หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1499 เจ้าของคนใหม่เจดีย์วั้นกู่

บทที่ 1499 เจ้าของคนใหม่เจดีย์วั้นกู่

ภายในเจดีย์วั้นกู่

ใบหน้าของหมัวเฮอโยวเคลือบด้วยความตกใจหวาดผวาขณะมองไปที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ จากนั้นก็มองไปที่ตำแหน่งที่ร่างสีทองเข้มหายไปอีกครั้ง สีหน้าเขาเหวอไปแล้ว

ในที่สุดเขาก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้แล้ว ภาพเงาลึกลับเบื้องหน้าก็คือร่างมหาเทพนิรันดร์ของแท้!

ร่างสีทองเข้มที่เขาจ่ายราคาออกไปมหาศาลเพื่อควบคุมเป็นเพียงของปลอม!

คำตอบนี้ทำให้ใบหน้าของหมัวเฮอโยวกระตุก ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเมื่อมองไปที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ ความอิจฉาในแววตาได้ก่อตัวขึ้น

“เป็นไปได้ยังไง?! ร่างมหาเทพนิรันดร์ตกอยู่ในมือไอ้เด็กนั่นได้ยังไง?!” หมัวเฮอโยวพึมพำพร้อมกับดวงตาแดงฉาน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากยอมรับความจริงที่โหดร้ายที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ถูกคว้าไปโดยมู่เฉิน

“ร่างมหาเทพนิรันดร์ เผ่าหมัวเฮอของข้าเฝ้าพิทักษ์เจ้ามาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ทำไมเจ้าถึงไปเลือกคนนอก?!” หมัวเฮอโยวคำรามส่งไปยังภาพเงาลึกลับด้วยความไม่เต็มใจ

ทว่าร่างมหาเทพนิรันดร์กลับไม่ตอบสนองต่อเสียงคำรามนั่นเลย ร่างเทห์สวรรค์เป็นการดำรงอยู่ที่มีเอกลักษณ์ซึ่งมีใยแห่งสติปัญญา แต่มันไม่ได้มีจิตใต้สำนึก ในความคิดของมันแม้หมัวเฮอโยวจะแข็งแกร่งกว่ามู่เฉิน แต่เขาไม่ใช่เจ้าของที่เหมาะสม

มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอโยวอย่างสงบ จากนั้นก็เหยียดนิ้วออกมาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เอาแก่นอมตะของเขามา”

หมัวเฮอโยวไม่เพียงแต่วางแผนเล่นตุกติกกับเขาเท่านั้น แต่ยังบีบให้เขาต้องทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตนเอง มิหนำซ้ำยังพยายามที่จะเคลื่อนไหวจัดการเขา นี่เป็นหนี้ที่มู่เฉินจดเอาไว้ในใจ

ดังนั้นเมื่อสถานการณ์พลิกผันเช่นนี้ มู่เฉินก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยหมัวเฮอโยวไป

“แกบังอาจ!”

หมัวเฮอโยวร้องเสียงสูงพร้อมกับใบหน้าที่เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน

วาบ!

ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงมู่เฉิน ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ก้าวออกไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าหมัวเฮอโยว

ตู้ม!

ใบหน้าของหมัวเฮอโยวเขียวคล้ำ ขณะที่คลื่นหลิงรุนแรงไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย เขาถอยออกไปทันที ในพริบตาก็ไปไกลหลายหมื่นจั้งแล้ว

แต่เมื่อเขาถอยกลับ ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ไม่ได้ไล่ตามมา เพียงแค่ยื่นมือออกไปคว้าหมัวเฮอโยว

ท่าคว้าจับนั้นทำให้ฟ้าดินเหมือนหยุดชะงัก หมัวเฮอโยวก็คล้ายกับแมลงที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ ไม่สามารถขยับร่างได้เลย มีเพียงความกลัวฉายบนใบหน้า

เมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ชี้มา รัศมีสีม่วงทองก็รวมตัวกันอยู่ข้างหลังหมัวเฮอโยว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ถูกเรียกขึ้นมาโดยไม่มีการควบคุม…

ยามนี้หมัวเฮอโยวรู้สึกกลัวจับใจ

ปัง!

เมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์กำมือแน่นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของหมัวเฮอโยวก็ถูกปกคลุมด้วยรอยร้าวก่อนที่จะระเบิดออก

พร้อมกับแรงดูดจากปาก ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็กลืนกินแก่นอมตะเข้าไปอย่างสมบูรณ์

อ็อก!

หมัวเฮอโยวได้รับอิสรภาพในเวลานี้ ทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมา คลื่นหลิงรอบตัวก็อ่อนกำลังลง เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนัก!

“มู่เฉิน! แกบังอาจกล้าทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของข้า!”

หมัวเฮอโยวคำรามพลางมองไปที่มู่เฉินอย่างดุร้าย เมื่อแก่นอมตะของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ถูกเอาไป ร่างเวทสวรรค์ของเขาก็ถูกทำลาย ถ้าเขาไม่ได้เริ่มต้นฝึกฝนใหม่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับเขาแล้วนี่เป็นการระเบิดครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

“แกทำให้ข้าต้องทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตัวเอง ข้าก็เลยทำมั่งไง ก็เจ๊ากันดีนี่” มู่เฉินยิ้มอ่อน

ลูกตาของหมัวเฮอโยวแทบถลนออกมาด้วยความโกรธ ท่าทางน่ากลัวราวกับว่าเขาจะขบหัวมู่เฉินให้ขาดในครั้งเดียว

“ดูเหมือนว่าแกจะไม่พอใจนะ” พอเห็นท่าทางนั่น มู่เฉินก็หรี่ตาลงพลางชี้นิ้วไปที่หมัวเฮอโยวพร้อมกับจิตสังหารในดวงตา

“แล้วไง? แกกล้าฆ่าข้าเหรอ?!” แววตาของหมัวเฮอโยวเย็นเยือกลง ที่นี่คือเผ่าหมัวเฮอ ถ้ามู่เฉินกล้าที่จะฆ่าเขาก็จะตกที่นั่งลำบาก ดังนั้นเขาไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะกล้าทำอะไร

“ฆ่ามันซะ”

ทว่าเมื่อหมัวเฮอโยวพูดจบ เสียงเฉยเมยของมู่เฉินก็ดังขึ้น

ดวงตาของร่างมหาเทพนิรันดร์เลื่อนไปมองที่หมัวเฮอโยว

ยามนี้หนังหัวของหมัวเฮอโยวชาหนึบไปหมด สายตาจ้องมองมู่เฉินด้วยความไม่เชื่อ เห็นได้ชัดเขาไม่คิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะกล้าฆ่าเขาจริงๆ แต่จากน้ำเสียงแน่วแน่นั่น เขารู้ว่านี่ไม่ใช่มุกตลก

“แกบ้าไปแล้ว!”

หมัวเฮอโยวกัดฟันไม่กล้าอยู่ต่อไป “ข้าถอนตัว!”

เมื่อร่างสีทองเข้มถูกจัดการไปแล้ว เขาก็รู้สึกได้ว่าสามารถถอนตัวออกไปได้

มิติรอบร่างหมัวเฮอโยวบิดเบี้ยวก่อนที่เขาจะถูกส่งออกไปจากเจดีย์

แต่ก่อนที่เขาจะหายตัวไปก็เขม่นมองมู่เฉินอย่างเย็นชา “มู่เฉินอย่าเพิ่งดีใจไป แม้ว่าแกจะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่แกก็ต้องเอาออกจากเผ่าหมัวเฮอให้ได้ก่อน!”

เมื่อพูดจบเขาก็หายวับไปจากเจดีย์วั้นกู่

มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอโยวอย่างไม่แยแสพลางหัวเราะเยาะ “ทีตอนวิ่งหนีนี่เร็วจริงๆ”

ถ้าหมัวเฮอโยวยังคิดอยู่ที่นี่ต่อไป เขาก็ตั้งใจจะฆ่าอีกฝ่ายจริงๆ ถึงแม้ว่าเขาจะปล่อยให้หมัวเฮอโยว ออกไป แต่เผ่าหมัวเฮอก็ไม่ปล่อยเขาไปหรอก เนื่องจากเขาได้รับการสืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์แล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ทำไมเขาต้องให้หน้าพวกมันด้วยล่ะ?

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบ เขาก้มมองเยี่ยฉิงที่นอนอยู่บนพื้นไกลออกไป เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน เยี่ยฉิงก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่คิดว่าร่างมหาเทพนิรันดร์จะตกอยู่ในมือเจ้า”

เยี่ยฉิงถอนหายใจหลับตาลง “แต่ก็ดีกว่ามอบให้กับไอ้หน้าด้านอย่างหมัวเฮอโยว เจ้าระวังตัวด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาร่างมหาเทพนิรันดร์ไป”

พูดเสร็จก็เงยหน้าไปบนฟ้า “ข้าถอนตัว”

มู่เฉินพยักหน้าตอบว่า “ขอบคุณสำหรับคำเตือน ข้าจะระวังตัว”

เยี่ยฉิงยิ้มไม่พูดต่อ ร่างถูกปกคลุมไปด้วยความผันผวนมิติหายตัวไป

หลังจากเยี่ยฉิงออกไป มู่เฉินก็อยู่ในเจดีย์วั้นกู่เพียงผู้เดียว

เมื่อทั้งหมัวเฮอโยวและเยี่ยฉิงออกไป กระจกทั้งสองบานก็แตกสลาย การมองเห็นภายในเจดีย์หายไป

กระจกหายไป ทว่าทุกคนนอกเจดีย์กลับเงียบกริบ พวกเขารู้สึกได้ถึงความกดดันในบรรยากาศ

ซึ่งมาจากหมัวเฮอเทียนที่หน้าตานิ่งเฉยบนแท่นสูง

หมัวเฮอเทียนมองไปที่หมัวเฮอโยวที่ปรากฏตัวข้างๆ อย่างเย็นชา เขาไม่พูดแค่ไพล่มือไว้ด้านหลังและหลับตาลง

ความเงียบทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ นี่ช่างคล้ายกับความสงบก่อนพายุจะมา

ทุกคนรู้ดีว่าหมัวเฮอเทียนไม่มีทางปล่อยให้มู่เฉินนำร่างมหาเทพนิรันดร์ออกไปจากเผ่าหมัวเฮอแน่นอน แม้เขาจะเป็นเจ้าของที่ร่างมหาเทพนิรันดร์เลือกก็ตาม!

เมื่อมองไปที่หมัวเฮอเทียนที่หลับตา ชิงเหยี่ยนจิ้งก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนรุนแรงในสายตาของอีกฝ่าย

ทว่านางไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก สายตากลับมองไปที่เจดีย์ด้วยความเฉียบคมและความเด็ดเดี่ยวในดวงตา

ถ้าหมัวเฮอเทียนกล้าทำอะไรกับลูกชายนางละก็ งานนี้นางไม่ถอยแน่ แม้ว่าจะหมายถึงสงครามเผ่าก็ตาม!

ส่วนฝูถูเฉวียนก็ขมวดคิ้วแน่นขณะมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งพลางถอนหายใจเบาๆ ความคิดของนางทำไมเขาจะไม่รู้ นางไม่ปล่อยให้เรื่องสงบลงแน่นอนถ้าหมัวเฮอเทียนกล้าแตะต้องบุตรชายนาง

ถึงเวลานั้นนี่จะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอีกต่อไป เหตุการณ์นี้จะเขย่าไปทั่วมหาพันภพ

แต่ตอนนี้นางเป็นผู้อาวุโสใหญ่ที่เป็นตัวแทนของเผ่าฝูถู ดังนั้นหากหมัวเฮอเทียนไม่ยอมไว้หน้าให้นาง นั่นก็หมายความว่าเขากำลังดูหมิ่นเผ่าฝูถู แม้ว่าเผ่าฝูถูจะด้อยกว่า แต่พวกเขาก็จะเผชิญหน้ากับเผ่าหมัวเฮอด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี หากอีกฝ่ายทำเกินไป

นอกจากนี้ฝูถูเฉวียนยังพอใจกับศักยภาพของมู่เฉิน ขณะนี้เขาเห็นควรแล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้สมควรดำรงตำแหน่งประมุขเผ่าฝูถูสืบต่อไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีทางที่เขาจะถอยหลัง…

ภายใต้ความกดดันของทั้งสองเผ่าโบราณ ทุกคนรู้สึกว่าหนังหัวลุกชันไปหมด พวกเขารู้ว่าช่วงเวลาที่มู่เฉินก้าวออกจากเจดีย์วั้นกู่ การต่อสู้สะเทือนปฐพีก็จะระเบิดออก…

นี่จะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ในมหาพันภพเลยทีเดียว

ขณะที่บรรยากาศภายนอกตึงเครียดลอยอวล

ในเจดีย์ มู่เฉินก็มองเห็นแสงรวมตัวกันเป็นร่างพร่ามัว นี่คือจิตวิญญาณของเจดีย์วั้นกู่

“ยินดีด้วย ตอนนี้เจ้าคือเจ้าของคนใหม่ร่างมหาเทพนิรันดร์แล้ว” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่มองไปที่มู่เฉินและยิ้ม

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบก่อนที่จะโค้งคำนับ ร่างเขาสั่นสะท้านซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นในใจ

เขาทำงานหนักวันนี้มานานแสนนาน

จากนั้นคำพูดประโยคถัดมาของจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ก็ทำให้เขาสนใจ

“นอกจากนี้เทพจักรพรรดินิรันดร์ยังเตรียมของขวัญไว้ให้กับเจ้าด้วย…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท