หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1531 เทพจักรพรรดิปะทะเทพปีศาจจักรพรรดิ (1)

บทที่ 1531 เทพจักรพรรดิปะทะเทพปีศาจจักรพรรดิ (1)

หลังจากที่แซ่ทั้งสองถูกจารึกไว้

ทำเนียบเหนือภพก็ค่อยๆ จางลง ไม่กี่ลมหายใจก็หายไปจนหมด

มีเพียงความกดดันที่ยังคงอยู่ในฟ้าดินที่ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น…

ภายในดินแดนวั้นมู่ สายตาที่ลุกโชนด้วยความเคารพนับไม่ถ้วนหยุดอยู่ที่ร่างทรงพลังของสองเทพจักรพรรดิ ขณะนี้ความกดดันที่เอิบอาบมาจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าเลยทีเดียว

“แม้เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามจะจารึกได้เพียงแค่แซ่ของพวกเขา แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปครึ่งทาง ในแง่ของความแข็งแกร่งก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์แล้ว!”

“ดูเหมือนว่ามหาพันภพจะไม่สิ้นชะตา ในอดีตเทพจักรพรรดินิรันดร์ก็ยืนหยัดสู้กับอันตราย และในวันนี้เราก็ยังมีเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม”

“ด้วยเทพจักรพรรดิทั้งสองในที่สุดมหาพันภพก็มีสุดยอดจอมยุทธ์ที่สามารถเผชิญหน้ากับเทพปีศาจจักรพรรดิได้!”

“…”

เหล่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในดินแดนวั้นมู่เขียนความสุขไว้บนใบหน้า พวกเขารู้สึกสิ้นหวังจากเทพปีศาจจักรพรรดิ เนื่องจากนักรบผู้นี้ทรงพลังเหลือล้น สามารถปราบปรามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายทุกคนได้

แต่ตอนนี้เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามได้จารึกแซ่ไว้บนทำเนียบเหนือภพ แม้ว่าพวกเขาจะทำสำเร็จเพียงครึ่งเดียว แต่ก็เริ่มเข้าสู่พลังงานลึกลับของเอกภพได้แล้ว

การมีอยู่ของทั้งสองไม่ทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังเกี่ยวกับเทพปีศาจจักรพรรดิอีกต่อไป

ในที่สุดพวกเขาก็เห็นแสงสว่างท่ามกลางความสิ้นหวังและความมืดมิด

ทางฝั่งดินแดนวั้นมู่ส่งเสียงโห่ร้องยินดี แต่ทางฝั่งจักรวรรดิปีศาจกลับฉายสีหน้าไม่น่าดู

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทพปีศาจจักรพรรดิที่สาดสายตาน่ากลัวใส่เซียวเหยียนและหลินต้ง เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นี้เกินความคาดหมายของเขาไปไกล

เขาคิดว่าหลังจากการตายของเทพจักรพรรดินิรันดร์จะไม่มีใครในมหาพันภพสามารถหยุดเขาได้ แต่ยามนี้มีจอมยุทธ์สองคนสามารถเขียนแซ่ตนเองไว้บนทำเนียบเหนือภพได้…

“เวรเอ้ย!” จอมปีศาจเซิ่งเทียนกัดฟันกรอดพร้อมกับความโกรธพล่านในดวงตา สถานการณ์นี้เกินแผนการของพวกเขาไปไกล ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามหาพันภพจะต้องตกอยู่ภายใต้กำมือของพวกเขาเมื่อเทพปีศาจจักรพรรดิปรากฏตัว แต่หลังจากที่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามจารึกแซ่ไว้บนทำเนียบได้ พลังของมหาพันภพในปัจจุบันก็แข็งแกร่งกว่าในสมัยโบราณเสียอีก

เนื่องจากในอดีตมหาพันภพมีเพียงเทพจักรพรรดินิรันดร์คนเดียวที่สามารถจารึกชื่อไว้บนทำเนียบ แต่ขณะนี้กลับมีถึงสองคน!

ภายใต้สายตาหลากหลายอารมณ์ เซียวเหยียนและหลินต้งก็เงยหน้าขึ้น พวกเขามองไปที่เทพปีศาจพร้อมกับเสียงราบเรียบสะท้อนออกมา “ดูเหมือนแผนการของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติที่อยากยึดครองมหาพันภพของเราจะล้มเหลวนะ”

ดวงตาของเทพปีศาจกะพริบด้วยแสงอันตรายขณะตอบว่า “พวกแกสองคนทำสำเร็จเพียงแค่ครึ่งเดียว มั่นใจแค่ไหนที่จะพูดคำเหล่านั้นกับข้า?”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น… พวกข้าก็ขอคำชี้แนะจากเทพปีศาจจักรพรรดิหน่อยนะ”

เซียวเหยียนและหลินต้งไม่พูดมาก ฉายยิ้มเฉยเมย จากนั้นแววตาก็เย็นชาลง เทพปีศาจจักรพรรดิคนนี้เป็นผู้นำของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ตราบใดที่พวกเขาสามารถปราบปรามได้ แผนการของพวกปีศาจก็จะล้มเหลว

นอกจากนี้เทพปีศาจคนนี้ก็เพิ่งหลุดออกจากผนึกได้และอยู่ในจุดอ่อนแอที่สุด ดังนั้นจะไม่ลงมือได้อย่างไร ถ้าไม่ปราบกันตอนนี้จะไปจัดการกันตอนไหน?

ทั้งสองไม่ใช่คนที่จะยืดหยุ่น ดังนั้นจึงไม่คิดให้เวลากับเทพปีศาจในการฟื้นตัว ทั้งสองก้าวออกไปคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็รวมตัวกันทันที

ขณะที่เซียวเหยียนทำท่าทางคว้ามือ ดาบหัวตัดคล้ายไม้บรรทัดสีดำปรากฏขึ้นแล้วเฉือนลงไป ทันใดนั้นเพลิงจักรพรรดิที่ร้อนระอุก็พุ่งออกมากลายเป็นรัศมีกว้างใหญ่ไพศาลแผ่ซ่านออกไป

ในเส้นทางที่ดาบใหญ่พาดผ่าน มิติก็ถูกฉีกออก

ส่วนหลินต้งก็กำหมัดแน่นแล้วซัดออกไป เสียงคำรามมังกรดังก้อง กำปั้นสีฟ้าอมเขียวพุ่งข้ามขอบฟ้า

มังกรสีฟ้าอมเขียวคำราม พลังงานแปดสายก็รวมกันอยู่ในปากมังกร ดูเหมือนว่าสามารถทำลายสวรรค์และโลกได้

ยามนี้เมื่อเซียวเหยียนและหลินต้งเปิดการโจมตี ความปั่นป่วนก็เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม แรงกดดันที่แผ่ซ่านเข้ามาจากพวกเขาทำให้แม้แต่สีหน้าเทพปีศาจยังเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

“หึ ข้าจะดูสิว่าจอมยุทธ์ในทำเนียบจะมีความสามารถแค่ไหน!”

เทพปีศาจเค้นเสียงขึ้นจมูก ดวงตาชั่วร้ายที่กลางหว่างคิ้วกะพริบพร้อมกับรัศมีปีศาจพุ่งออกมา

“ปีศาจกินโลก!”

ลำแสงปีศาจพุ่งออกมาจากดวงตาชั่วร้ายขยายออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงคำรามแหลมคมกลายเป็นปีศาจรัตติกาลขนาดมหึมา

ปีศาจตัวนั้นมีรัศมีที่น่ากลัวไหลเวียนอยู่รอบตัวพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความรุนแรงราวกับว่าสามารถทำลายและกลืนกินทุกสรรพสิ่งในโลกได้

วาบ!

เมื่อปีศาจร้ายปรากฏขึ้น ดาบใหญ่ก็ผ่าลงมา

ปีศาจร้ายคำราม กรงเล็บปะทะจังใหญ่กับดาบใหญ่พร้อมกับพลังที่สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายได้อย่างง่ายดาย ลบล้างการดำรงอยู่แบบสิ้นซาก

ชี่!

เมื่อดาบใหญ่กวาดผ่าน ร่างปีศาจร้ายมืดมิดก็ตัวแข็งทื่อก่อนที่เสียงคำรามโหยหวนจะดังก้องในช่วงเวลาต่อมาพร้อมกับกรงเล็บแตกหัก

โฮก!

มังกรสีฟ้าอมเขียวทะยานเข้ามาอ้าปากปล่อยลมหายใจรุนแรงสีรุ้งใส่ปีศาจร้ายตัวมหึมา

ตู้ม ตู้ม!

ขณะที่ปีศาจร้ายคำรามรุนแรงก็บินถลาออกไป แสงที่น่ากลัวบนร่างมันจางลง เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บมาก

การปะทะกันครั้งนี้เทพปีศาจตกอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ เห็นได้ชัดว่าเทียบไม่ได้กับเทพจักรพรรดิทั้งสอง

ภายในดินแดนวั้นมู่เสียงโห่ร้องดังออกมา เหล่าจอมยุทธ์ต่างพากันชื่นชมยินดี

ส่วนทางจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเงียบเสียงลง จอมปีศาจทุกคนแสดงสีหน้าเคร่งเครียด

“พวกแกคิดรังแกข้าในสภาพอ่อนแอที่สุดงั้นเหรอ?”

ดวงตาน่ากลัวของเทพปีศาจมองไปที่ปีศาจร้ายขนาดมหึมาที่กำลังพ่ายแพ้พร้อมกับไอเกรี้ยวกราดกะพริบในดวงตา จากนั้นก็เอี้ยวศีรษะ สะบัดแขนเสื้อ รัศมีปีศาจกวาดออกไปยังปีศาจนับไม่ถ้วนที่อยู่ข้างหลัง

ในเส้นทางของรัศมีปีศาจ ปีศาจนับไม่ถ้วนร่างฉีกออกจากกัน เทพปีศาจกลืนกินเลือดกลั่นของพรรคพวกเข้าไป

อ๊าก!

ภาพที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้สีหน้านักรบเผ่าปีศาจสีหน้าแตกตื่น เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามหนีอย่างไรก็ถูกกลืนกินไปโดยรัศมีปีศาจ

เห็นได้ชัดว่าเพื่อฟื้นฟูพลังของตนเอง เทพปีศาจไม่สนใจวิธีที่ใช้แล้ว

เมื่อเหล่าจอมปีศาจเห็นฉากนี้ก็หดดวงตาลง ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ขัดขวางเนื่องจากรู้ดีว่ามีเพียงเทพปีศาจฟื้นคืนความแข็งแกร่ง ถึงจะมีพลังพอที่จะจัดการกับเทพจักรพรรดิทั้งสองได้

“เผ่าเล็กทั้งหลายฟังคำสั่ง ทุกเผ่าส่งนักรบราชันปีศาจคนหนึ่งเพื่อสังเวย!” เสียงเยือกเย็นของจอมปีศาจเซิ่งเทียนดังก้อง ทำให้นักรบปีศาจหลากหลายเผ่ามีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก

สำหรับเผ่าเล็กการสูญเสียนักรบราชันปีศาจหมายถึงการสั่นคลอนรากฐาน

แต่เผชิญกับความโหดร้ายของประมุขเผ่าใหญ่ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติจะคัดค้าน ดังนั้นนักรบราชันปีศาจทีละคน…ละคนก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าหลังจากความวุ่นวายชั่วครู่

เทพปีศาจพยักหน้าพอใจกับภาพนี้ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ รัศมีปีศาจคำรามและกลืนกินเหล่านักรบราชันปีศาจไป

“ไม่ต้องกังวล หลังจากที่พวกเรายึดครองมหาพันภพได้ ข้าจะชดเชยความสูญเสียของทุกคน” เสียงเยือกเย็นของเทพปีศาจดังก้อง จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึกและกลืนกินแก่นโลหิตที่ลอยอยู่ในอากาศเบื้องหน้า

ตู้ม ตู้ม!

แก่นโลหิตถูกกลืนกินชิ้นแล้วชิ้นเล่า ดวงตาของเทพปีศาจก็เปล่งรัศมีพร้อมกับแสงทรงกลดรัศมีปีศาจปรากฏขึ้นที่ด้านหลังศีรษะเขา แม้แต่รัศมีปีศาจรอบตัวก็ทะยานขึ้นด้วยความเร็วที่น่าตกใจ

ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ แรงกดดันปีศาจที่เกิดจากรัศมีปีศาจก็ทำให้ดินแดนวั้นมู่โยกคลอนรุนแรง

ในดินแดนวั้นมู่ ความปีติยินดีของเหล่าจอมยุทธ์หดหายไป แม้แต่เซียวเหยียนและหลินต้งก็ยังหดดวงตาพร้อมกับท่าทางเคร่งเครียด

รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากกวาดออก ต้านทานแรงกดดันคลื่นหลิงที่มาจากเทพจักรพรรดิทั้งสอง

เมื่อรัศมีปีศาจภายในร่างเทพปีศาจน่ากลัวยิ่งขึ้น มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นดวงตาที่ปิดสนิททั้งสองบนหน้าผากของเทพปีศาจสั่นไหวก่อนจะค่อยๆ เปิดออก

ม่านตาน่ากลัวทั้งห้าเปิดขึ้นพร้อมกัน รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตก็ทำให้หัวคนทุกคนหวาดผวาไปหมด

“ม่านตาทั้งห้าเปิด…”

ปู้สื่อมองไปที่ภาพนี้พร้อมด้วยเสียงแหบดังก้อง “ในสมัยโบราณเทพปีศาจใช้ม่านตาสี่ดวงเท่านั้น…”

ทุกคนใจสั่นสะท้าน นั่นหมายความว่าเทพปีศาจแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนแล้วเรอะ?

ภายใต้สายตาหวาดผวาของทุกคน เทพปีศาจก็ค่อยๆ เหยียดมือออก พลังทำลายล้างพลุ่งพล่านภายในร่างกายทำให้เขาแสดงสีหน้าพอใจ

จากนั้นดวงตาทั้งห้าก็ก้มลงมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้ง

ในเวลาเดียวกันเสียงที่เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดก็ดังก้อง

“พวกแกตายตาหลับโดยไม่ต้องเสียใจที่บังคับให้ข้าใช้ห้าเนตรได้!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท