หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1559 หนึ่งในใต้หล้า

บทที่ 1559 หนึ่งในใต้หล้า

ม่านแสงโบราณเชื่อมต่อกับโลก

ร่างเงาทั้งห้าเปล่งด้วยรัศมีสดใสใต้ทำเนียบเหนือภพ ทั้งห้าคนราวกับดวงอาทิตย์ห้าดวงขณะที่แผดแสงไปทั่วหล้า

สายตาของทุกคนในมหาพันภพรวมกันอยู่บนร่างเงาทั้งห้าในขณะนี้

มู่เฉินหายใจเข้าลึก คลื่นหลิงภายในร่างกายก็พุ่งสูงขึ้นก่อนที่จะรวมอยู่ที่ปลายนิ้ว ทั้งนิ้วเต็มไปด้วยความผันผวนที่น่าสะพรึง

ตู้ม!

ในเวลาเดียวกันร่างรองทั้งสี่ก็สร้างตราประทับด้วยมือข้างเดียว หมุนเวียนคลื่นหลิงโดยไม่รั้งรอ อึดใจต่อมากระแสพลังสี่สายที่ราวกับแม่น้ำดวงดาวก็พุ่งออกมาจากร่างของพวกเขาไปรวมกันที่ปลายนิ้วของมู่เฉิน

เมื่อพลังงานไร้ขอบเขตบรรจบกัน นิ้วของมู่เฉินก็เริ่มสั่นสะท้าน ยามนี้หากเขาขยับมือเพียงเล็กน้อยก็จะลบพิภพเขตล่างแห่งหนึ่งไปได้เลย

สัมผัสถึงพลังน่ากลัวมารวมกันที่นิ้ว ดวงตาของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ เวลานี้เขาไม่เหลือความลังเลอีกต่อไป นิ้ววางลงบนทำเนียบเหนือภพ

เมื่อมู่เฉินแตะปลายนิ้วก็รู้สึกถึงการกีดขวางที่ไม่สามารถเจาะเข้าไปได้ ม่านกั้นลึกลับและทรงพลัง แม้จะดูเบาบาง แต่ก็มีพลังที่น่ากลัวทำให้มู่เฉินไม่สามารถทิ้งนิ้วลงไปได้

ดวงตาของมู่เฉินเปลี่ยนไปเป็นเฉียบคมขณะหมุนเวียนพลังงานอย่างรุนแรง แม้แต่บาดแผลก็เปิดขึ้นบนนิ้ว เลือดหยดลงพร้อมกับนิ้วสั่นไหวไปหมด

แต่ไม่ว่ามู่เฉินจะพยายามอย่างไรม่านกั้นก็ยังมั่นคง เขาไม่สามารถผ่านอุปสรรคไปได้ นั่นหมายความว่าเขาจะไม่สามารถเขียนชื่อเต็มไว้บนทำเนีบเหนือภพ…

“ฮ่าๆๆๆ ข้าบอกแล้วว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝากชื่อเต็มไว้บนกระดานเส็งเคร็งนั่น แม้ว่าแกจะแตกตัวเป็นแฝดห้า มิหนำซ้ำแต่ละคนยังมีร่างมหาเทพสั่วๆ แต่ก็ยังมีช่องว่างอยู่ระดับหนึ่ง!” เทพปีศาจเยาะเย้ยขณะแสงเย็นวูบไหวในดวงตา

ด้วยสายตาร้ายกาจเขาสามารถบอกได้เลยว่ามู่เฉินอาจมีพลัง แต่ก็ยังขาดอีกนิดที่จะทำให้สำเร็จ

หลินต้งและเซียวเหยียนถอนหายใจพร้อมกัน ยากเหลือเกินที่จะจารึกชื่อแท้จริงไว้บนทำเนียบเหนือภพ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมในอดีตถึงไม่มีจอมยุทธ์คนใดบรรลุเป้าหมายนี้

ในมหาพันภพ ในดวงตาของทุกคนเหลือความหวังริบหรี่แล้ว

ภายในสำนักศึกษาเป่ยชาง

ทุกคนจับจ้องไปที่หน้าจอ เมื่อเห็นมือของมู่เฉินสั่นเบื้องหน้ากระดาน หยดเลือดไหลลงมาเป็นทางแต่ก็ยังไม่สามารถทิ้งลงได้ก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

“ช่างเป็นเรื่องยากเกินไป” เสิ่นชังเสิงพูดความคิดออกมา แม้ว่าเขาจะนึกไม่ออกถึงระดับนั้น แต่เขาก็บอกได้ว่ายากแค่ไหนโดยตัดสินจากความพยายามของมู่เฉิน

“มู่เฉิน…สู้เขา!” เวินชิงเฉวียนกัดริมฝีปากพร้อมกับกำมือแน่น

“พี่ใหญ่มู่เฉินเอาเลย! ท่านต้องทำสำเร็จ!” เยี่ยนสุนเอ๋อขบฟันขณะที่ร้องลั่นด้วยหัวใจที่เต้นแรง

ทวีปเทียนหลัว ตำหนักมู่

มู่เฟิง จิ่วโยว หลิงซีและมั่นถัวหลัวยืนอยู่หน้าสำนักมองไปที่หน้าจอบนท้องฟ้า หัวใจแต่ละดวงสั่นสะท้าน

“ไอ้ลูกชาย” มู่เฟิงมองไปที่ร่างเงานั้นด้วยดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง เด็กน้อยที่เขาต้องโอบอุ้มปกป้องในมณฑลเป่ยหลิงมาถึงจุดสูงสุดที่ไกลเกินนึกถึง แต่เขารู้ว่ามู่เฉินกำลังทุ่มชีวิตเพื่อปกป้องทุกคน

“ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว เจ้าคือความภาคภูมิใจของพ่อเสมอ”

ทวีปหลิงหมัว ลั่วหลีมองไปที่พิภพเขตล่างพึมพำว่า “มู่เฉินไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ข้าจะติดตามเจ้าไปทุกหนแห่ง”

ภายในพิภพเขตล่าง มู่เฉินมองหยดเลือดที่ไหลลงมาจากนิ้วและรู้ว่าทั่วทั้งจักรวาลกำลังมองมาที่เขา

เขาคือความหวังสุดท้ายของทุกคน หากเขาล้มเหลว ก็จะต้องสู้ตายพร้อมกับหลินต้งและเซียวเหยียนเพื่อลากเอาเทพปีศาจลงนรกไปพร้อมกัน

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึก หันกลับมามองร่างรองทั้งสี่พยักหน้าให้ “พี่น้องได้โปรดช่วยข้าหน่อยนะ”

ร่างรองทั้งสี่สบตากันก่อนจะยิ้ม “เราเป็นหนึ่งเดียวทำไมจะต้องพูดว่า ‘ได้โปรด’ ด้วย”

มู่เฉินยิ้มก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนไป อึดใจเสียงทุ้มต่ำก็ดังออกมาจากปาก

“วิชาสามพิสุทธิ์ รวมขั้นสุด!”

เมื่อเสียงของเขาดังก้องทุกคนที่มองมาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่างรองทั้งสี่ลุกเป็นไฟ

เพียงสิบกว่าลมหายใจร่างรองทั้งสี่ก็ถูกแผดเผาก่อนจะกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าสู่ร่างกายของมู่เฉิน

มู่เฉินหลับตาลงฉายสีหน้าเคร่งเครียด

เมื่อมาถึงขั้นสามพิสุทธิ์ เขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ที่สุดของทักษะ พูดตามตรงมีอีกขั้นที่ไปไกลกว่านั้น

เป็นการรวมที่เรียกว่า—-รวมขั้นสุด

แต่เมื่อเขาเสร็จสิ้นกระบวนการรวมนี้ร่างรองจะหายไป นั่นหมายความว่ามู่เฉินจะสูญเสียรากฐานนั่น

“เริ่มจากหนึ่ง ลงท้ายด้วยหนึ่ง” มู่เฉินพึมพำ ทันใดนั้นดวงตาก็เปิดออกกะทันหัน

ตู้ม!

เมื่อดวงตาเปิดออก พายุหลิงทรงพลังก็ระเบิดออกมาทำให้หลินต้งและเซียวเหยียนเปลี่ยนสีหน้า แม้แต่หัวใจของเทพปีศาจก็ยังสั่นสะท้าน

นิ้วสั่นไหวของมู่เฉินหยุดลง สายตามองไปที่กระดานโบราณด้วยดวงตาเปล่งประกาย จากนั้นก็วาดนิ้วอีกครั้ง

ฮึ่ม!

เมื่อเขาจรดปลายนิ้วเสียงก็ดังกึกก้องไปทั้งจักรวาล

สีหน้าเคร่งขรึมฉายขึ้น ปลายนิ้วของมู่เฉินค่อยๆ เหยียดไปที่กระดาน รัศมีกีดขวางผันผวนเป็นแนวต้านสุดท้าย

แกร็ก!

ทว่าการต่อต้านก็คงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทุกคนได้เห็นแสงเริ่มกลั่นตัวบนกระดาน

นิ้วของมู่เฉินพลิ้วไหวพร้อมกับทุกเส้นสายลากต่อเนื่องตวัดขึ้น

ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ทำเนียบเหนือภพขณะที่อักขระกำลังค่อยๆ ถูกเขียนหลังคำว่า ‘มู่’

‘เฉิน!’

เมื่อถึงจังหวะสุดท้ายทั้งจักรวาลก็เงียบงัน

ทำเนียบเหนือภพเจิดจรัส ส่องแสงไปทั่วทุกมุมของมหาพันภพ

ทุกคนมองไปด้วยความไม่เชื่อ ชื่อที่สมบูรณ์ถูกสร้างขึ้น แรงกดดันที่เอิบอาบเข้ามาทำให้พวกเขาอยากคุกเข่าลงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า

รัศมีเปล่งประกายไม่มีที่สิ้นสุดห่อหุ้มร่างมู่เฉินไว้ ยามนี้เขารู้สึกได้ถึงการรับรู้ที่แพร่กระจายไปทั่วจักรวาล

เขาสามารถเห็นความสุขบนใบหน้าของศิษย์น้องในสำนักศึกษาเป่ยชาง สามารถเห็นเสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทง เวินชิงเฉวียนและถังเชี่ยนเอ๋อ…

เขายังเห็นความตื่นเต้นของมู่เฟิง จิ่วโยว มั่วถัวหลัวและหลิงซีที่ตำหนักมู่…

ขณะนี้ความรู้แจ้งแท้จริงของการควบคุมพุ่งขึ้นภายในหัวใจราวกับว่าทั้งมหาพันภพอยู่ในความรู้แจ้งของเขาหมดแล้ว

ราวกับว่าเขาเป็นจักรพรรดิ

มู่เฉินกำมือแน่นเสียงสะท้อนก้อง “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไประดับที่อยู่เหนือขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะถูกเรียกว่าระดับจู๋ไจ่”

คำพูดช่างฟังดูเหมือนคำสั่ง

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่อักขระสีทองที่อยู่บนกระดาน จากนั้นเสียงเขาก็ดังก้องในโสตประสาทของทุกคนในมหาพันภพ

“ในมหาพันโลกทุกคนต่อสู้เพื่อเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และข้า-คือ-หนึ่งในใต้หล้า—ต้าจู๋ไจ่!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท