เสียงคำรามประหนึ่งฟ้าคำรนสะท้อนออกมาจากเจดีย์วั้นกู่
เสียงคำรามกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนต้องหันมาสนใจ ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก เนื่องจากสัมผัสได้ว่าบรรยากาศระหว่างเผ่าฝูถูและหมัวเฮอตึงเครียดเพิ่มขึ้นพร้อมกับไอสังหารน่าสะพรึงกลัวไหลพล่านเข้ามา…
“ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะไม่ซ่อนตัวอีกต่อไปแล้ว…”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ เขาซ่อนตัวมาครึ่งปีแล้ว คงไม่สามารถอยู่ข้างในตลอดไปหรอกมั้ง? เมื่อพิจารณาจากการเคลื่อนไหวของเผ่าหมัวเฮอเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ”
“ท้ายที่สุดเขาอายุยังน้อย ไม่รู้ว่าการกระทำของตนจะสร้างความปั่นป่วนให้กับภายนอกมากแค่ไหน เผ่าฝูถูอาจแข็งแกร่ง แต่นี่คืออาณาเขตของเผ่าหมัวเฮอ หากปะทะกันเผ่าฝูถูคงต้องเสียเปรียบ ถึงเวลานั้นร่างมหาเทพนิรันดร์ก็จะถูกเผ่าหมัวเฮอแย่งกลับคืนไป…”
“…”
เสียงกระซิบดังก้องจากนอกเมือง แต่ทุกคนฟันธงไว้แล้วว่าการหายตัวไปของมู่เฉินก็เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับเผ่าหมัวเฮอ
แต่เผ่าหมัวเฮอและเผ่าฝูถูไม่ได้ใส่ใจกับเสียงนกเสียงกาเหล่านั้น สายตาของพวกเขาจดจ่อไปที่เจดีย์วั้นกู่ด้วยอารมณ์แตกต่างกะพริบในดวงตา
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ภายใต้ความสนใจของพวกเขา เจดีย์วั้นกู่ก็สั่นสะเทือนพร้อมกับวงรัศมีล้ำลึกกำจายออกมา หลังจากนั้นร่างแสงร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
หมัวเฮอเทียนเงยหน้าขึ้นโดยไม่แสดงอารมณ์ใด เขามองไปที่ยอดเจดีย์ ก็เห็นร่างสูงโปร่งค่อยๆ ปรากฏตัวต่อสายตาทุกคน
ร่างนั้นเพรียวบาง เสื้อผ้าพลิ้วไหวเบาๆ ร่างกายเอิบอาบด้วยรัศมีสีทองพร้อมกับความแวววาวประหนึ่งหยกบนใบหน้า แสงสีทองไหลเวียนไปทั่วสรรพางค์กายอบอวลด้วยรัศมีลึกลับ
นี่ก็คือมู่เฉินที่ปลีกวิเวกอยู่ในเจดีย์วั้นกู่มาห้าปี
ภายใต้การจ้องมองเหล่านั้น มู่เฉินก็ยังสงบนิ่ง เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันตั้งแต่ก้าวขาออกจากเจดีย์วั้นกู่เลยทีเดียว
การต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ เขาอาจเกิดความกังวลหากมีพลังก่อนที่จะเข้าสู่เจดีย์ เพราะถ้าไม่เข้มแข็งพอก็คงไม่สามารถรักษาความสงบในใจได้
แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ในห้าปีพลังของเขาทบทวีคูณอย่างไม่อาจบรรยายได้
“ช่างยิ่งใหญ่ตระการจริง แม้ว่าข้าจะโชคดีได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ข้าก็รู้สึกเกรงใจจังที่ได้รับการต้อนรับจากเผ่าหมัวเฮอแบบนี้” มู่เฉินกวาดสายตามองไปยังการรวมตัวที่น่ากลัว เขายิ้มขณะมองไปที่หมัวเฮอเทียนและผู้อาวุโสทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างหลัง
ที่นอกเมืองทุกคนอดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น มู่เฉินบ้าบิ่นแท้จริง ทุกคนบอกได้ว่าเผ่าหมัวเฮอมีเจตนาร้ายและคำพูดของเขาก็เป็นการตบหน้าเผ่าหมัวเฮอฉาดใหญ่
“ไอ้หนู ข้ากลัวว่าแกจะไม่มีโชคแบบนั้น!” ไม่รอให้หมัวเฮอเทียนได้พูดอะไร หมัวเฮอโยวก็เค้นเสียงหยันออกมาก่อน
เขาสูญเสียโชคครั้งใหญ่เมื่อพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน ทำให้เผ่าหมัวเฮอต้องสูญเสียร่างมหาเทพนิรันดร์ ชีวิตครึ่งปีในเผ่าของเขาก็ไม่ดีเลย ถ้าไม่ใช่เพราะหมัวเฮอเทียนเป็นพี่ชายของเขา เขาคงได้รับการปฏิบัติราวกับคนบาปแล้ว
ดังนั้นเมื่อเขาเห็นมู่เฉินในตอนนี้เขาจึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
แต่ก่อนที่เขาจะพ่นคำพูดอะไรออกมาอีก หมัวเฮอเทียนก็หยุดเอาไว้แล้วมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับรอยยิ้มและน้ำเสียงอบอุ่น “สหายน้อย พรสวรรค์ของเจ้าโดดเด่นแท้จริงที่ได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์ น่าตกใจจริงๆ”
มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอเทียนตอบว่า “ท่านประมุขกำลังชมข้าเกินไป ถ้าหมัวเฮอโยวหัดตรองอีกสักนิดก็จะแยกความแตกต่างว่าของจริงของปลอมได้และข้าคงไม่มีโอกาสได้แตะร่างมหาเทพนิรันดร์”
เปลือกตาของหมัวเฮอโยวกระตุก มีเส้นเลือดเต้นตุบตับบนหน้าผาก ตอนนี้เขาอยากฆ่ามู่เฉินสักพันครั้ง
หมัวเฮอเทียนพยักหน้ากล่าวว่า “แต่สหายน้อยมู่เฉินก็คงรู้ดีว่าเผ่าหมัวเฮอของข้าพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์มานานนับหมื่นปี เราใช้เวลาและกำลังไปมาก ดังนั้นการที่เจ้าจะนำออกไปง่ายเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเหมาะสมนัก”
ดวงตาของมู่เฉินหลุบลง “ท่านประมุขหมัวเฮอพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกต้องนะ ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นทักษะที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ฝากไว้ที่นี่เพื่อค้นหาผู้ครอบครองที่เหมาะสม นอกจากนี้เขายังเผยแพร่ทักษะการฝึกฝนร่างเทพสุริยะและร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่สมบูรณ์แบบให้กับเผ่าหมัวเฮอตรงๆ ซึ่งก็หมายความว่าเผ่าหมัวเฮอมีข้อได้เปรียบเหนือคนอื่นๆ”
“และนั่นก็ถือได้ว่าเป็นค่าตอบแทนที่เทพจักรพรรดินิรันดร์มอบให้กับเผ่าเจ้า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครจากเผ่าหมัวเฮอได้รับการยอมรับของร่างมหาเทพนิรันดร์ไป ดังนั้นจะมาตำหนิผู้อื่นในเรื่องนี้ไม่ได้”
น้ำเสียงของมู่เฉินไม่ได้ร้อนรนหรือวิตกกังวล ทั้งยังปราศจากความกลัวซึ่งทำให้หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย เผ่าหมัวเฮอพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์มาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ซ้ำพวกเขายังมีข้อได้เปรียบสูงกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นในแง่ของโอกาสพวกเขามีสิทธ์ได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์มากที่สุด
เมื่อพวกเขาล้มเหลว ก็แสดงว่าปัญหาอยู่ที่ตัวพวกเขาเอง
หมัวเฮอเทียนหรี่ตาลง รอยยิ้มเป็นมิตรบนใบหน้าหดหาย “ข้าไม่คิดจะคุยให้มากมาย แต่ข้ามีข้อเสนอ ข้าหวังว่าเจ้าจะมอบร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้กับเผ่าหมัวเฮอเป็นเวลาร้อยปี หลังจากนั้นข้าสาบานว่าเราจะไม่รั้งเจ้าต่อไปอีกอย่างแน่นอน ว่าไงละ?”
เมื่อเสียงของหมัวเฮอเทียนดังขึ้น รอยยิ้มเยาะเย้ยก็โค้งขึ้นบนริมฝีปากของมู่เฉิน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะพูดได้ไร้ยางอายแบบนี้
ทิ้งร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ในเผ่าหมัวเฮอร้อยปี? ตราบใดที่ไม่ใช่เด็กสามขวบก็ไม่มีใครเชื่อหรอก
“ดูเหมือนว่าท่านประมุขเผ่าหมัวเฮอผู้สูงส่งจะไม่ต้องการรักษาหน้าอีกต่อไปแล้วสินะ?” น้ำเสียงเย็นเยือกกระจายออก ชิงเหยี่ยนจิ้งอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันด้วยคำพูด
มู่เฉินส่ายหัวเบาๆ ตอบว่า “ท่านประมุขเผ่าหมัวเฮอหยุดล้อเล่นเถอะ ในเมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ยอมรับว่าข้าเป็นเจ้าของแล้ว ก็แปลว่าโชคชะตาของมันกับเผ่าเจ้าได้สิ้นสุดลง ข้าสามารถนำมันไปได้เป็นเรื่องปกติ”
เมื่อเสียงของมู่เฉินดังขึ้นทั้งเมืองก็เงียบลง
หมัวเฮอเทียนมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแสพูดว่า “ดูท่าเจ้าจะไม่เต็มใจที่จะเติมเต็มความปรารถนาเล็กๆ ให้เผ่าของข้าใช่ไหม?”
ตู้ม!
เมื่อพูดจบรัศมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอันน่าอัศจรรย์ก็กวาดออกครอบไปทางมู่เฉิน
ขณะที่ความกดดันแผ่กระจายออกไป ทั้งบรรยากาศและคลื่นหลิงก็แข็งตัวในพื้นที่โดยรอบ
แรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งซัดใส่ร่างกายของมู่เฉิน
เผชิญหน้ากับแรงกดดันของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง สายตามู่เฉินก็หดเกร็ง แต่น่าแปลกที่ไม่มีร่องรอยความกลัวเลย ตรงกันข้ามกลับถูกแทนที่ด้วยการเยาะเย้ย
ถ้าเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะเข้าสู่เจดีย์วั้นกู่เขาอาจขยับเขยื้อนไม่ได้เมื่อเผชิญกับแรงกดดันของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แต่หลังจากห้าปีแห่งสมาธิ เขาได้ปรับแต่งร่างกายให้เป็นกายานิรันดร์แล้ว
ขณะนี้ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดาก็เทียบไม่ได้
ฮึ่ม!
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันเช่นนี้ มู่เฉินก็กำหมัดเปล่งรัศมีสีทองออกมา เลือดเนื้อทั้งตัวกระตุก ทำให้ร่างกายดูเหมือนสร้างมาจากทองคำ
เวลาเดียวกันพลังงานที่น่ากลัวก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของมู่เฉิน พริบตาการยับยั้งในมิติก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับเศษแก้ว…
เสี้ยววินาทีความกดดันที่น่ากลัวก็หายไป
“อะไรน่ะ?!”
ผู้คนนับไม่ถ้วนที่อยู่นอกเมืองต่างร้องอุทาน ขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจำนวนมากก็ยังตกตะลึง นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวภายใต้การครอบงำแบบนี้ได้ แต่มู่เฉินกลับแก้ไขได้ง่ายดายขนาดนั้นเลยหรือ?!
เมื่อผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปรุนแรง ส่วนใบหน้าหมัวเฮอโยวเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
มีเพียงหมัวเฮอเทียนและชายชราสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเท่านั้นที่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าของพวกเขาดิ่งลงทันที จ้องเขม็งไปที่ร่างของมู่เฉิน
ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนที่กำลังจะเคลื่อนไหวก็อึ้งไป ขณะมองไปที่มู่เฉินก่อนจะสบตากันพลางสูดลมหายใจเย็นลึกสุดปอด
เสียงสั่นเครือดังออกมาจากปากของพวกเขาทำให้เกิดความตกตะลึงไปทั่ว
“นั่นคือ… กายาเซิ่ง?!”