หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1552 สงครามที่ใกล้เข้ามา

บทที่ 1552 สงครามที่ใกล้เข้ามา

ร่างลั่วหลีเต็มไปด้วยเหงื่อชื้น

ขณะที่นางแนบอยู่บนร่างของมู่เฉิน ไฟเสน่หาเติมเต็มจนไม่อาจจินตนาการได้ แพขนตาของนางกะพริบขึ้นลง

เมื่อมองไปที่หญิงสาวคนรักในอ้อมกอด มู่เฉินก็ลูบหลังบางสัมผัสถึงผิวอ่อนนุ่ม เมื่อรับรู้ว่านางเกาะเกี่ยวเขาไว้อย่างไร ความรู้สึกอ่อนโยนก็กวนตัวในหัวใจ

ลั่วหลีกะพริบตามองไปที่มู่เฉินด้วยความเขินอาย

“คนร้าย! ไหนบอกว่าจะทำแบบนี้ในวันแต่งงานไง…” ลั่วหลีกัดริมฝีปาก อดไม่ได้ที่จะหยิกมู่เฉินไปหนึ่งที

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็ได้แต่ยิ้มแห้งพลางกกกอดหญิงสาวไว้แนบอกแน่นขึ้น

ลั่วหลีมุดหน้าลงไปในหน้าอกของเขา ขณะที่นางลูบหน้าท้องมองไปที่มู่เฉินอย่างอ่อนโยน ก่อนจะถามว่า “เจ้าชอบลูกชายหรือลูกสาว?”

คำถามของนางทำให้มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะยิ้มกว้าง “ลูกสาวสิ เพราะจะได้โตมาสวยเหมือนแม่”

ปากลั่วหลีเชิดขึ้นขณะกอดคอมู่เฉิน “ถ้างั้นจะตั้งชื่อลูกสาวว่าอะไรดี?”

หลังจากครุ่นคิดสั้นๆ มู่เฉินก็มีความสนใจขึ้นขณะแนะนำ “เรามาตั้งคนละอักษรดีกว่า”

“ตัวข้าชื่อเฉินแปลว่าเล็กเหมือนละออง ข้าเชื่อว่าตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่ต้องการให้ข้าเป็นคนธรรมดาและมีชีวิตที่สงบสุข” มู่เฉินยิ้มขณะลูบไล้หน้าท้องของลั่วหลีอย่างอ่อนโยน “แต่สำหรับลูกสาวของข้ามู่เฉิน ข้าหวังว่านางจะดำรงอยู่เหนือล้ำล่องลอยสูงไปบนก้อนเมฆ ดังนั้นข้าอยากใช้คำว่า ‘หยุน’…”

ลั่วหลีเผยรอยยิ้มพิมพ์ใจเอี้ยวหน้ากล่าวว่า “ข้าหวังว่าความมืดจะจากไปพร้อมกับแสงสว่างสาดส่องอีกครั้งในมหาพันภพ ดังนั้นถ้าเรามีลูกสาว ข้าจะใช้คำว่า ‘ซี’…”

ซีหมายถึงแสง

มู่เฉินยิ้มบางพลางพยักหน้า “งั้นถ้าเรามีลูกสาว… เราจะเรียกเจ้าตัวเล็กว่ามู่หยุนซี ถ้าเป็นลูกชายก็ตั้งชื่อให้เรียบง่ายอย่างมู่ถู่หรือมู่สือก็ได้”

“ทำไมเจ้าเห็นลูกสาวสำคัญกว่าลูกชายอย่างนี้?!” ลั่วหลีอดจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินไม่ได้

“แต่มู่หยุนซีเป็นชื่อที่ดีทีเดียว…”

ลั่วหลีกัดริมฝีปากพร้อมกับความหวังในแววตา ฉากนี้ช่างน่าดึงดูดใจเสียจริง

เมื่อมองไปที่ลั่วหลี ความอ่อนโยนในหัวใจของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นขณะกำมือแน่น ‘ภาพงดงามอย่างยิ่ง อนาคตช่างเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างแท้จริง’

‘ถ้าเทพปีศาจจักรพรรดิคิดทำลายทุกสิ่งละก็…’

ทันใดนั้นดวงตาของมู่เฉินก็ถูกแทนที่ด้วยความดุร้าย ‘งั้นข้าก็จะลบล้างเทพปีศาจนั่นเอง!’

พร้อมกับความคิดนี้ ร่างสองร่างบนดินแดนวั้นมู่ก็เหมือนสัมผัสได้ถึงแรงอารมณ์ ขณะที่ดวงตาเปิดขึ้นช้าๆ

เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นแสงหลิงไร้ขอบเขตก็กำจายปกคลุมดินแดนวั้นมู่ทั้งหมด

ในส่วนลึกของรัศมีสว่างไสวสามารถมองเห็นร่างโบราณสองร่างได้อย่างคลุมเครือซึ่งเต็มไปด้วยความลึกลับไร้ขอบเขตและกลิ่นอายโบราณ

หนึ่งคือร่างรัศมีซึ่งเอิบอาบไปด้วยความสว่างไร้ขอบเขต ส่วนอีกหนึ่งเต็มไปด้วยพลังงานหลิงไร้ขอบเขตซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีวันหมดสิ้น

ทั้งสองร่างนี้ก็คือร่างมหารัศมีอนันด์และร่างมหาปราชญ์วิญญาณ

หลังจากผ่านการบ่มเพาะมาหลายปี ในที่สุดร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสองก็ชำระได้สำเร็จแล้ว

ตอนนั้นเองมู่เฉินที่อยู่สำนักศึกษาเป่ยชางก็สัมผัสได้ เขารู้สึกโล่งใจมาก

“ในที่สุด…ก็เสร็จสมบูรณ์”

ทว่าขณะที่มู่เฉินดำดิ่งอยู่ในความสำเร็จ ทันใดนั้นม่านตาก็หดลงเขามองไปในทิศทางของดินแดนปีศาจที่อยู่นอกมหาพันภพ

“มู่เฉินเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ลั่วหลีสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของมู่เฉิน

“เทพปีศาจจักรพรรดิ…ปรากฏตัวแล้ว”

น้ำเสียงของมู่เฉินอัดแน่นด้วยจิตสังหารไร้ขอบเขต

ในเวลาเดียวกันในเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้องหลังป้อมปราการของมหาพันภพ หลินต้งและเซียวเหยียนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเช่นกัน

ดวงตาของพวกเขาวูบวาบด้วยประกายไฟและคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากัน ไอสังหารที่แทรกซึมอยู่ในดวงตาก็แล่นเปรียะ

ไอสังหารปกคลุมทั้งเมือง ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์เปลี่ยนไป พวกเขาเงยหน้าขึ้นกะทันหันมองไปยังทิศทางของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

วาบ!

นายหญิงสี่คนของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู เซียวซุนเอ๋อ ไฉ่หลิง อิ้งฮวนฮวนและหลิงชิงจู๋ก็ปรากฏตัวที่เบื้องหลังสามีในยามนี้

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” พวกนางถามขึ้น

หลินต้งและเซียวเหยียนฉายสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นเสียงก็ดังสะท้อนในโสตประสาทของทุกคนในเมือง

“เทพปีศาจจักรพรรดิปรากฏตัวขึ้นแล้ว แจ้งคำสั่งเพิ่มการแจ้งเตือนระดับสูงสุด กองหน้าให้หยุดการโจมตีทันที”

เสียงนี้ทำให้หัวใจทุกดวงสั่นสะท้านพร้อมกับความโกรธ ความกลัวและความโล่งใจ…

ตลอดห้าปีที่ผ่านมาไม่มีข่าวใดของเทพปีศาจจักรพรรดิให้ได้ยิน แต่แม้อีกฝ่ายจะหายตัวไปก็ยังสร้างความกลัวขึ้นห่อหุ้มหัวใจของทุกคนในมหาพันภพ

ดังนั้นด้วยการปรากฏตัวนี้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจจากความกลัวในหัวใจ

อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการโจมตีกะทันหันของเทพปีศาจคนนี้

ท้ายที่สุดก็แค่สู้จนตัวตายเท่านั้น

หลินต้งและเซียวเหยียนมองเข้าไปในมิติไกลออกไปพร้อมกับสายตาทะลุผ่านปราการกั้นทั้งหมด มองเข้าไปที่จุดสิ้นสุดของความมืดมิด

รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตกลายเป็นเมฆกลิ้งไปมา

ร่างสวมชุดขาวยืนอยู่บนเมฆดำดูราวกับบัณฑิตพร้อมกับความกรุณาปรานีเอิบอาบออกมารอบตัว

ดวงตาสามดวงเปิดอยู่บนหน้าผากกะพริบด้วยแสงวูบวาบน่ากลัว

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็คลี่ยิ้มพลางแลกสายตากับหลินต้งและเซียนเหยียนจากระยะไกล

ขณะที่ทั้งสามฟาดฟันกันด้วยสายตา มิติก็ผันผวนพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลโอบรัศมีล้อมรอบในระยะสิบล้านลี้

“ทั้งสองไม่เจอกันนานนะ…”

เสียงของเทพปีศาจดังก้องขณะเคาะนิ้วเบาๆ ไปที่ทั้งสอง

“วันที่ข้ามาถึงจะเป็นวันทำลายล้างมหาพันภพ” เมื่อเขาสะบัดมือออก ความมืดก็ปิดกั้นประสาทสัมผัสของหลินต้งและเซียวเหยียน

แสงหลิงในนัยน์ตาทั้งสองสลายไป พวกเขามองเข้าไปในความว่างเปล่าอย่างเย็นชา

“อีกหนึ่งวันเทพปีศาจจักรพรรดิก็จะเคลื่อนไหวแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดของสามี ใบหน้าของนายหญิงสี่คนก็เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว…”

“มู่เฉินเป็นอย่างไรบ้าง?” เซียวซุนเอ๋อถามด้วยคิ้วมุ่นแน่น

เมื่อได้ยินคำถาม ทั้งหลินต้งและเซียวเหยียนก็คลี่ยิ้มพึงพอใจ “เขาไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง”

เมื่อครู่นี้เองที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่ก่อตัวขึ้นในมหาพันภพ ซึ่งเป็นของมู่เฉิน

ใบหน้าของนายหญิงทั้งสี่คลายลง หากมู่เฉินทำสำเร็จมหาพันภพอาจยังไม่สิ้นหวังทุกประตู

“ต่อไป… เราก็จะมาดูว่าเทพปีศาจเก้าเนตรในสภาพพร้อมรบสูงสุดจะทรงพลังเพียงใด” เทพจักรพรรดิทั้งสองเงยหน้าขึ้น ไม่มีความกลัวใดๆ ตรงกันข้ามกลับเผยร่องรอยของความคาดหวัง

ที่สำนักศึกษาเป่ยชาง

มู่เฉินยืนขึ้นพลางยื่นมือไปให้ลั่วหลี “ถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันชี้ชะตาของมหาพันภพ”

สีหน้าลั่วหลีเคร่งเครียดลงพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ

มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อหมอกหลิงค่อยๆ สลายไปพร้อมกับโอบลั่วหลีลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างนุ่มนวล

ภายในสำนักศึกษาเหล่าศิษย์ก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง พวกเขาต่างเงยหน้าขึ้นโค้งคำนับพร้อมกับเสียงที่ทำให้ปฐพีเลื่อนลั่น

“พวกเราขออวยพรให้ศิษย์พี่กลับมาพร้อมกับชัยชนะ!”

อีกด้านหนึ่งเสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทง เวินชิงเฉวียน ถังเชี่ยนเอ๋อและคนอื่น ๆ ก็มองไปที่เงาร่างของมู่เฉิน ก่อนจะประสานมือโค้งคำนับ

“มู่เฉิน พวกข้าจะตั้งมั่นรอที่นี่พร้อมกับเหล้าที่เตรียมไว้สำหรับการกลับมาด้วยชัยชนะของเจ้า”

พวกเขาทราบดีว่าการไปของมู่เฉินครั้งนี้เป็นการต่อสู้เพื่อมหาพันภพ เพื่อทุกคน เพื่อบ้านของพวกเรา

เมื่อมู่เฉินได้ยินเสียงก้องกังวานนั้นก็ยิ้มและหันไปพูดกับลั่วหลีเบาๆ “เพื่อเจ้าและเพื่อลูกสาวในอนาคต—มู่หยุนซี…”

“ข้าไม่มีทางแพ้สงครามครั้งนี้!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท