างไม่อาจบรรยายได้

“ช่างยิ่งใหญ่ตระการจริง แม้ว่าข้าจะโชคดีได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ข้าก็รู้สึกเกรงใจจังที่ได้รับการต้อนรับจากเผ่าหมัวเฮอแบบนี้” มู่เฉินกวาดสายตามองไปยังการรวมตัวที่น่ากลัว เขายิ้มขณะมองไปที่หมัวเฮอเทียนและผู้อาวุโสทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างหลัง

ที่นอกเมืองทุกคนอดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น มู่เฉินบ้าบิ่นแท้จริง ทุกคนบอกได้ว่าเผ่าหมัวเฮอมีเจตนาร้ายและคำพูดของเขาก็เป็นการตบหน้าเผ่าหมัวเฮอฉาดใหญ่

“ไอ้หนู ข้ากลัวว่าแกจะไม่มีโชคแบบนั้น!” ไม่รอให้หมัวเฮอเทียนได้พูดอะไร หมัวเฮอโยวก็เค้นเสียงหยันออกมาก่อน

เขาสูญเสียโชคครั้งใหญ่เมื่อพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน ทำให้เผ่าหมัวเฮอต้องสูญเสียร่างมหาเทพนิรันดร์ ชีวิตครึ่งปีในเผ่าของเขาก็ไม่ดีเลย ถ้าไม่ใช่เพราะหมัวเฮอเทียนเป็นพี่ชายของเขา เขาคงได้รับการปฏิบัติราวกับคนบาปแล้ว

ดังนั้นเมื่อเขาเห็นมู่เฉินในตอนนี้เขาจึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้

แต่ก่อนที่เขาจะพ่นคำพูดอะไรออกมาอีก หมัวเฮอเทียนก็หยุดเอาไว้แล้วมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับรอยยิ้มและน้ำเสียงอบอุ่น “สหายน้อย พรสวรรค์ของเจ้าโดดเด่นแท้จริงที่ได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์ น่าตกใจจริงๆ”

มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอเทียนตอบว่า “ท่านประมุขกำลังชมข้าเกินไป ถ้าหมัวเฮอโยวหัดตรองอีกสักนิดก็จะแยกความแตกต่างว่าของจริงของปลอมได้และข้าคงไม่มีโอกาสได้แตะร่างมหาเทพนิรันดร์”

เปลือกตาของหมัวเฮอโยวกระตุก มีเส้นเลือดเต้นตุบตับบนหน้าผาก ตอนนี้เขาอยากฆ่ามู่เฉินสักพันครั้ง

หมัวเฮอเทียนพยักหน้ากล่าวว่า “แต่สหายน้อยมู่เฉินก็คงรู้ดีว่าเผ่าหมัวเฮอของข้าพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์มานานนับหมื่นปี เราใช้เวลาและกำลังไปมาก ดังนั้นการที่เจ้าจะนำออกไปง่ายเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเหมาะสมนัก”

ดวงตาของมู่เฉินหลุบลง “ท่านประมุขหมัวเฮอพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกต้องนะ ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นทักษะที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ฝากไว้ที่นี่เพื่อค้นหาผู้ครอบครองที่เหมาะสม นอกจากนี้เขายังเผยแพร่ทักษะการฝึกฝนร่างเทพสุริยะและร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่สมบูรณ์แบบให้กับเผ่าหมัวเฮอตรงๆ ซึ่งก็หมายความว่าเผ่าหมัวเฮอมีข้อได้เปรียบเหนือคนอื่นๆ”

“และนั่นก็ถือได้ว่าเป็นค่าตอบแทนที่เทพจักรพรรดินิรันดร์มอบให้กับเผ่าเจ้า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครจากเผ่าหมัวเฮอได้รับการยอมรับของร่างมหาเทพนิรันดร์ไป ดังนั้นจะมาตำหนิผู้อื่นในเรื่องนี้ไม่ได้”

น้ำเสียงของมู่เฉินไม่ได้ร้อนรนหรือวิตกกังวล ทั้งยังปราศจากความกลัวซึ่งทำให้หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย เผ่าหมัวเฮอพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์มาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ซ้ำพวกเขายังมีข้อได้เปรียบสูงกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นในแง่ของโอกาสพวกเขามีสิทธ์ได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์มากที่สุด

เมื่อพวกเขาล้มเหลว ก็แสดงว่าปัญหาอยู่ที่ตัวพวกเขาเอง

หมัวเฮอเทียนหรี่ตาลง รอยยิ้มเป็นมิตรบนใบหน้าหดหาย “ข้าไม่คิดจะคุยให้มากมาย แต่ข้ามีข้อเสนอ ข้าหวังว่าเจ้าจะมอบร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้กับเผ่าหมัวเฮอเป็นเวลาร้อยปี หลังจากนั้นข้าสาบานว่าเราจะไม่รั้งเจ้าต่อไปอีกอย่างแน่นอน ว่าไงละ?”

เมื่อเสียงของหมัวเฮอเทียนดังขึ้น รอยยิ้มเยาะเย้ยก็โค้งขึ้นบนริมฝีปากของมู่เฉิน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะพูดได้ไร้ยางอายแบบนี้

ทิ้งร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ในเผ่าหมัวเฮอร้อยปี? ตราบใดที่ไม่ใช่เด็กสามขวบก็ไม่มีใครเชื่อหรอก

“ดูเหมือนว่าท่านประมุขเผ่าหมัวเฮอผู้สูงส่งจะไม่ต้องการรักษาหน้าอีกต่อไปแล้วสินะ?” น้ำเสียงเย็นเยือกกระจายออก ชิงเหยี่ยนจิ้งอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันด้วยคำพูด

มู่เฉินส่ายหัวเบาๆ ตอบว่า “ท่านประมุขเผ่าหมัวเฮอหยุดล้อเล่นเถอะ ในเมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ยอมรับว่าข้าเป็นเจ้าของแล้ว ก็แปลว่าโชคชะตาของมันกับเผ่าเจ้าได้สิ้นสุดลง ข้าสามารถนำมันไปได้เป็นเรื่องปกติ”

เมื่อเสียงของมู่เฉินดังขึ้นทั้งเมืองก็เงียบลง

หมัวเฮอเทียนมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแสพูดว่า “ดูท่าเจ้าจะไม่เต็มใจที่จะเติมเต็มความปรารถนาเล็กๆ ให้เผ่าของข้าใช่ไหม?”

ตู้ม!

เมื่อพูดจบรัศมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอันน่าอัศจรรย์ก็กวาดออกครอบไปทางมู่เฉิน

ขณะที่ความกดดันแผ่กระจายออกไป ทั้งบรรยากาศและคลื่นหลิงก็แข็งตัวในพื้นที่โดยรอบ

แรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งซัดใส่ร่างกายของมู่เฉิน

เผชิญหน้ากับแรงกดดันของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง สายตามู่เฉินก็หดเกร็ง แต่น่าแปลกที่ไม่มีร่องรอยความกลัวเลย ตรงกันข้ามกลับถูกแทนที่ด้วยการเยาะเย้ย

ถ้าเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะเข้าสู่เจดีย์วั้นกู่เขาอาจขยับเขยื้อนไม่ได้เมื่อเผชิญกับแรงกดดันของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แต่หลังจากห้าปีแห่งสมาธิ เขาได้ปรับแต่งร่างกายให้เป็นกายานิรันดร์แล้ว

ขณะนี้ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดาก็เทียบไม่ได้

ฮึ่ม!

ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันเช่นนี้ มู่เฉินก็กำหมัดเปล่งรัศมีสีทองออกมา เลือดเนื้อทั้งตัวกระตุก ทำให้ร่างกายดูเหมือนสร้างมาจากทองคำ

เวลาเดียวกันพลังงานที่น่ากลัวก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของมู่เฉิน พริบตาการยับยั้งในมิติก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับเศษแก้ว…

เสี้ยววินาทีความกดดันที่น่ากลัวก็หายไป

“อะไรน่ะ?!”

ผู้คนนับไม่ถ้วนที่อยู่นอกเมืองต่างร้องอุทาน ขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจำนวนมากก็ยังตกตะลึง นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวภายใต้การครอบงำแบบนี้ได้ แต่มู่เฉินกลับแก้ไขได้ง่ายดายขนาดนั้นเลยหรือ?!

เมื่อผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปรุนแรง ส่วนใบหน้าหมัวเฮอโยวเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

มีเพียงหมัวเฮอเทียนและชายชราสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเท่านั้นที่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าของพวกเขาดิ่งลงทันที จ้องเขม็งไปที่ร่างของมู่เฉิน

ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนที่กำลังจะเคลื่อนไหวก็อึ้งไป ขณะมองไปที่มู่เฉินก่อนจะสบตากันพลางสูดลมหายใจเย็นลึกสุดปอด

เสียงสั่นเครือดังออกมาจากปากของพวกเขาทำให้เกิดความตกตะลึงไปทั่ว

“นั่นคือ… กายาเซิ่ง?!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท