ลานสีดำตั้งอยู่ระหว่างภูเขาสุสาน
ซึ่งเอิบอาบไปด้วยรัศมีกดขี่มาจากโลงศพสีดำที่ตรึงไว้ในลานนี้
ใบหน้าของพวกมู่เฉินเคร่งเครียดรุนแรงโดยเฉพาะชิงเหยี่ยนจิ้ง เนื่องจากนางเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งและความสำเร็จในด้านค่ายกลก็ติดอันดับต้นๆ แม้แต่ในมหาพันภพ ดังนั้นนางจึงสามารถบอกได้เลยว่าโลงศพเหล่านี้สร้างรูปแบบค่ายกลที่ทรงพลังอย่างน่ากลัว
ค่ายกลนี้เกินกว่าระดับเซิ่งไปแล้ว
“หากกระตุ้นค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ดับสูญได้” ชิงเหยี่ยนจิ้ง ทอดถอนหายใจด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งในน้ำเสียง ย้อนกลับไปตอนนั้นเทพจักรพรรดินิรันดร์สมเป็นตำนานแท้จริง มิน่าถึงกอบกู้โลกได้
มู่เฉินพยักหน้าตอบว่า “ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้จากสิ่งนี้ว่าเทพปีศาจจักรพรรดิทรงพลังมากถึงขนาดต้องใช้เวลาสี่หมื่นเก้าพันปีในการดับพลังลงจนสิ้นซาก”
แสงเคร่งเครียดวาบขึ้นในดวงตาของชิงเหยี่ยนจิ้งขณะที่ถอนหายใจ “นั่นหมายความว่าเราไม่สามารถปล่อยให้หายนะนี้เป็นอิสระได้”
ขณะที่พวกเขาพูดคุย ผู้พิทักษ์ทั้งสองก็ลงไปบนภูเขาใกล้ขอบลาน วังขนาดใหญ่ตั้งบนภูเขาราวกับสัตว์อสูรขนาดมหึมา
พวกมู่เฉินพลิ้วตัวลงมาที่เบื้องหน้าวัง พวกเขาก็เห็นตัวอักษรยิ่งใหญ่เมื่อเงยหน้ามอง
‘วังมหาพันภพ’
เมื่อมองไปที่วังมหาพันภพ มู่เฉินก็รู้สึกถึงความอันตรายที่ซึมออกมาจากตำหนักราวกับว่ามีชีวิต
“วังมหาพันภพนี้เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมและเป็นสมบัติของวังมหาพันภพ ซึ่งสามารถเดินทางผ่านมิติ ในแง่ของพลังเปรียบได้กับเจดีย์บรรพบุรุษของเผ่าฝูถูเลยทีเดียว” ชิงเหยี่ยนจิ้งอธิบาย
มู่เฉินเข้าใจจนต้องแอบเดาะลิ้น เขาเคยเห็นเจดีย์บรรพบุรุษเผ่าฝูถูและขวดมหาเพลิงวารีเผ่าหมัวเฮอ เขารู้ว่าอาวุธเทพสุดยอดเหล่านี้น่ากลัวเพียงใด แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังเกรงกลัว
ดูเหมือนว่าวังมหาพันภพจริงจังกับครั้งนี้ ถึงขนาดนำสมบัติล้ำค่ามาที่นี่ด้วย
ขณะที่วังมหาพันภพเปิดออก มู่เฉินก็สบตากับชิงเหยี่ยนจิ้ง ทั้งสามก้าวเข้าไป
เมื่อก้าวเข้ามาทิวทัศน์ใหม่ก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา ภายในวังสว่างไสวด้วยโคมไฟ มีที่นั่งโดยรอบข้างหน้าซึ่งจัดวางในลักษณะเป็นวงกลม ช่างคล้ายกับลานฝึกนัก
ทว่ายิ่งเดินลงไปก็ยิ่งมีที่นั่งจำนวนน้อยลง เบาะนั่งก็มีความแตกต่างทั้งสีเทา สีเงินและสีทอง ซึ่งแสดงสถานะที่แตกต่างกัน
ชัดว่าที่นั่งที่อยู่ลึกลงไปด้านล่างงสถานะก็ยิ่งสูงขึ้นตาม
มีเงาจำนวนมากนั่งอยู่บนนั่น ทั้งหมดพรั่งพรูด้วยคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัว ทุกคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน
ทว่าระดับเทียนจื้อจุนที่ถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ในมหาพันภพ กลับกลายเป็นธรรมดาในวังมหาพันภพ ทุกคนเก็บอาการหยิ่งผยองจองขนไว้อย่างมิดชิด
สายตาของมู่เฉินมองไปที่ที่นั่งสีทองก็เห็นร่างคุ้นเคยของราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ—ฉิงเทียน
“ฮ่าๆ ผู้อาวุโสใหญ่ชิงเหยี่ยน ประมุขมู่เฉิน ธิดาเทพลั่วหลี ยินดีต้อนรับ ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับทั้งสามคนด้วยตัวเอง” เมื่อพวกมู่เฉินเข้ามา ฉิงเทียนก็รู้สึกได้ถึงและพูดต้อนรับอย่างอบอุ่น
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉิน ชิ้งเหยี่ยนจิ้งและลั่วหลีก็พยักหน้าด้วยมารยาทให้กับราชันสังหารปีศาจผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วมหาพันภพ
“ทั้งสามนั่งที่เบาะสีทองเลย”
ฉิงเทียนยิ้มชี้ไปที่ที่นั่งสีทองข้างๆ เขา
คำพูดของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นทันที ทุกคนพุ่งความสนใจมาหา แม้ว่าที่นั่งจะดูไม่โดดเด่น แต่ก็เป็นตัวแทนของสถานะในมหาพันภพ
ตามกฎจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้รับอนุญาตให้นั่งบนที่นั่งธรรมดา ขณะที่เบาะสีเงินเป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน สำหรับเบาะสีทองนั้นมีไว้สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งหรือผู้ปกครองที่มีอำนาจสูงสุดเท่านั้น
ในบรรดาทั้งสามคน ชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งและผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู ดังนั้นนางจึงมีคุณสมบัติที่จะมีนั่ง ส่วนลั่วหลีเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิงเทียบได้กับประมุขเผ่าก็มีคุณสมบัติเช่นกัน
ทว่ามู่เฉิน แม้ตอนนี้ตำหนักมู่จะครอบครองทวีปเทียนหลัวแต่รากฐานยังคงอ่อนแอ แม้ว่าข่าวศึกในเผ่าหมัวเฮอจะแพร่กระจายออกไปไกล แต่ผู้คนจำนวนมากที่นี่ก็อยู่ในสันโดษเป็นเวลานาน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทราบเรื่องนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจเมื่อทราบว่าที่นั่งของชายหนุ่มคนนี้เป็นเบาะทองคำ
เมื่อเห็นความวุ่นวายในวังฉิงเทียนก็ยิ้ม “มู่เฉินไม่เพียงแต่เป็นประมุขตำหนักมู่เท่านั้น แต่ยังเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพอีกด้วย ในแง่ขุมพลังก็เทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลาง ที่สำคัญที่สุด…เขาเป็นผู้สืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์คนที่สอง ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติได้รับ”
ทันใดนั้นความโกลาหลก็ระเบิดออกทันที ทุกคนจ้องไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจ
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลังจากเข้าสมาธิไปร้อยปีจะมีจอมยุทธ์เช่นนี้กำเนิดในมหาพันภพ คลื่นลูกใหม่แซงหน้าคลื่นลูกเก่าไปแล้วจริงๆ…” ผู้เฒ่าคนหนึ่งถอนหายใจ
เมื่อเผชิญหน้ากับคำอุทานเหล่านั้น มู่เฉินก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากไป เขาให้ชิงเหยี่ยนจิ้งเดินนำ ขณะที่เขาและลั่วหลีเดินตามหลัง พวกเขาก้าวลงบันไดนั่งบนเบาะสีทองของแต่ละคน
แต่ขณะที่กำลังเดินผ่านเขาก็หยุดชะงักมองเห็นคนคุ้นเคย เมื่อชายคนนั้นสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉินก็ตัวแข็งทื่อ
“ฮ่าๆ จักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไม่คิดว่าท่านจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งด้วย ว่าแต่ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่เฉินยิ้มพลางมองไปที่ชายคนหนึ่งบนเบาะสีทอง
นี่คือจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนที่ครั้งหนึ่งเคยจะฆ่ากันตายกับมู่เฉิน
ย้อนกลับไปตอนนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน ต้องการให้ลั่วหลีเข้ารับตำแหน่งรับใช้ในตำหนัก ซึ่งทำให้เกิดการขัดแย้งกับมู่เฉิน ในท้ายที่สุดมู่เฉินต้องเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมา ไม่เพียงแต่เรื่องนี้จะได้รับการแก้ไข เขายังได้ตำแหน่งนักรบทวีปซีเทียนมาอีกด้วย
ตอนนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์อยู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย ไม่คิดว่าเขาจะบรรลุถึงขั้นเซิ่งระยะต้นได้เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง
พอได้ยินคำพูดของมู่เฉินใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เขียวคล้ำอย่างกระอักกระอ่วน ตอนนั้นมู่เฉินเป็นเพียงมดในสายตาเขาที่ไม่มีค่าต้องสนใจ
แต่เขาไม่คิดมาก่อนว่าภายในเวลาไม่ถึงสิบปีเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ้นน้ำนมที่อยู่ในระดับตี้จื้อจุนจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้ พร้อมกับชื่อเสียงที่เลื่องลือไปทั่วมหาพันภพ
แม้ว่าเขาจะบรรลุขั้นเซิ่ง แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฉินอีกต่อไป หลังจากเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเผ่าหมัวเฮอ
แม้แต่หมัวเฮอเทียนยังไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้ ไม่ต้องพูดถึงตนที่มีขุมพลังนี้เลย
เมื่อนึกถึงความเป็นศัตรูมาก่อนหน้าจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เริ่มไม่สบายใจ สีหน้าท่าทางเคร่งเครียดไปหมด
มู่เฉินกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ยิ้ม “ความเป็นปฏิปักษ์ของเราในอดีตได้รับการแก้ไขแล้ว ตัวท่านก็ไม่ได้เล่นตุกติกอะไรกับตระกูลลั่วเสินอีก ดังนั้นข้าไม่คิดหาเรื่องท่านหรอก”
เมื่อพูดจบเขาก็นั่งบนเบาะสีทองที่ใกล้กับฉิงเทียน
เมื่อมองไปที่ภาพเงาของมู่เฉิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็กัดฟันก่อนจะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ มู่เฉินไม่ใช่มดอีกต่อไป เขาต้องปฏิบัติต่อสิ่งนี้อย่างจริงจัง
เป็นการดีที่สุดที่ความเป็นปรปักษ์จากอดีตจะลบล้างให้หมดสิ้น
เมื่อมู่เฉินนั่งลงบนเบาะก็หลับตาลงไม่สนใจสายตารอบด้าน
หลังจากนั้นก็มีจอมยุทธ์เดินทางมาถึงมากขึ้น เผ่าไท่หลิง เผ่าเฮยเทียนและเผ่าหมัวเฮอก็มาถึงเช่นกัน
หมัวเฮอเทียนเป็นตัวแทนของเผ่าหมัวเฮออยู่แล้ว เมื่อเขาเห็นมู่เฉินใบหน้าก็ไม่น่าดู แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะแก้ปัญหาความไม่พอใจส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงเลือกคารวะให้ฉิงเทียนก่อนจะนั่งลง
มู่เฉินก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับหมัวเฮอเทียน แต่เขามองไปที่ชายร่างกายกำยำที่นั่งบนที่นั่งสีทองไม่ไกล ผิวของชายคนนี้เป็นสีเหลืองมีเส้นเลือดเต้นยุบยับแผ่ซ่านความผันผวนที่น่ากลัว
เหตุผลที่มู่เฉินให้ความสนใจชายคนนี้ก็เพราะว่าเขาเป็นประมุขเผ่าโบราณเผ่าที่ห้า เผ่าหวางกู่—หวางฉิว
เป็นที่ทราบกันดีว่าเผ่าหวางกู่มีความเชี่ยวชาญในการฝึกฝนพลังกาย ภายใต้การรับรู้ของมู่เฉินพลังกายของหวางฉิวก็ถึงระดับกายาเซิ่งเช่นเดียวกับเขา
เมื่อเวลาผ่านไปมีที่นั่งก็เริ่มเต็มจำนวน มองไปที่การรวมตัวนี้แม้แต่มู่เฉินก็ยังตกใจ เพราะทุกคนที่นี่คือยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่
ฟู่ ฟู่!
ขณะที่มู่เฉินกำลังทอดถอนหายใจกับการรวมตัวนี้ จู่ๆ หัวใจของเขาก็โลดขึ้น มวลลมสีดำปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าแล้วพลิ้วลงมาที่เบาะข้างฉิงเทียน
เมื่อมวลลมจางหายไปก็เห็นชายชราผมขาวที่ดวงตาหลุบต่ำราวกับว่าหลับนั่งอยู่บนเบาะนั้น
ชายชราคนนั้นเอิบอาบกลิ่นอายชราภาพราวกับว่าชีวิตดับวูบลงได้ทุกเมื่อ แต่ภายใต้รูปลักษณะนี้กลับมีแรงกดดันน่าเกรงขามปลดปล่อย
เมื่อรู้สึกถึงความกดดันแม้แต่หัวใจของมู่เฉินก็ยังสั่นสะท้าน
เมื่อมองไปที่ชายชราใบหน้าของฉินเทียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมประสานมือให้ “ฉิงเทียนคารวะผู้อาวุโสปู้สื่อ”
ทั้งวังตกอยู่ในความปั่นป่วนทันที ทุกคนจ้องมองไปด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้ก็คือจักรพรรดิอมตะผู้นำของผู้พิทักษ์หมื่นสุสานที่ปกปักเนินเขารกร้างทางเหนือ—ผู้อาวุโสปู้สื่อที่ลึกลับ
ฮึ่ม!
ขณะที่ทุกคนกำลังมองไปที่ชายชรา เสียงกระบี่กรีดแทงก็ดังกังวานขึ้น พวกเขาเห็นกระบี่สีฟ้าเขียวทะยานผ่านไปก่อนที่จะพลิ้วลงมาบนที่นั่งข้างผู้อาวุโสปู้สื่อ
เมื่อแสงสีฟ้าอมเขียวสลายไป ชายในชุดเขียวก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกระบี่มรกตวางบนตัก
เขาเงยหน้ามองทุกคนแล้วยิ้ม “ยกโทษให้ด้วย ข้าชิงซันมาสายไปหน่อย”
เสียงของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นอีกครั้งเมื่อทุกคนมองมา นี่เป็นหนึ่งในสุดยอดจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม ราชันสังหารปีศาจและจักรพรรดิอมตะ
ชิงซัน—เทพกระบี่ชุดเขียว!