หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1514 ร่องรอยปีศาจปรากฏ

บทที่ 1514 ร่องรอยปีศาจปรากฏ

สามเดือนผันผ่าน

บรรยากาศในสามเดือนนี้ของมหาพันภพค่อยๆ หนักหน่วง จุดเริ่มต้นก็คือสงครามไร้ที่สิ้นสุดที่เกิดขึ้นระหว่างพรมแดนมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

มากล้นจนกระทั่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูกลายเป็นเป้าโจมตีของจักรวรรดิปีศาจ กองทัพปีศาจนับไม่ถ้วนบุกรุมโจมตีสองขุมกำลังชั้นยอดนี้อย่างบ้าคลั่ง

แม้ว่าการโจมตีจะไม่สามารถสั่นคลอนขั้วอำนาจทั้งสอง เนื่องจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเข้าสั่งการเอง แต่แรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำนี้ก็กระจายไปทั่วโลก

เห็นได้ชัดว่าจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเริ่มเคลื่อนไหวหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี

หลังจากทราบเรื่องนั้นทุกคนในมหาพันโลกก็ต้องหวาดหวั่นในใจ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้สึกกลัว เพราะถึงยังไงชื่อเสียงเผ่าปีศาจก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก พวกมันก่อสงครามโลหิตในสมัยโบราณ ทำให้จอมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนล้มหายตายจากกับสงครามครั้งนั้น

ตอนนี้เผ่าปีศาจกำลังสำแดงตัวอีกครั้งและจะต้องกวาดแม่น้ำโลหิตทั่วมหาพันภพอย่างไม่ต้องสงสัย ทุกสรรพสิ่งจะถูกทำลายล้าง

ทุกคนตระหนักถึงมหันตภัยในรอบหลายหมื่นปีด้วยความกลัว

กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่ ทวีปเทียนหลัว

มู่เฉินมองไปที่จอมยุทธ์ของตำหนักมู่ โดยมีจิ่วโยวและมั่นถัวหลัวเป็นผู้นำ ตอนนี้ตำหนักมู่คือเจ้าทวีปเทียนหลัวแท้จริง ขั้วอำนาจทั้งหมดยอมสวามิภักดิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความสำเร็จของมู่เฉินในเผ่าหมัวเฮอแพร่กระจายออกไป ขั้วอำนาจอื่นที่ยังคงมีความคิดกบฏก็ยอมแพ้ทันที

เนื่องจากพวกเขารู้ว่ามู่เฉินเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว ในแง่ของพลังชายหนุ่มได้ก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของมหาพันภพ เมื่อบวกเข้ากับภูมิหลังการปกครองทวีปเทียนหลัวก็ไม่ใช่ปัญหา

ดังนั้นผู้นำขั้วอำนาจต่างๆ จึงเร่งรุดมาประจำการที่ทวีปเทียนหลัว ช่างเป็นการรวมตัวที่หรูหรายิ่งนัก

“ข้าจะมุ่งหน้าไปยังเนินเขารกร้างทางเหนือ ขอให้ทุกคนปกป้องทวีปเทียนหลัวบ้านของเรา จงระวังตัวตลอดเวลาและเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม” มู่เฉินกวาดมองทุกคนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

การเดินทางครั้งนี้ไม่ราบรื่นแน่ จักรวรรดิปีศาจต่างมิติจะต้องทำทุกอย่างเพื่อทำลายผนึก ดังนั้นจะต้องเกิดสงครามขึ้นอย่างแน่นอนและไม่มีใครรู้ผลลัพธ์ เขาต้องเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในฐานะผู้ปกครอง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเตือนทุกคนให้เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม เพราะพวกเขาจะได้ไม่เดินซ้ำรอยของวังสวรรค์บรรพกาล

“รับทราบ!”

ทุกคนตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึม พวกเขาทราบเกี่ยวกับหายนะที่กำลังเกิดขึ้นในมหาพันภพ เมื่อเผชิญกับมหันตภัยนี้ก็ไม่มีใครคิดโอนอ่อนผ่อนตาม เนื่องจากความผิดพลาดเล็กน้อยอาจทำให้จักรวาลล่มสลายได้

เมื่อเผชิญกับมหันตภัยนี้ พวกเขาต้องละข้อขัดแย้งทั้งหมดลง ยามนี้ผู้นำขั้วอำนาจต่างๆ ในทวีปเทียนหลัวต่างชื่นชมยินดี เนื่องจากพวกเขามีจอมทัพที่ยิ่งใหญ่

มิฉะนั้นถ้าทวีปเทียนหลัวยังไม่รวมเป็นหนึ่งคงจะกลายเป็นทะเลเลือดหากเผ่าปีศาจบุกเข้ามา

ตอนนี้มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ที่เทียบเท่ากับจักรพรรดิฟ้าที่ทรงอำนาจในอดีตแล้ว ภายใต้การนำของเขาทวีปเทียนหลัวจะสามารถต้านเผ่าปีศาจได้ ต่อให้พวกมันจะบุกเข้ามา

ดังนั้นเมื่อยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน ทุกคนก็เกิดความเชื่อมั่นเต็มปรี่ ร่องรอยความเคารพพล่านในใจ

มู่เฉินหันไปรอบๆ มู่เฟิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็ยิ้มกับภาพนี้ ลูกชายของเขาเป็นเพียงเด็กน้อยอ่อนแอที่ไม่มีภูมิหลังใดๆ ตอนที่ออกจากมณฑลเป่ยหลิง แต่ขณะนี้เขามีขุมกำลังของตัวเองและต้องยอมรับว่ามู่เฉินแข็งแกร่งกว่าตนที่เป็นพ่อหลายขุม

แต่นี่ก็ทำให้เขามีความภาคภูมิใจ แม้เขาจะไม่ได้มีพลังแข็งแกร่ง แต่ลูกชายของเขาเป็นมังกรแท้จริงท่ามกลางมังกร

“ท่านพ่ออยู่ที่ตำหนักมู่ช่วงนี้ก่อนนะ” มู่เฉินยิ้ม เขาไปรับมู่เฟิงมาเมื่อเดือนก่อน ไม่ว่าอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็ปลอดภัยกว่าทวีปไป่หลิง

มู่เฟิงพยักหน้ารับรู้ เขาทราบดีว่าภรรยาและลูกชายจะไปที่เนินเขารกร้างทางเหนือ แม้เขาจะไม่มีความสามารถช่วยอะไร แต่อย่างน้อยไม่ให้พวกเขากังวลเป็นห่วงก็เป็นการช่วยอย่างหนึ่ง

“ไอ้หนูจงทำในสิ่งที่ต้องทำ แต่อย่าลืมดูแลแม่และลั่วหลีให้ดี ในฐานะลูกผู้ชายเจ้าต้องแบกรับความรับผิดชอบเหล่านี้” มู่เฟิงตบไหล่มู่เฉิน

มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม บิดาเขาอาจไม่แข็งแกร่งแต่เป็นคนมีความรับผิดชอบสูง ในอดีตชายคนนี้ก็โอบอุ้มปกป้องเขาด้วยสองมือ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมู่เฉินจึงมีนิสัยเช่นนี้เพราะได้รับอิทธิพลจากบิดามานั่นเอง

“ไปกันเถอะ”

มู่เฉินไม่รอช้ามองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งและลั่วหลี

ทั้งสองพยักหน้า ความผันผวนของคลื่นหลิงเพิ่มขึ้นรอบตัว ร่างกลายเป็นร่างแสงสามสายทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หายไปในขอบฟ้า

เมื่อมั่นถัวหลัวและจิ่วโยวเห็นทั้งสามไปแล้วก็สบตากันพร้อมกับความเคร่งเครียดในสายตาของกันและกัน พวกนางรู้ว่าการเดินทางไปยังเนินเขารกร้างทางเหนือในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของมหาพันภพ

เมื่อพวกมู่เฉินเริ่มเคลื่อนไหว

ความผันผวนของคลื่นหลิงจำนวนมากก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งไปที่ขอบฟ้า

เหล่ายอดยุทธ์กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียว…เนินเขารกร้างทางเหนือ

มหาพันภพ แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว

ที่นี่คือทวีปสีแดงเข้มที่มีอุณหภูมิร้อนแรง บางครั้งจะเกิดการปะทุของภูเขาไฟพร้อมกับลาวาพวยพุ่งออกมา

ที่ใจกลางทวีปมีเมืองขนาดใหญ่ในรูปทรงดอกบัวทำให้มีเสน่ห์ที่แปลกประหลาดตา

เวลานี้มีร่างเงายืนอยู่บนแท่นสูงพร้อมกับความดุเดือดเลือดพล่าน นี่ก็คือเทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน

เขากวาดสายมองไปที่นอกทวีป มิติบริเวณนั้นถึงกับบิดเบี้ยวพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากหลั่งไหลออกมา ดูราวกับว่าสายตาเต็มไปด้วยไอสังหารและความโลภกะพริบอยู่ภายใน

“ไอ้พวกปีศาจเล็งเป้ามาที่แคว้นหวู่จิ้งฮั่วของเราจริงๆ” ชายชราหดตาลงที่ด้านหลังเซียวเหยียนพร้อมกับรูปลักษณ์ที่คุ้นเคย เขาก็คืออาจารย์ของเทพจักรพรรดิอัคคี—เย่าเฉิน

“เป็นเพราะสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพ เผ่าปีศาจเลยบุกมาที่นี่เพื่อให้เซียวเหยียนประจำการ” หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างมีรูปร่างเพรียวบางและส่วนโค้งน่าประทับใจที่ดูน่าหลงใหล แม้แต่น้ำเสียงก็ทรงเสน่ห์

นางคือหนึ่งในนายหญิงแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว—ไฉ่หลิง

“ในเมื่อพวกมันตัดสินใจแบบนี้ นั่นก็หมายความว่าพวกปีศาจจะลงมือที่เนินเขารกร้างทางเหนือแน่นอน” หญิงสะคราญโฉมอีกคนกล่าวขณะยืนอยู่ข้างไฉ่หลิง นางสวมชุดสีมรกตมีลักษณะที่โดดเด่น จริตจะก้านดูนิ่มนวล นางก็คือนายหญิงอีกคนของแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว—เซียวซุนเอ๋อ

เมื่อได้ยินคำพูดของฮูหยิน เซียวเหยียนก็พยักหน้าเบาๆ สายตามองไปที่รัศมีปีศาจที่พวยพุ่งขึ้นในมิติ “ออกคำสั่ง แคว้นหวู่จิ้งฮั่วส่งสัญญาณเตือนภัยสีแดง จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนทุกคนเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหว”

ที่เบื้องหลังร่างเงาหนึ่งหายไปพร้อมกับคำสั่ง

ครืนๆๆๆ

เมื่อเซียวเหยียนออกคำสั่ง มิติก็เริ่มปริแตกออกจากกัน ร่างปีศาจนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาเหมือนผีห่าซาตานระบายสีขอบฟ้าจนดำทะมึน

ในเวลาเดียวกันร่างปีศาจขนาดใหญ่สามร่างก็ก้าวย่างออกมาจากรอยแตกพร้อมกับแรงกดดันปีศาจกลืนกินพื้นที่แห่งนี้

เซียวเหยียนเงยหน้าขึ้นยกยิ้ม “อา…สามจอมปีศาจจากสามสิบสองเผ่าใหญ่ ไม่รู้ว่าเผ่าปีศาจกำลังให้ความสำคัญหรือดูถูกข้ากันแน่?”

แคว้นหวู

เทพจักรพรรดิสงครามหลินต้งมองไปที่สัตว์นรกที่หลั่งไหลออกมาจากรอยแตก มีร่างจอมปีศาจสามร่างเผยตัวออกมาเช่นกัน

ที่ข้างหลังเป็นหญิงสะคราญโฉมสองคน คนหนึ่งสวมชุดสีขาวรูปร่างงดงาม นางสวมผ้าคลุมหน้าแต่ก็ไม่สามารถปกปิดส่วนโค้งที่น่าประทับใจได้ ในมือถือกระบี่ยาวสีฟ้าอมเขียวไว้ ช่างคล้ายกับเทพธิดาแห่งดวงจันทร์

อีกคนหนึ่งมีผมยาวสีน้ำเงินเข้ม ผิวกระจ่างใส มีรัศมีเย็นยะเยือกที่ไร้ขอบเขตอบอวล ราวกับว่าความหนาวเย็นนี้สามารถตรึงทุกสิ่งได้

ความเย็นจัดที่ปกคลุมทำให้นางดูราวกับว่าเป็นเด็กสาว

โฉมสะคราญทั้งสองก็คือนายหญิงแคว้นหวูหลิงชิงจู๋และอิ้งฮวนฮวน

“ข้าได้นำจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเผ่าเทพน้ำแข็งมาทั้งหมดแล้ว” เสียงของอิ้งฮวนฮวนดังก้องพร้อมกับสาดความหนาวเย็น

“จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนทั้งหมดภายใต้อาณัติแคว้นหวูพร้อมรับคำสั่งสู้ศึกแล้วเช่นกัน” เสียงนุ่มนวลของหลิงชิงจู๋ดังตามมา

หลินต้งพยักหน้ายื่นมือไปจับมือสตรีทั้งสองพร้อมกับรอยยิ้ม “ไม่คิดว่าเราจะได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเผ่าปีศาจด้วยกันอีกครั้ง”

“ไม่ต้องกังวล หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะใช้ชีวิตนี้ปกป้องเจ้าเอง” หลิงชิงจู๋ยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นใบหน้าของหลินต้งก็ดิ่งลงขณะขอร้อง “ได้โปรดอย่าทำอย่างนั้น ข้าไม่สามารถรับครั้งที่สองไหวแน่”

หลิงชิงจู๋ยิ้ม ส่วนริมฝีปากของอิ้งฮวนฮวนก็จือขึ้นก่อนจะเค้นเสียงเย็น “ไม่เต็มใจขนาดนี้เชียว ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้ให้เจ้ามาช่วยสักหน่อย”

หลินต้งทำได้เพียงยักไหล่

หลังจากที่ทั้งสามคนแหย่กันพอหอมปากหอมคอ ท่าทางของหลินต้งก็กลับมาเป็นปกติ เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างปีศาจทั้งสาม มือยื่นออกมาคทาสายฟ้าก็ปรากฏขึ้น ความคมชัดเพิ่มขึ้นในดวงตาขณะความผันผวนที่น่ากลัวค่อยๆ กวาดออกจากร่างเขา

“ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายเมียรักต่อหน้าข้าได้…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท