หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1510 เทียบทองคำ

บทที่ 1510 เทียบทองคำ

เสียงสะท้อนไปทั่ว

ทุกคนมองภาพเงาก้าวออกจากในเสา มีแสงดาวส่องประกายระยิบระยับรอบตัวผู้มาใหม่ มองเห็นภูเขาและแม่น้ำปักอยู่บนเสื้อคลุม รูม่านตาของเขาก็ลึกราวกับห้วงมหรรณพ เขายืนอยู่ที่นั่นเพียงลำพังแต่กลับเอิบอาบไปด้วยแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเคารพ

“ราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ—ฉิงเทียน…”

เมื่อทุกคนเห็นร่างนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปขณะร้องอุทานออกมา

ทุกคนในมหาพันภพรู้ดีว่ามีเพียงวังมหาพันภพเท่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นเป็นเพราะพลังดังกล่าวโอบอุ้มทุกสรรพชีวิตในระบบสุริยะจักรวาลนี้

วังมหาพันภพเหมือนกับสมาพันธ์ของมหาพันภพ

จัดตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

ผู้ก่อตั้งคือเทพจักรพรรดินิรันดร์

เมื่อวังมหาพันภพก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในสมัยโบราณก็รวบรวมพลังทั้งหมดของมหาพันภพเอาไว้ ทุกคนละทิ้งความแตกต่าง ยืนหยัดต่อสู้ร่วมกันเพื่ออุดมกาณ์ป้องกันในการรุกรานของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

ในสงครามครั้งนั้นวังมหาพันภพทุ่มเททุกสิ่งอย่าง ไม่มีใครไม่เห็นถึงความสามารถในการขับไล่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ดังนั้นทุกวันนี้ผู้คนจึงให้ความเคารพต่อวังอันยิ่งใหญ่นี้

แม้แต่จอมยุทธ์ที่ทรงอำนาจอย่างเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็เข้าร่วมกับวังพันมหาพันภพในฐานะผู้อาวุโส

ในวังมหาพันภพจะต้องใช้คะแนนสังหารปีศาจเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทีละก้าว โดยต้องสังหารจอมปีศาจเท่านั้นถึงจะได้รับตำแหน่งราชันสังหารปีศาจ บางทีนี่อาจไม่ใช่สิ่งหายากในสมัยโบราณ แต่ในปัจจุบันการฆ่าจอมปีศาจอาจหมายความว่าต้องบุกเข้าไปรังของเผ่าปีศาจต่างมิติ

นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่กล้าลอง

ดังนั้นในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมามีราชันสังหารปีศาจหนึ่งเดียวที่ปรากฏในวังมหาพันภพ เขาเป็นจอมยุทธ์ที่บุกตะลุยเข้าไปในรังปีศาจและกลับมาพร้อมกับการสังหารที่น่าสะพรึง

ชายคนนั้นก็คือคนที่ยืนเบื้องหน้าทุกคนตอนนี้ ฉิงเทียน

เมื่อเทียบสถานะของมู่เฉินในฐานะราชันสังหารปีศาจที่ได้มาเพราะโชคช่วย ฉิงเทียนเป็นของแท้ เนื่องจากเขาได้รับตำแหน่งจากการสังหารปีศาจต่างมิติ

ดังนั้นเมื่อจอมยุทธ์เช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น แม้แต่สีหน้าของหมัวเฮอเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับความหวั่นเกรงในสายตา

“พี่ฉิงเทียนนี่เป็นเรื่องของเผ่าหมัวเฮอ วังมหาพันภพน่าจะเข้ามายุ่งไม่ได้ใช่ไหม?” หมัวเฮอเทียนสูดลมหายใจพลางถาม

เสื้อคลุมของฉิงเทียนสะบัดไปตามสายลม เขาหันหน้ายิ้มให้หมัวเฮอเทียน “ทำไมเจ้าถึงยึดติดกับร่างมหาเทพนิรันดร์อย่างดื้อรั้นเช่นนี้? เผ่าของเจ้าไม่ได้รับการยอมรับแม้จะผ่านไปหลายหมื่นปี ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่าไม่มีชะตาร่วมกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น สีหน้าของหมัวเฮอเทียนก็ไม่น่าดู ถ้าเป็นคนอื่นพูดเขาจะตบให้ถลา แต่เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นกับคนเบื้องหน้าได้ เนื่องจากฉิงเทียนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายมานานแล้ว เป็นหนึ่งในสิบจอมยุทธ์อันดับแรกของมหาพันภพ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

ถ้าหมัวเฮอเทียนมีขวดมหาเพลิงวารี เขาก็อาจจะสู้กับฉิงเทียนได้ ทว่าเวลานี้ขวดหยกถูกปราบปรามไว้ในเจดีย์ เขาคงกระอักเลือดแน่หากต้องต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย

แน่นอนว่าที่สำคัญคือวังมหาพันภพที่อยู่เบื้องหลังฉิงเทียน แม้ว่าโดยปกติทางวังจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ ในมหาพันภพ แต่พลังอำนาจของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่เผ่าหมัวเฮอต้องไว้หน้า

แต่เขาจะยอมปล่อยให้มู่เฉินนำร่างมหาเทพนิรันดร์ออกไปได้ยังไง?

“พี่ฉิงเทียน เผ่าหมัวเฮอปกป้องร่างมหาเทพนิรันดร์มาหลายหมื่นปีแล้ว แม้จะไม่ได้สร้างผลประโยชน์แต่ก็ทุ่มแรงไปมาก แล้วพวกข้าจะยอมให้มู่เฉินนำไปได้อย่างไร?”

หมัวเฮอเทียนหายใจเข้าลึก ดวงตากะพริบวาบ “นอกจากนี้เราก็ถอยคนละก้าวแล้ว ข้าขอให้เขาวางร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ที่นี่เป็นเวลาแค่ร้อยปี หลังจากนั้นทางข้าจะไม่ขัดขวางเมื่อเขาขอคืน”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นฉิงเทียนก็เพียงยิ้ม “ท่านประมุข ข้าจะไม่พูดเรื่องไร้ความหมาย ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะได้รับจดหมายของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม”

ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนแข็งค้าง ส่วนเหล่าผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปด้วยความกลัวกะพริบในดวงตา

เผชิญหน้ากับเผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิง เผ่าหมัวเฮอยังกัดฟันสู้ไหว แต่ถ้าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูกระโจนลงมาในศึกนี้ด้วย แม้แต่เผ่าหมัวเฮอก็รับไม่ไหว

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเขาเคยทำสงครามกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว ท้ายที่สุดตอนนั้นก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของหมัวเฮอเทียน ถ้าไม่ใช่เพราะขวดมหาเพลิงวารี ชื่อเสียงของเผ่าหมัวเฮอคงป่นปี้หมดแล้ว

ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เทพจักรพรรดิอัคคีไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะต้นเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป เขาก้าวข้ามหมัวเฮอเทียนบรรลุระยะปลายกลายเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ทรงอำนาจสูงสุดแห่งมหาพันภพ

ในแง่ของรากฐานแคว้นหวู่จิ้งฮั่วไม่ได้อ่อนไปกว่าเผ่าหมัวเฮอเลย

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเทพจักรพรรดิสงครามและแคว้นหวูที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทพจักรพรรดิอัคคีและแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว

ที่นอกเมืองวั้นกู่ ทุกคนได้แต่เบ้ปาก พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์นี้จะระเบิดไปถึงระดับนี้…

ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนเขียวคล้ำแต่ในใจเกรี้ยวกราดอย่างที่สุด ตอนแรกเขาต้องการใช้กำลังเพื่อปราบมู่เฉิน แต่เขาไม่เคยคิดว่าจะทุบหน้าตัวเองจนยับแบบนั้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว แคว้นหวู วังมหาพันภพ เผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิง…

ด้วยการผนึกกำลังขั้วอำนาจทั้งห้าเข้าด้วยกันแม้แต่โลกทั้งใบยังสั่นสะเทือน กระทั่งเผ่าหมัวเฮอของพวกเขาก็ไม่สามารถเผชิญกับขุมกำลังมหาศาลเช่นนี้ได้

“พี่ฉิงเทียน เจ้ากำลังพยายามบีบคั้นเผ่าหมัวเฮอหรือ?” ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนเขียวคล้ำ

เมื่อมองไปที่หมัวเฮอเทียน ใบหน้าของฉิงเทียนก็ดูเคร่งขรึมขณะที่ตอบว่า “ท่านประมุขเผ่าหมัวเฮอ มหาพันภพกำลังเผชิญอันตรายจากจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ เรื่องที่เกิดวันนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับมหาพันภพของเราที่ร่างมหาเทพนิรันดร์สามารถหาเจ้าของได้ ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถพิจารณาภาพรวมได้มากขึ้น”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น หัวใจของมู่เฉินก็สั่นสะท้าน เขาคิดเชื่อมโยงถึงสาเหตุที่เซียวเหยียนและหลินต้งต้องอยู่ประจำการในดินแดนของตนเอง เขาก็รู้สึกไม่สบายใจในใจ ‘จักรวรรดิปีศาจต่างมิติจะเคลื่อนพลอีกครั้งแล้วหรือ?’

หมัวเฮอเทียนเงียบไป ตอนนี้เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกคืนร่างมหาเทพนิรันดร์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงต้องเดินลงสะพานที่อีกฝ่ายมอบให้ หากเขาดึงดั้นคงมีเพียงเผ่าหมัวเฮอเท่านั้นที่จะต้องแบกรับทุกข์ทรมาน

“ในเมื่อวังมหาพันภพเข้ามาขอเรื่องนี้ งั้นเผ่าหมัวเฮอก็จะไว้หน้าให้”

ในที่สุดหมัวเฮอเทียนก็เปิดปาก ความผันผวนคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็หดกลับ ก่อนที่เขาจะมองไปที่มู่เฉิน “แต่เขาต้องคืนขวดมหาเพลิงวารีมา”

ฉิงเทียนมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้ม “ราชันมู่ เราควรแก้ปมระหว่างศัตรูมากกว่าสร้างปม ในเมื่อประมุขเผ่าหมัวเฮอยอมถอยแล้ว เจ้าก็ถอยบ้างได้ไหม?”

ในเมื่อฉิงเทียนเอ่ยปากเอง มู่เฉินก็พยักหน้าให้โดยดี เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่ต้องการทำสงครามกับเผ่าหมัวเฮอ แม้ว่าเขาจะได้รับการสนับสนุนจากเผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิง แต่นั่นก็เสี่ยงเกินไป อาจทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนต้องสังเวยชีวิต นั่นเป็นราคาหนักสำหรับทั้งสองฝ่าย

ดังนั้นหมัวเฮอเทียนยอมถอยจึงเป็นผลสรุปที่ดีที่สุดแล้ว

มู่เฉินหันกลับประสานมือไปที่เจดีย์วั้นกู่ “เรื่องในวันนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว รบกวนท่านผู้อาวุโสช่วยเคลื่อนไหวอีกครั้ง”

พร้อมกับเสียงของเขา เจดีย์วั้นกู่ก็สั่นสะเทือนเปล่งรัศมีออกมา ลำแสงสีดำทะยานออกมากลายเป็นขวดหยกดำขาว

หมัวเฮอเทียนเรียกขวดหยกคืนมาทันที เขาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง หลังจากเห็นว่าไม่มีความเสียหายใดๆ ก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก

“สมกับเป็นพลังที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้ให้ ช่างทรงพลังอย่างแท้จริงแม้จะผ่านมาหลายหมื่นปีแล้วก็ตาม” มองไปที่เจดีย์ฉิงเทียนก็ถอนหายใจ แม้เขาจะมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย เขาก็ยังรู้สึกเคารพในพลังโบราณที่เหลืออยู่ในเจดีย์

ทว่าหลังจากปลดปล่อยขวดหยก พลังที่เหลืออยู่ในเจดีย์ก็เริ่มเหือดหาย มากจนกระทั่งมีรอยแตกบนพื้นผิว

เมื่อมองไปที่ฉากนี้ มู่เฉินก็โค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุดให้เจดีย์วั้นกู่อีกครั้ง

เมื่อเห็นบรรยากาศตึงเครียดคลายลง ทุกคนก็ถอนหายใจโล่งอกเพราะเหตุการณ์ระดับนี้มักมีผลกระทบในวงกว้าง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังไม่กล้าเข้าร่วม

ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะสลายความขัดแย้งนี้

“พี่ฉิงเทียน ข้าควรจะต้อนรับเจ้าสำหรับการมาเยี่ยมเผ่าหมัวเฮอให้ดีกว่านี้ แต่ข้าคงทำได้แค่ขอโทษเนื่องจากวันนี้ยุ่งมาก” หมัวเฮอเทียนยังรู้สึกกรุ่นโกรธในใจเมื่อมองเมืองวั้นกู่ที่วินาศวันตะโร เขาไม่คิดที่จะอยู่ต่อ ดังนั้นเขาจึงคารวะฉิงเทียนก่อนที่จะทะยานหายไปในเส้นขอบฟ้า

ผู้อาวุโสของเผ่าหมัวเฮอก็ติดตามไปด้วย

มองหมัวเฮอเทียนที่จากไปฉิงเทียนก็ไม่ใส่ใจ เนื่องจากการมาถึงของเขาทำให้เผ่าหมัวเฮอต้องเสียร่างมหาเทพนิรันดร์ไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เผ่าหมัวเฮอจะรู้สึกโกรธเคือง

ยิ่งไปกว่านั้นการเดินทางมาของเขาไม่ได้เป็นเพราะเรื่องเผ่าหมัวเฮอเท่านั้น

ฉิงเทียนโบกมือมองไปที่มู่เฉินก่อนจะก้าวไปปรากฏตัวต่ออีกฝ่ายพลางยิ้มให้ “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าวังมหาพันภพมีราชันสังหารปีศาจคนใหม่ ในที่สุดข้าก็ได้เจอเจ้า”

ได้พบกับราชันสังหารปีศาจตัวจริงอย่างฉิงเทียน มู่เฉินก็รักษามารยาทไว้อย่างสูงสุด “ผู้อาวุโสฉิงเทียนชมข้าเกินไปแล้ว ท่านน่าจะรู้ว่าสถานะของข้าในฐานะราชันสังหารปีศาจมีน้ำหนักแค่ไหน”

ฉิงเทียนหัวเราะก่อนที่จะตอบว่า “ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดนี่ก็เป็นโชคชะตาของเจ้าที่ได้รับ ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เจ้าก็มีคุณสมบัติที่จะเป็นราชันสังหารปีศาจแล้วจริงๆ”

ในอดีตอาจเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะสังหารจอมปีศาจ แต่ด้วยกายาเซิ่งและร่างมหาเทพนิรันดร์ตอนนี้ เขาก็เทียบเคียงได้กับจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลางปลายสุด ดังนั้นจึงสามารถสังหารจอมปีศาจธรรมดาได้แล้ว

มู่เฉินเผยรอยยิ้มบนริมฝีปากพลางประสานมือ “ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องขอบคุณท่านฉิงเทียน มิฉะนั้นเหตุการณ์นี้คงจะไม่ยุติลงอย่างง่ายดาย”

แม้ว่าเขาจะไม่กลัวหมัวเฮอเทียน แต่เขาก็ไม่ต้องการลากเผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ฉิงเทียนโบกมือไปมาพลางถอนหายใจ “ตราบใดที่สามเผ่าโบราณทำสงครามกันก็จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสู้กันเอง”

หลังจากหยุดคิดชั่วครู่ ฉิงเทียนก็พูดต่อ “แต่นอกเหนือจากการมาหยุดศึกระหว่างเผ่า ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำในการเดินทางครั้งนี้”

เมื่อพูดจบเขาก็โบกมือ แสงสีทองหลายชิ้นพุ่งไปหาชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิง มีแม้กระทั่งสามชิ้นที่พุ่งไปในทิศทางของเผ่าหมัวเฮอ

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งและคนอื่นได้รับแสงสีทองนี้ ท่าทางก็เปลี่ยนไปรุนแรง

“นี่คือ…?” ดวงตาของมู่เฉินกะพริบพร้อมกับความประหลาดใจ เขารู้สึกได้ว่าดูเหมือนจะเป็นเทียบทองคำ…

ฉิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้เจ้าก็มีคุณสมบัติได้รับแล้วเช่นกัน”

ขณะที่พูดแสงสีทองอีกชิ้นก็พุ่งจากแขนเสื้อเขาไปหามู่เฉิน

มู่เฉินกางฝ่ามือออกแสงสีทองก็ตกลง กลายเป็นป้ายสีทองวางไว้

เมื่อมองไปเขาก็เห็นคำโบราณตราตรึงใจ

เทียบทองคำมหาพันภพ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท