หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1516 การรวมตัวของยอดยุทธ์

บทที่ 1516 การรวมตัวของยอดยุทธ์

ลานสีดำตั้งอยู่ระหว่างภูเขาสุสาน

ซึ่งเอิบอาบไปด้วยรัศมีกดขี่มาจากโลงศพสีดำที่ตรึงไว้ในลานนี้

ใบหน้าของพวกมู่เฉินเคร่งเครียดรุนแรงโดยเฉพาะชิงเหยี่ยนจิ้ง เนื่องจากนางเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งและความสำเร็จในด้านค่ายกลก็ติดอันดับต้นๆ แม้แต่ในมหาพันภพ ดังนั้นนางจึงสามารถบอกได้เลยว่าโลงศพเหล่านี้สร้างรูปแบบค่ายกลที่ทรงพลังอย่างน่ากลัว

ค่ายกลนี้เกินกว่าระดับเซิ่งไปแล้ว

“หากกระตุ้นค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ดับสูญได้” ชิงเหยี่ยนจิ้ง ทอดถอนหายใจด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งในน้ำเสียง ย้อนกลับไปตอนนั้นเทพจักรพรรดินิรันดร์สมเป็นตำนานแท้จริง มิน่าถึงกอบกู้โลกได้

มู่เฉินพยักหน้าตอบว่า “ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้จากสิ่งนี้ว่าเทพปีศาจจักรพรรดิทรงพลังมากถึงขนาดต้องใช้เวลาสี่หมื่นเก้าพันปีในการดับพลังลงจนสิ้นซาก”

แสงเคร่งเครียดวาบขึ้นในดวงตาของชิงเหยี่ยนจิ้งขณะที่ถอนหายใจ “นั่นหมายความว่าเราไม่สามารถปล่อยให้หายนะนี้เป็นอิสระได้”

ขณะที่พวกเขาพูดคุย ผู้พิทักษ์ทั้งสองก็ลงไปบนภูเขาใกล้ขอบลาน วังขนาดใหญ่ตั้งบนภูเขาราวกับสัตว์อสูรขนาดมหึมา

พวกมู่เฉินพลิ้วตัวลงมาที่เบื้องหน้าวัง พวกเขาก็เห็นตัวอักษรยิ่งใหญ่เมื่อเงยหน้ามอง

‘วังมหาพันภพ’

เมื่อมองไปที่วังมหาพันภพ มู่เฉินก็รู้สึกถึงความอันตรายที่ซึมออกมาจากตำหนักราวกับว่ามีชีวิต

“วังมหาพันภพนี้เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมและเป็นสมบัติของวังมหาพันภพ ซึ่งสามารถเดินทางผ่านมิติ ในแง่ของพลังเปรียบได้กับเจดีย์บรรพบุรุษของเผ่าฝูถูเลยทีเดียว” ชิงเหยี่ยนจิ้งอธิบาย

มู่เฉินเข้าใจจนต้องแอบเดาะลิ้น เขาเคยเห็นเจดีย์บรรพบุรุษเผ่าฝูถูและขวดมหาเพลิงวารีเผ่าหมัวเฮอ เขารู้ว่าอาวุธเทพสุดยอดเหล่านี้น่ากลัวเพียงใด แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังเกรงกลัว

ดูเหมือนว่าวังมหาพันภพจริงจังกับครั้งนี้ ถึงขนาดนำสมบัติล้ำค่ามาที่นี่ด้วย

ขณะที่วังมหาพันภพเปิดออก มู่เฉินก็สบตากับชิงเหยี่ยนจิ้ง ทั้งสามก้าวเข้าไป

เมื่อก้าวเข้ามาทิวทัศน์ใหม่ก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา ภายในวังสว่างไสวด้วยโคมไฟ มีที่นั่งโดยรอบข้างหน้าซึ่งจัดวางในลักษณะเป็นวงกลม ช่างคล้ายกับลานฝึกนัก

ทว่ายิ่งเดินลงไปก็ยิ่งมีที่นั่งจำนวนน้อยลง เบาะนั่งก็มีความแตกต่างทั้งสีเทา สีเงินและสีทอง ซึ่งแสดงสถานะที่แตกต่างกัน

ชัดว่าที่นั่งที่อยู่ลึกลงไปด้านล่างงสถานะก็ยิ่งสูงขึ้นตาม

มีเงาจำนวนมากนั่งอยู่บนนั่น ทั้งหมดพรั่งพรูด้วยคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัว ทุกคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน

ทว่าระดับเทียนจื้อจุนที่ถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ในมหาพันภพ กลับกลายเป็นธรรมดาในวังมหาพันภพ ทุกคนเก็บอาการหยิ่งผยองจองขนไว้อย่างมิดชิด

สายตาของมู่เฉินมองไปที่ที่นั่งสีทองก็เห็นร่างคุ้นเคยของราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ—ฉิงเทียน

“ฮ่าๆ ผู้อาวุโสใหญ่ชิงเหยี่ยน ประมุขมู่เฉิน ธิดาเทพลั่วหลี ยินดีต้อนรับ ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับทั้งสามคนด้วยตัวเอง” เมื่อพวกมู่เฉินเข้ามา ฉิงเทียนก็รู้สึกได้ถึงและพูดต้อนรับอย่างอบอุ่น

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉิน ชิ้งเหยี่ยนจิ้งและลั่วหลีก็พยักหน้าด้วยมารยาทให้กับราชันสังหารปีศาจผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วมหาพันภพ

“ทั้งสามนั่งที่เบาะสีทองเลย”

ฉิงเทียนยิ้มชี้ไปที่ที่นั่งสีทองข้างๆ เขา

คำพูดของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นทันที ทุกคนพุ่งความสนใจมาหา แม้ว่าที่นั่งจะดูไม่โดดเด่น แต่ก็เป็นตัวแทนของสถานะในมหาพันภพ

ตามกฎจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้รับอนุญาตให้นั่งบนที่นั่งธรรมดา ขณะที่เบาะสีเงินเป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน สำหรับเบาะสีทองนั้นมีไว้สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งหรือผู้ปกครองที่มีอำนาจสูงสุดเท่านั้น

ในบรรดาทั้งสามคน ชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งและผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู ดังนั้นนางจึงมีคุณสมบัติที่จะมีนั่ง ส่วนลั่วหลีเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิงเทียบได้กับประมุขเผ่าก็มีคุณสมบัติเช่นกัน

ทว่ามู่เฉิน แม้ตอนนี้ตำหนักมู่จะครอบครองทวีปเทียนหลัวแต่รากฐานยังคงอ่อนแอ แม้ว่าข่าวศึกในเผ่าหมัวเฮอจะแพร่กระจายออกไปไกล แต่ผู้คนจำนวนมากที่นี่ก็อยู่ในสันโดษเป็นเวลานาน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทราบเรื่องนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจเมื่อทราบว่าที่นั่งของชายหนุ่มคนนี้เป็นเบาะทองคำ

เมื่อเห็นความวุ่นวายในวังฉิงเทียนก็ยิ้ม “มู่เฉินไม่เพียงแต่เป็นประมุขตำหนักมู่เท่านั้น แต่ยังเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพอีกด้วย ในแง่ขุมพลังก็เทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลาง ที่สำคัญที่สุด…เขาเป็นผู้สืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์คนที่สอง ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติได้รับ”

ทันใดนั้นความโกลาหลก็ระเบิดออกทันที ทุกคนจ้องไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจ

“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลังจากเข้าสมาธิไปร้อยปีจะมีจอมยุทธ์เช่นนี้กำเนิดในมหาพันภพ คลื่นลูกใหม่แซงหน้าคลื่นลูกเก่าไปแล้วจริงๆ…” ผู้เฒ่าคนหนึ่งถอนหายใจ

เมื่อเผชิญหน้ากับคำอุทานเหล่านั้น มู่เฉินก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากไป เขาให้ชิงเหยี่ยนจิ้งเดินนำ ขณะที่เขาและลั่วหลีเดินตามหลัง พวกเขาก้าวลงบันไดนั่งบนเบาะสีทองของแต่ละคน

แต่ขณะที่กำลังเดินผ่านเขาก็หยุดชะงักมองเห็นคนคุ้นเคย เมื่อชายคนนั้นสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉินก็ตัวแข็งทื่อ

“ฮ่าๆ จักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไม่คิดว่าท่านจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งด้วย ว่าแต่ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่เฉินยิ้มพลางมองไปที่ชายคนหนึ่งบนเบาะสีทอง

นี่คือจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนที่ครั้งหนึ่งเคยจะฆ่ากันตายกับมู่เฉิน

ย้อนกลับไปตอนนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน ต้องการให้ลั่วหลีเข้ารับตำแหน่งรับใช้ในตำหนัก ซึ่งทำให้เกิดการขัดแย้งกับมู่เฉิน ในท้ายที่สุดมู่เฉินต้องเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมา ไม่เพียงแต่เรื่องนี้จะได้รับการแก้ไข เขายังได้ตำแหน่งนักรบทวีปซีเทียนมาอีกด้วย

ตอนนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์อยู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย ไม่คิดว่าเขาจะบรรลุถึงขั้นเซิ่งระยะต้นได้เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง

พอได้ยินคำพูดของมู่เฉินใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เขียวคล้ำอย่างกระอักกระอ่วน ตอนนั้นมู่เฉินเป็นเพียงมดในสายตาเขาที่ไม่มีค่าต้องสนใจ

แต่เขาไม่คิดมาก่อนว่าภายในเวลาไม่ถึงสิบปีเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ้นน้ำนมที่อยู่ในระดับตี้จื้อจุนจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้ พร้อมกับชื่อเสียงที่เลื่องลือไปทั่วมหาพันภพ

แม้ว่าเขาจะบรรลุขั้นเซิ่ง แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฉินอีกต่อไป หลังจากเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเผ่าหมัวเฮอ

แม้แต่หมัวเฮอเทียนยังไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้ ไม่ต้องพูดถึงตนที่มีขุมพลังนี้เลย

เมื่อนึกถึงความเป็นศัตรูมาก่อนหน้าจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เริ่มไม่สบายใจ สีหน้าท่าทางเคร่งเครียดไปหมด

มู่เฉินกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ยิ้ม “ความเป็นปฏิปักษ์ของเราในอดีตได้รับการแก้ไขแล้ว ตัวท่านก็ไม่ได้เล่นตุกติกอะไรกับตระกูลลั่วเสินอีก ดังนั้นข้าไม่คิดหาเรื่องท่านหรอก”

เมื่อพูดจบเขาก็นั่งบนเบาะสีทองที่ใกล้กับฉิงเทียน

เมื่อมองไปที่ภาพเงาของมู่เฉิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็กัดฟันก่อนจะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ มู่เฉินไม่ใช่มดอีกต่อไป เขาต้องปฏิบัติต่อสิ่งนี้อย่างจริงจัง

เป็นการดีที่สุดที่ความเป็นปรปักษ์จากอดีตจะลบล้างให้หมดสิ้น

เมื่อมู่เฉินนั่งลงบนเบาะก็หลับตาลงไม่สนใจสายตารอบด้าน

หลังจากนั้นก็มีจอมยุทธ์เดินทางมาถึงมากขึ้น เผ่าไท่หลิง เผ่าเฮยเทียนและเผ่าหมัวเฮอก็มาถึงเช่นกัน

หมัวเฮอเทียนเป็นตัวแทนของเผ่าหมัวเฮออยู่แล้ว เมื่อเขาเห็นมู่เฉินใบหน้าก็ไม่น่าดู แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะแก้ปัญหาความไม่พอใจส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงเลือกคารวะให้ฉิงเทียนก่อนจะนั่งลง

มู่เฉินก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับหมัวเฮอเทียน แต่เขามองไปที่ชายร่างกายกำยำที่นั่งบนที่นั่งสีทองไม่ไกล ผิวของชายคนนี้เป็นสีเหลืองมีเส้นเลือดเต้นยุบยับแผ่ซ่านความผันผวนที่น่ากลัว

เหตุผลที่มู่เฉินให้ความสนใจชายคนนี้ก็เพราะว่าเขาเป็นประมุขเผ่าโบราณเผ่าที่ห้า เผ่าหวางกู่—หวางฉิว

เป็นที่ทราบกันดีว่าเผ่าหวางกู่มีความเชี่ยวชาญในการฝึกฝนพลังกาย ภายใต้การรับรู้ของมู่เฉินพลังกายของหวางฉิวก็ถึงระดับกายาเซิ่งเช่นเดียวกับเขา

เมื่อเวลาผ่านไปมีที่นั่งก็เริ่มเต็มจำนวน มองไปที่การรวมตัวนี้แม้แต่มู่เฉินก็ยังตกใจ เพราะทุกคนที่นี่คือยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่

ฟู่ ฟู่!

ขณะที่มู่เฉินกำลังทอดถอนหายใจกับการรวมตัวนี้ จู่ๆ หัวใจของเขาก็โลดขึ้น มวลลมสีดำปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าแล้วพลิ้วลงมาที่เบาะข้างฉิงเทียน

เมื่อมวลลมจางหายไปก็เห็นชายชราผมขาวที่ดวงตาหลุบต่ำราวกับว่าหลับนั่งอยู่บนเบาะนั้น

ชายชราคนนั้นเอิบอาบกลิ่นอายชราภาพราวกับว่าชีวิตดับวูบลงได้ทุกเมื่อ แต่ภายใต้รูปลักษณะนี้กลับมีแรงกดดันน่าเกรงขามปลดปล่อย

เมื่อรู้สึกถึงความกดดันแม้แต่หัวใจของมู่เฉินก็ยังสั่นสะท้าน

เมื่อมองไปที่ชายชราใบหน้าของฉินเทียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมประสานมือให้ “ฉิงเทียนคารวะผู้อาวุโสปู้สื่อ”

ทั้งวังตกอยู่ในความปั่นป่วนทันที ทุกคนจ้องมองไปด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้ก็คือจักรพรรดิอมตะผู้นำของผู้พิทักษ์หมื่นสุสานที่ปกปักเนินเขารกร้างทางเหนือ—ผู้อาวุโสปู้สื่อที่ลึกลับ

ฮึ่ม!

ขณะที่ทุกคนกำลังมองไปที่ชายชรา เสียงกระบี่กรีดแทงก็ดังกังวานขึ้น พวกเขาเห็นกระบี่สีฟ้าเขียวทะยานผ่านไปก่อนที่จะพลิ้วลงมาบนที่นั่งข้างผู้อาวุโสปู้สื่อ

เมื่อแสงสีฟ้าอมเขียวสลายไป ชายในชุดเขียวก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกระบี่มรกตวางบนตัก

เขาเงยหน้ามองทุกคนแล้วยิ้ม “ยกโทษให้ด้วย ข้าชิงซันมาสายไปหน่อย”

เสียงของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นอีกครั้งเมื่อทุกคนมองมา นี่เป็นหนึ่งในสุดยอดจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม ราชันสังหารปีศาจและจักรพรรดิอมตะ

ชิงซัน—เทพกระบี่ชุดเขียว!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท