หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1539 ขั้นสามพิสุทธิ์

บทที่ 1539 ขั้นสามพิสุทธิ์

ตู้ม ตู้ม!

คลื่นหลิงรุนแรงก่อตัวขึ้นเป็นมังกรสายฟ้า เสียงคำรามสะท้อนก้องระหว่างฟ้าดินทำให้ดินแดนวั้นมู่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

ที่ใจกลางพายุทอร์นาโดหลิงเสื้อผ้าของมู่เฉินปลิวว่อนจากแรงลม ขณะที่แสงหลิงแผ่ออกมาจากร่างกายเขาพร้อมกับคลื่นความกดดันทรงพลังก็ซ่านตามออกมา

นั่นคือแรงกดดันของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!

เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านมู่เฉินก็แสดงออกอย่างตื่นเต้นก่อนจะค่อยๆ สงบลง เขารู้ดีว่าการมาถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเป็นเพียงก้าวแรก วิชาสามพิสุทธ์ขั้นสามต่างหากคือเป้าหมายสูงสุดของเขา

มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ มือประสานกัน “สามพิสุทธิ์!”

เมื่อร่างแสงสองร่างพุ่งออกจากร่างเขาก็นั่งลงล้อมรอบร่างเทพจักรพรรดินิรันดร์เป็นรูปสามเหลี่ยมพลางยื่นมือออกไปแตะลำตัวร่างตรงกลาง

แรงดูดทรงพลังพลุ่งพล่านออกมา

ครืนๆๆๆ!

เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตจากร่างจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างรอง ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านขณะที่พวกเขาดูดซับพลังงานเต็มกำลัง

การดูดซับโดยทั้งสามในเวลาเดียวกัน ประสิทธิภาพเร็วกว่าเมื่อก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย

มู่เฉินไม่มีสีหน้าใด แต่เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเมื่อเกิดกระบวนการเสริมสร้างพลังอย่างรวดเร็วภายในร่างรองทั้งสอง ความยากในการควบคุมจะเริ่มยากขึ้น

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้หยุด ตรงกันข้ามเขากลับเร่งอัตราการดูดซึมแทน

เขามองไปที่ร่างรอง จากนั้นก็หลับตารอให้ทั้งสองถึงขีดสุด

ซึ่งการรอกินเวลาไปทั้งหมดหกเดือน

ครึ่งปีต่อมามู่เฉินก็ลืมตาขึ้นมองไปที่ร่างรองทั้งสอง ในขณะนี้ร่างรองครอบคลุมไปด้วยรัศมีหลิงที่น่าสะพรึงกลัว ดวงตาของพวกเขาแผ่ซ่านไปด้วยแรงกกดดัน

ภายใต้เจตจำนงของเขา คลื่นหลิงที่เอิบอาบออกมาจากร่างรองก็แข็งแกร่งกว่าร่างหลักไปเล็กน้อย

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ว่าการควบคุมที่เขามีต่อร่างรองอ่อนแอลงมากเลยทีเดียว

ทว่ามู่เฉินยังคงสีหน้าสงบราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“อีกนิด”

มู่เฉินพึมพำมือประสานเข้าหากันทันที ร่างมหาเทพนิรันดร์ปรากฏออกมา เข้าสวมร่างของเขา

“ทักษะเหยินฝ่าเหอยี!”

ตอนนี้มู่เฉินอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว ดังนั้นเมื่อเขาใช้ทักษะเหยินฝ่าเหอยีก็จะราบรื่นกว่าเมื่อหลายปีก่อนมาก

เมื่อรัศมีพร่างพราวเปล่งออกมาจากร่างกายเขา ร่างรองทั้งสองก็เปล่งแสงจ้า ขณะที่พลังงานของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง

ตู้ม ตู้ม!

ร่างกายของพวกเขาผันผวนพร้อมกับแสงวูบวาบในดวงตา ราวกับว่ามีบางอย่างที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น

สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อน ดวงตาของมู่เฉินก็เปล่งประกาย ขณะนี้การเชื่อมโยงที่เขามีกับร่างรองทั้งสองคลุมเครือมากยิ่งขึ้น

เมื่อปู้สื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าก็อดเปลี่ยนไปไม่ได้ “เจ้าหนูกำลังทำอะไร? ถ้าร่างรองมีพลังมากเกินไป เขาไม่กลัวพวกมันหลุดจากการควบคุมหรือ?”

นัยน์ตาของมู่เฉินราวกับบ่อน้ำลึก ขณะมองไปที่ร่างรองทั้งสอง เขาสามารถเข้าใจได้อย่างเลือนรางว่าแม้ความเชื่อมโยงระหว่างกันจะคลุมเครือ แต่ก็ยังลึกซึ้งมาก เพราะถึงอย่างไรร่างรองทั้งสองของเขาไม่ได้สร้างขึ้นด้วยวัตถุ แต่ถูกแยกออกจากร่างกาย

“สองขั้นของวิชาสามพิสุทธิ์สร้างร่างรองขึ้นมา แต่ก็มีการแบ่งลำดับขั้น ดังนั้นหากร่างหลักตายร่างรองก็จะสลายไป นี่ไม่ใช่ขอบเขตสูงสุดของวิชาสามพิสุทธิ์”

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบด้วยความเข้าใจในขณะที่พึมพำต่อ “เพื่อไปให้ถึงขั้นสามพิสุทธิ์ในตำนาน ข้าจะต้องกำจัดการเชื่อมต่อนี้ เข้าสู่ขั้นที่ไม่มีการแบ่งแยก ข้าคือร่างรอง ร่างรองคือข้า”

เมื่อมองไปที่ร่างรอง รอยยิ้มก็เพิ่มขึ้นบนริมฝีปากขณะยกมือที่มีรัศมีลึกลับขึ้นเบาๆ

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราเป็นหนึ่งเดียวกัน หากใครต้องการฆ่าข้า พวกมันจะต้องทำลายถึงสามศพ”

คำพูดนี้หมายความว่าหากใครต้องการฆ่ามู่เฉิน การฆ่าร่างหลักเพียงอย่างเดียวจะไม่ทำให้เขาตาย เว้นแต่ทั้งสามจะถูกกำจัดในเวลาเดียวกัน

พูดจบ มือของมู่เฉินก็ค่อยๆ เฉือนลงไป ร่างมู่เฉินชุดดำสั่นสะท้านก่อนที่รอยยิ้มคุ้นเคยจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก ซึ่งเป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับร่างหลักเลยทีเดียว

เขาประสานมือยิ้มให้กับมู่เฉิน

มู่เฉินยิ้มตอบ จากนั้นก็เฉือนมืออีกครั้งด้วยเส้นวิถีที่แปลกประหลาด

แสงพวยพุ่งออกมาจากดวงตามู่เฉินชุดขาว รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเขา “นี่…คือขั้นสามพิสทุธิ์”

มู่เฉินยิ้มบาง ขณะนี้รู้สึกว่าตนเองสูญเสียการควบคุมร่างรองหมดแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สามารถควบคุมร่างรองได้ ทั้งสามเป็นคนคนเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องควบคุมอีกต่อไป

ขณะที่มู่เฉินยกมือขึ้นอีกครั้ง สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้เพิ่มขึ้นในหัวใจทำให้เขาเข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง

นี่กินเวลานานถึงครึ่งวัน โดยมีมู่เฉินชุดขาวและชุดดำยืนอยู่เคียงข้าง

ต่อมามู่เฉินก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่ร่างรองทั้งสองซึ่งพวกเขาก็พยักหน้าตอบ

มู่เฉินยกมือขึ้นเฉือนลงมาอีกสองครั้ง

ขณะที่เขาสะบัดลง ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน ลำแสงสีทองสองสายยิงออกมาจากศีรษะพุ่งออกจากดินแดนวั้นมู่อย่างรวดเร็ว

สายตามองไปที่ลำแสงสีทองทั้งสองสายเป็นเวลานานก่อนที่จะดึงกลับมา

ฟิ้ว!

ปู้สื่อทะยานเข้ามามองไปที่มู่เฉินทั้งสาม แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตกใจ

เนื่องจากเขาไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างร่างหลักและร่างรองได้แล้ว

“ขอแสดงความยินดีที่ประสบความสำเร็จในขั้นสามพิสุทธิ์” ปู้สื่อกล่าวด้วยความชื่นชม ในน้ำเสียงมีความเคารพแฝงอยู่

แม้ว่าตอนนี้มู่เฉินจะมีขุมพลังขั้นเซิ่งระยะต้นเท่านั้น แต่ก็ให้ความรู้สึกกดดันกับเขา นี่ทำให้เขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้กับมู่เฉินภายใต้สภาวะนี้

ในบางแง่มุมพลังการต่อสู้ของมู่เฉินมาถึงระดับเดียวกับเซียวเหยียนและหลินต้งแล้ว

ทันใดนั้นปู้สื่อก็โบกมือ ลำแสงสองสายตกลงที่เบื้องหน้าทั้งสามคน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองดอกบัวหินสองดอกที่มีร่างสองร่างอยู่ในนั้นซึ่งกำจายไปด้วยกลิ่นอายโบราณ

ร่างหนึ่งกำลังเปล่งรัศมีเทพที่ให้ความรู้สึกราวกับว่าจะไม่ถูกทำลายแม้ว่าโลกจะล่มสลาย

อีกร่างหนึ่งกำจายความผันผวนของคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตซึ่งทำให้มู่เฉินตกตะลึง

“นี่คือร่างมหาเทพปฐมกาลในตำนาน—ร่างมหารัศมีอนันด์ที่มีการป้องกันไม่มีใครเทียบและร่างมหาปราชญ์วิญญาณที่มีพลังงานไร้ขอบเขตเหรอ?” มู่เฉินมองไปที่ร่างมหาเทพทั้งสองที่แผ่ซ่านความผันผวนโบราณ เขาอดไม่ได้ที่จะมีระลอกคลื่นในสายตาขณะที่ดวงตาลุกโชน

ปู้สื่อถอนหายใจมองไปที่ร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสอง มหาพันภพเหลือร่างมหาเทพในตำนานเพียงห้าร่างเท่านั้นและสามในห้าก็มารวมอยู่ที่นี่ หากข่าวนี้กระจายออกไปใครจะรู้ว่าจะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่เพียงใดในมหาพันภพ

หากไม่ใช่เพราะมหาพันภพเผชิญกับภัยคุกคามทำลายล้างใหญ่หลวง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรวบรวมร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสามเข้าด้วยกัน

เมื่อไตร่ตรองว่าถ้ามู่เฉินประสบความสำเร็จในการชำระร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสามได้ กระทั่งปู้สื่อก็อดตกตะลึงไม่ได้ ร่างมหารัศมีอนันด์มีความโดดเด่นในการป้องกัน ส่วนร่างมหาปราชญ์วิญญาณมีพลังงานหลิงไม่มีสิ้นสุด เมื่อจับคู่กับความเป็นอมตะของร่างมหาเทพนิรันดร์ก็มีความเป็นไปได้มากที่มู่เฉินจะก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์คนที่สามบนทำเนียบเหนือภพ

“ราชันมู่ ร่างมหารัศมีอนันด์และร่างมหาปราชญ์วิญญาณขอส่งมอบให้เจ้า ตอนนี้ทุกคนฝากความหวังไว้ที่เจ้าแล้ว” ปู้สื่อกล่าว

“ข้าจะทำให้ดีที่สุดแน่นอน!”

มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งขรึม เพื่อให้เขากลายเป็นจอมยุทธ์บนทำเนียบคนที่สาม มหาพันภพมอบโอกาสที่หายากให้ ในเมื่อเขาได้รับโอกาสนี้ก็ต้องแบกรับภาระยิ่งใหญ่ไว้

เมื่อเขามองไปที่ร่างรองทั้งสอง พวกเขาก็ฉายสีหน้าเคร่งเครียดพลางพยักหน้า

ฟิ้ว!

อึดใจต่อมาทั้งสองก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พลิ้วตัวลงบนแท่นดอกบัวก่อนที่จะเดินเข้าหาร่างมหาเทพทั้งสอง จากนั้นก็สัมผัสถึงกัน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท