หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1509 เจดีย์ยับยั้งขวดหยก

บทที่ 1509 เจดีย์ยับยั้งขวดหยก

ฟู่ ฟู่!

หมอกสีดำและสีขาวอบอวลฟ้าดิน ก่อนที่จะเกิดจุดตัดที่ลึกซึ้งไม่มีที่สิ้นสุด

ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อมองไปที่ขวดหยกบนท้องฟ้าที่กำจายแรงกดดันมหาศาล แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็อดตัวสั่นสะท้านไม่ได้

ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิงไม่น่าดูอย่างยิ่งขณะที่มองขวดหยกบนท้องฟ้าด้วยความหวั่นเกรงเข้มข้น

ขวดหยกนี้เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นเซิ่งของเผ่าหมัวเฮอที่มีพลังไร้ขอบเขต แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดาก็ไม่สามารถเผชิญหน้าได้

ทว่าทุกครั้งที่ใช้อาวุธระดับนี้ก็จะทำให้มันหมดพลังงานลงมาก ดังนั้นถ้าไม่ถึงขั้นวิกฤตก็ไม่มีใครคิดจะใช้มัน

ด้วยเหตุนี้ใบหน้าของพวกเขาจึงเปลี่ยนไปเมื่อเห็นหมัวเฮอเทียนเรียกอาวุธนี้ออกมา

“หมัวเฮอเทียนบ้าไปแล้ว” ไท่หมิงเอ่ยออกมา

สีหน้าของลั่วหลีเปลี่ยนไป นางกำหมัดแน่นแผนภาพเหนือศีรษะนางเริ่มเปล่งรัศมีออกมา

“ลั่วหลีอย่าผลีผลาม แม้ว่าแผนภาพวิญญาณโบราณจะไม่อ่อนแอกว่าขวดมหาเพลิงวารี แต่เจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะดึงพลังออกมาได้เต็มที่ หากฝืนทำก็รังแต่บาดเจ็บเท่านั้น” ไท่หมิงพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นการกระทำของลั่วหลี

ลั่วหลีกัดฟัน ดวงตาอัดแน่นด้วยความไม่เต็มใจ หมัวเฮอเทียนชักจะมากเกินไปแล้ว

“ไม่ต้องกังวล หากมีอะไรเกิดขึ้นกับมู่เฉิน เราไม่ยืนรอดูแน่” ไท่หมิงปลอบใจ เขากลัวใจหญิงสาวคนนี้ที่อาจใช้แก่นโลหิตจนหมดพลังเพื่อกระตุ้นแผนภาพวิญญาณโบราณ ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดผลสะท้อนกลับมากอย่างแน่นอน

ลั่วหลีกำหมัดแน่น สงบใจลงหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางรู้ว่าการฝืนเคลื่อนไหวตอนนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ถ้าหมัวเฮอเทียนล้ำเส้นเข้ามา ไม่ว่าต้องจ่ายราคาเท่าไร นางก็จะยืนเคียงข้างมู่เฉิน

มู่เฉินยืนอยู่กลางอากาศ เขามองไปที่ขวดหยก ม่านตาหดเกร็ง แรงกดดันที่กำจายออกมาจากขวดหยกทำให้เขายังรู้สึกหวั่นใจ

“สมเป็นเผ่าโบราณแท้จริง รากฐานน่าประทับใจยิ่งนัก” มู่เฉินเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ

ตามการคาดการณ์ของเขาพลังของขวดหยกอาจติดอันดับหนึ่งในสิบของมหาพันภพเลยทีเดียว

สายตาของหมัวเฮอเทียนเย็นชาลงขณะส่งเสียงขึ้นจมูกมองไปที่มู่เฉิน ตราประทับวาดขึ้นด้วยมือข้างเดียวขวดมหาเพลิงวารีก็เอียงลง รัศมีสีดำขาวไหลออกมาจากปากขวด

รัศมีสีดำและสีขาวเป็นคลื่นหลิงที่บริสุทธิ์ โดยความเป็นหยินหยางนี้คือตัวแทนของไฟและน้ำแข็ง ขณะที่คลื่นสองสายตัดกันก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น คลื่นหลิงที่แปดเปื้อนก็กลายเป็นสีดำและสีขาวเช่นกัน

ดังนั้นเมื่อตกลงมาก็กลายเป็นมหาสมุทรสีดำขาวก่อนที่จะพลิ้วลงบนลูกทรงกลม

ชี่ ชี่!

พลังงานสองฝั่งปะทะกันเกิดเสียงแหลมเสียดแทงดังขึ้น พลังมหาศาลทั้งสองเสียดสีกันอย่างรุนแรง แต่คราวนี้เมื่อรัศมีสีดำขาวไหลลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนเห็นว่าลูกทรงกลมเริ่มจางลง…

นี่เป็นเพราะพลังงานของลูกทรงกลมถูกผลาญไป

อึดใจหมัวเฮอเทียนก็คำราม เสาสีดำและสีขาวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากระแทกเข้ากับโลกผนึกหนึ่งนิรันดร์

ปัง!

ครั้งนี้เสาทะลุสิ่งกีดขวาง รอยแตกปรากฏบนโลกผนึก ก่อนที่จะระเบิดออกกลายเป็นจุดแสง

เมื่อผู้คนเห็นฉากนี้ก็ต่างตกใจ ยามนี้หมัวเฮอเทียนสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายได้เลยทีเดียว

เผชิญหน้ากับไพ่ตายของหมัวเฮอเทียน มู่เฉินก็ตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบแม้ว่าจะมีร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ตาม เพราะไม่ว่าอย่างไรขุมพลังหลิงของมู่เฉินอยู่ในขั้นเซียนระยะกลางเท่านั้น

หมัวเฮอเทียนยืนอยู่บนไหล่ของร่างเทพมหันต์ แววตาเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาขณะจ้องมองมู่เฉิน เขายื่นฝ่ามือออก ขวดมหาเพลิงวารีก็พลิ้วลงมา ลอยอยู่เหนือฝ่ามือเขา

“ยังไม่ยอมยกร่างมหาเทพนิรันดร์ให้อีกเรอะ?” หมัวเฮอเทียนถามเสียงเย็น

“แกนี่ดูถูกข้าจริงๆ” มู่เฉินตอกกลับ

หมัวเฮอเทียนหลุบตาลงพลางหัวเราะเยาะ “แม้ว่านี่จะไม่ชอบธรรมในการเอาชนะแก แต่เผ่าหมัวเฮอก็ไม่สามารถใส่ใจเรื่องนั้นเมื่อเทียบกับร่างมหาเทพนิรันดร์”

หมัวเฮอเทียนมองไปที่มู่เฉิน คำพูดก็เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ “ถ้าเจ้ายอมมอบให้ เผ่าหมัวเฮอก็จะคืนให้หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยปี”

มู่เฉินส่ายหัวตอบว่า “ร่างมหาเทพนิรันดร์ยอมรับว่าข้าเป็นเจ้าของแล้ว ดังนั้นอย่าหวังว่าข้าจะมอบให้”

ดวงตาของหมัวเฮอเทียนเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าก็ต้องใช้กำลังเอามาเท่านั้น!”

มู่เฉินหรี่ตามองไปที่หมัวเฮอเทียนนิ่ง “แม้ว่าเผ่าหมัวเฮอจะมีรากฐานลึกซึ้ง แต่ก็อย่าคิดว่าวันนี้แกจะกลั่นแกล้งข้าได้”

“ฮ่าๆ”

หมัวเฮอเทียนหัวเราะเสียงเย็นเยียบ ทำเหมือนคำพูดเหล่านั้นเป็นการต่อต้านที่ดื้อรั้นของมู่เฉิน

“ข้าจะดูว่าแกทำอะไรได้อีก!” หมัวเฮอเทียนยกมือขึ้น ขวดมหาเพลิงวารีก็ทะยานออกไปพร้อมกับความผันผวนที่น่ากลัว

“หมัวเฮอเทียน แกอย่าได้ทำเกินไปนะ!”

ในที่สุดชิงเหยี่ยนจิ้งก็ไม่สามารถอดรนทนได้ นางพูดเสียงเย็นชาว่า “รังแกลูกชายข้าต่อหน้าอย่างนี้ คิดว่าข้าไม่อยู่รึไง?”

นางรู้ชัดเจนเกี่ยวกับพลังของขวดมหาเพลิงวารี ซึ่งทำให้หมัวเฮอเทียนมีความสามารถแม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ในเมื่อหมัวเฮอเทียนอยากหาเรื่องใส่ตัวก็ปล่อยเขาไปเถอะ” แต่เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งพูดจบ มู่เฉินก็เอ่ยปากปลอบใจทันที

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนตกใจ หรือว่ามู่เฉินยังมีไพ่ตายใบอื่นที่สามารถเผชิญหน้ากับขวดมหาเพลิงวารีของหมัวเฮอเทียนได้?

แต่จะเป็นไปได้อย่างไร? ภายใต้สภาวะนี้ หมัวเฮอเทียนสามารถปะทะกับจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายสุด แม้ว่ามู่เฉินจะมีกายาเซิ่งบวกกับร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนี้

แม้แต่ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยังงงงวย แต่นางลังเลเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะก้าวถอยหลังเนื่องจากนางเชื่อใจในตัวบุตรชาย ในเวลาเดียวกันก็ดึงคลื่นหลิงผันผวนรอบตัวกลับ

“เจ้าหนูนั่นยังมีวิธีอื่นอีกหรือ? แต่เป็นไปได้ยังไง…?” ไท่หมิงก็พึมพำอย่างสงสัย

ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่ามู่เฉินไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้

“ไอ้เด็กอวดดี!”

หมัวเฮอเทียนกรี้ยวกราดวาดตราประทับขึ้นโดยไม่ลังเล ขวดมหาเพลิงวารีเอียงลงรัศมีระเบิดออกมาพุ่งลงมาที่มู่เฉิน

ภายใต้รัศมีสีดำขาวยามนี้แม้แต่กายาเซิ่งก็สลายเป็นเถ้าถ่าน

ทุกสายตาพุ่งตรงไป

แต่มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่ยังคงสีหน้าสงบและเงยหน้าขึ้นมองไปที่สายธารสีดำและสีขาว เมื่อสายธารเข้ามาในระยะร้อยจั้ง มู่เฉินก็ถอนหายใจเบาๆ และหันกลับไปก่อนที่จะโค้งคำนับให้เจดีย์วั้นกู่ “หมัวเฮอเทียนดื้อดึงนัก ท่านผู้อาวุโสโปรดจัดการด้วย”

ฮึ่ม ฮึ่ม!

เมื่อสิ้นเสียงของมู่เฉิน เจดีย์ก็สั่นแสงเปล่งปลั่งกวาดออกสายธารสีดำและสีขาวถูกดูดเข้าไปในเจดีย์

ตู้ม!

ในขณะเดียวกันเจดีย์ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พริบตาก็ไปปรากฏขึ้นเหนือขวดมหาเพลิงวารี เงาปกคลุมลงมา สุดท้ายขวดหยกก็ถูกดูดเข้าไปในเจดีย์ เจดีย์ร่อนลงจากฟ้ากลับไปสถิตในบริเวณเดิม

ตึง ตึง!

คลื่นกระแทกที่ไม่อาจจินตนาการได้กวาดออกมาจากเจดีย์ซึ่งคงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะสงบลง…

บนท้องฟ้าเมื่อรัศมีสีกำขาวหายไป ขวดหยกก็หายไปเช่นกัน

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีเพียงภาพเจดีย์ลอยสูงขึ้นและลดต่ำลง เมื่อมันกลับไปสถิตที่เดิมทั่วเมืองก็สงบลงแล้ว

ขณะนี้ทุกคนถึงได้หายจากอาการตื่นตะลึง

พวกเขามองท้องฟ้าที่ว่างเปล่าก่อนจะสูดลมเย็นลึกสุดปอด

“อะไรน่ะ?!”

หมัวเฮอเทียนและผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอต่างตกตะลึงพร้อมกับความตกใจสุดขีดพล่านในดวงตา

“เกิดอะไรขึ้น?”

แม้แต่ชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิงก็ตกตะลึงก่อนจะหันไปมองเจดีย์วั้นกู่ ขณะนี้พวกเขาสามารถสัมผัสได้อย่างคลุมเครือถึงพลังลึกลับและทรงพลังที่แทรกซึมออกมาจากเจดีย์

พลังนี้ทำให้จอมยุทธ์อย่างพวกเขายังรู้สึกถึงความกลัว

“พลังนี้…” ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะอุทาน “เทพจักรพรรดินิรันดร์!”

พลังนั้นเกินขีดจำกัดของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ตั้งแต่โบราณกาลจะมีใครทรงพลังเช่นนี้นอกจากเทพจักรพรรดินิรันดร์?!

ริ้วความตกใจเกิดขึ้นชั่วครู่บนใบหน้าของหมัวเฮอเทียน ก่อนจะค่อยๆ คืนสติมองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน “มู่เฉิน แกทำอะไร?! ขวดมหาเพลิงวารีของเผ่าข้าอยู่ที่ไหน?!”

มู่เฉินกวาดสายตามองอย่างเฉยเมยตอบว่า “ในเมื่อเทพจักรพรรดินิรันดร์วางร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ในเผ่าหมัวเฮอ เขาก็ทิ้งวิธีป้องกันไม่ให้เจ้าอ้างสิทธิ์แบบผิดเพี้ยน”

ตอนที่เขาออกจากเจดีย์ จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ก็บอกว่าเขาสามารถใช้พลังงานที่เหลืออยู่ในเจดีย์ได้หากเผ่าหมัวเฮอสร้างปัญหาให้

พลังนั้นถูกทิ้งไว้โดยเทพจักรพรรดินิรันดร์เพื่อหยุดสถานการณ์บานปลายเหมือนในวันนี้ไม่ให้เกิดขึ้น

ตอนแรกมู่เฉินก็ไม่คิดจะใช้ ทว่าหมัวเฮอเทียนทำเกินไป ถึงขนาดนำอาวุธมหสวรรค์ขั้นเซิ่งของเผ่าออกมาอีกด้วย สิ่งนี้บีบให้เขาต้องใช้พลังที่เหลือจากเทพจักรพรรดินิรันดร์

“พลังในเจดีย์วั้นกู่จะคงอยู่เป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่จะสลายไป ในเวลานั้นขวดมหาเพลิงวารีก็จะเป็นอิสระ”

มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอเทียนอย่างเรียบเฉยพูดต่อว่า “ยังคิดจะบีบทางตัวเองอีกไหม?”

ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนกระตุกสองตาแดงก่ำ เขารู้สึกเดือดดาลครั้งแล้วครั้งเล่าในใจ ที่แท้เทพจักรพรรดินิรันดร์ก็ได้ทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลังเพื่อป้องกันเผ่าหมัวเฮอตั้งแต่แรกแล้ว

เขารู้สึกอับอายและเดือดดาลในใจ

“ข้าประมุขเผ่าหมัวเฮอไม่ใช่คนที่เด็กอย่างแกจะตำหนิได้!”

หมัวเฮอเทียนแผดเสียงออกมาแสงเย็นก็กำจายจากดวงตา “วันนี้ข้าจะดูสิว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์ที่ตายไปแล้วจะสามารถปราบปรามเผ่าหมัวเฮอของข้าอย่างไร!

“หากเจ้าต้องการนำร่างมหาเทพนิรันดร์ไปด้วยละก็ สงครามกับเผ่าหมัวเฮอระเบิดแน่!”

เสียงของหมัวเฮอเทียนดังก้องไปทั่วภูมิภาค “เผ่าหมัวเฮอเตรียมพร้อมรบ!”

เมื่อผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอได้ยินเช่นนั้น ก็ปลดปล่อยคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ขอบฟ้าสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งและไท่หมิงเห็นสถานการณ์นี้ สีหน้าก็มืดครึ้มลง หมัวเฮอเทียนเสียสติไปแล้ว!

“งั้นเผ่าฝูถูก็ขอสู้ตายเช่นกัน!” ชิงเหยี่ยนจิ้งหายใจเข้าลึกพลางพูดเสียงเย็นชา

ไท่หมิงถอนหายใจก่อนตอบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เผ่าไท่หลิงก็ต้องเข้าร่วมแล้ว…”

หมัวเฮอเทียนหัวเราะด้วยความโกรธ “ได้ เผ่าหมัวเฮอขอประกาศสงครามกับทั้งสองเผ่าในวันนี้ ข้าจะดูสิว่าพวกเจ้าสามารถทำอะไรกับเผ่าหมัวเฮอของข้าได้บ้าง!”

นอกเมืองวั้นกู่ ทุกคนมีสีหน้าตกใจหวาดผวา สามเผ่าโบราณกำลังจะทำสงครามกันรึ? ถ้าเป็นเช่นนั้นต้องเกิดคลื่นยักษ์กวาดไปทั่วมหาพันภพแน่

เมื่อมองไปที่ฉากนี้ใบหน้าของมู่เฉินก็เย็นชาลง

ตึง!

ทว่าขณะที่บรรยากาศระหว่างฟ้าดินตึงเครียด ทั้นใดนั้นเสียงระฆังโบราณก็ดังก้องมาแต่ไกล…

เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น บรรดาจอมยุทธ์ก็หดตาและเงยหน้าขึ้น

“นี่คือ… ระฆังพันภพแห่งวังมหาพันภพ?”

ภายใต้ความสนใจ ลำแสงก็พุ่งมา ร่างกำยำปรากฏตัวในอุโมงค์มิติ ทำให้เกิดแรงกดดันไปทั่วภูมิภาค

ในเวลาเดียวกันเสียงหนักแน่นก็ดังขึ้น

“โปรดไว้หน้าวังมหาพันภพ หยุดสงครามลงเถิด”

เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเห็นร่างกำยำนี้ ใบหน้าก็เคร่งเครียดลง พวกเขาไม่เคยคิดว่าคนผู้นี้จะมาที่นี่

ราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ—ฉิงเทียน!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท