หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1546 ศพดำ

บทที่ 1546 ศพดำ

“ลั่วหลี?!”

เมื่อมองไปที่ร่างสะคราญโฉม ทุกคนที่รู้จักนางก็อุทานด้วยความไม่เชื่อในสายตา

“ลั่วหลี?”

เหล่าศิษย์ปัจจุบันของสำนักศึกษาเป่ยชางไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อนี้ แต่กระนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เนื่องจากหญิงสาวคนนี้สามารถสังหารราชันปีศาจสามคนเพียงแค่ปรากฏตัวขึ้น พลังของนางน่าสะพรึงกลัวมาก

“ตะ… แต่นาง…สวยมาก!”

ศิษย์ทั้งชายและหญิงหลายคนดวงตาแดงเรื่อ เนื่องจากหญิงสาวที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าช่างโดดเด่นเหลือล้น ท่วงท่ากิริยาและรูปร่างหน้าตาน่าตกใจจริงๆ

เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วดาวเด่นคนอื่นๆ ในสำนักศึกษาก็ดูจืดชืดไปเลย

“นั่นคือ…พี่ใหญ่ลั่วหลี”

เยี่ยสุนเอ๋อฉายความสุขบนใบหน้าขณะพึมพำด้วยความตื่นเต้น

“พี่ใหญ่สุนเอ๋อ นางเป็นใครเหรอ?” สมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วที่อยู่โดยรอบอดถามไม่ได้ แต่ละคนกำลังเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่แล้ว แต่ทั้งหมดก็ต้องหันไปมองภาพเงางดงามที่เพิ่งมาถึง พวกเขารู้สึกว่าชื่อของนางคุ้นเคยนัก

“เจ้าเด็กโง่ทั้งหลาย!” เยี่ยสุนเอ๋อกลอกตาขณะที่ยืดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าบอกพวกเจ้าหลายครั้งแล้วไม่ใช่รึ? ผู้ก่อตั้งชุมนุมเทพธิดาลั่วของเรามีสองคน พี่ใหญ่มู่เฉินและพี่ใหญ่ลั่วหลี!”

เหล่าสมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วตาโตเท่าไข่ห่าน ขณะมองไปที่ร่างสะคราญโฉมด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “โอ้สวรรค์! งั้นนางก็คือพี่ใหญ่ลั่วหลี หนึ่งในผู้ก่อตั้งชุมนุมของเรา!”

“ว้าว ศิษย์พี่ลั่วหลีทรงพลังมาก! แม้แต่ราชันปีศาจก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง!” ความเคารพเทิดทูนเผยออกมาจากดวงตาของเด็กสาวหลายคน

“นางสวยอะไรอย่างนี้…” เด็กผู้ชายหลายคนใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ พวกเขาอึ้งไปกับความงดงามของนาง อยากจะมองแต่ก็ไม่กล้า

ชุมนุมอื่นๆ ก็ปรายสายตามองมาด้วยความอิจฉา ยิ่งทำให้สมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วเหยียดตัวราวกับขึ้นแท่นรับรางวัลท่าทางภาคภูมิใจมาก โดยปกติแล้วแต่ละชุมนุมก็จะแข่งขันกันเสมอ แต่ในเรื่องผู้ก่อตั้งชุมนุม พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้าลง

“ไม่คิดว่า…นางจะทรงพลังมากขนาดนี้” เสิ่นชิงเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นๆ มองไปที่หญิงสาวด้วยสายตาซับซ้อนพลางถอนหายใจ

เมื่อก่อนพลังของลั่วหลีเทียบได้กับพวกเขา แต่หลังจากผ่านไปหลายปีพวกเขายังคงต้องบากบั่นเพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ส่วนลั่วหลีสามารถฆ่าราชันปีศาจได้ง่ายดายด้วยการพลิกฝ่ามือ

“ลั่วหลีมีโชคชะตะของตัวเอง แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ อีกไม่กี่ปีเราก็สามารถไปถึงระดับเทียนจื้อจุนแล้วเช่นกัน” เวินชิงเฉวียนไม่ตกใจ ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นขณะมองไปที่ลั่วหลี

เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนและคนอื่นก็เป็นคนมีจิตใจแน่วแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

“การมาของลั่วหลี สถานการณ์น่าจะดีขึ้นมาก”

ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เมื่อลั่วหลีรู้สึกได้ถึงพลังงานที่สงบลงภายในร่างของเป่ยหมิง นางก็ถอนมือกลับ

ตอนนี้เป่ยหมิงฟื้นคืนจากอาการตกใจมองไปที่ลั่วหลีด้วยความสับสน ก่อนจะประสานมือเข้าหากัน “ขอบคุณท่านจอมยุทธ์”

ทว่าเมื่อพิจารณาจากแววตาเขาก็ดูเหมือนยังจำลั่วหลีไม่ได้ เนื่องจากในตอนนั้นลั่วหลียังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก แม้ว่าจะงดงามแต่ก็เยาว์วัยนัก แต่ตอนนี้ลั่วหลีที่ได้ฝึกฝนร่างเทพวารีและอารมณ์ก็มีเฉกเช่นคนทั่วไปดูสมบูรณ์แบบมาก

ลั่วหลีตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์ลั่วหลีเคยศึกษาที่สำนักด้วย ย้อนกลับไปตอนนั้นร่างเทพสายฟ้าที่มู่เฉินได้รับการฝึกฝนก็ถูกถ่ายทอดโดยท่านนะเจ้าค่ะ”

“มู่เฉิน…”

เป่ยหมิงอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้พลางอุทานออกมาด้วยความตกใจ “อา เจ้าก็คือ…คนรักตัวน้อยที่อยู่ข้างกายมู่เฉิน…”

ขณะที่พูดเป่ยหมิงก็ยิ้มเขิน เพราะลั่วหลีเติบโตขึ้นอย่างงดงามและช่างเหมือนเป็นการดูหมิ่นสำหรับเขาที่จะพูดคุยกับนางแบบไม่เป็นทางการ

ทว่าลั่วหลีไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ รอยยิ้มหวานประดับอยู่บนริมฝีปากนาง มู่เฉินและนางมีความทรงจำงดงามอยู่ที่นี่

ฟิ้ว!

ไท่ชางก็เร่งรุดเข้ามาหาเป่ยหมิงพลางมองไปที่ลั่วหลีแล้วก็ถอนหายใจ “ไม่คิดว่าสาวน้อยในตอนนั้นจะทรงพลังมากขนาดนี้แล้ว”

“ลั่วหลี ในนามสำนักศึกษาเป่ยชางข้าขอเป็นตัวแทนขอบคุณ”

ลั่วหลีรีบเข้าไปหยุดการกระทำของไท่ชางไว้พลางยิ้ม “อาจารย์ใหญ่ ข้าก็เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเป่ยชาง ในเมื่อสำนักกำลังประสบภัย ข้าไม่ควรมาช่วยรึ? หรือว่าท่านอาจารย์ใหญ่ไม่คิดว่าข้าเป็นศิษย์แล้ว”

พอได้ยินคำพูดลั่วหลี ไท่ชางก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าน่าเกรงขามมากนะเนี่ย”

ลั่วหลียิ้มอ่อนโยนก่อนที่จะหันกลับไปมองรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากด้านนอกสำนัก ในบรรดาราชันปีศาจทั้งเจ็ด นางสังหารไปสามคนแล้ว ทำให้อีกสี่คนมองมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“พวกแกบังอาจกล้าต่อต้าน!” ราชันปีศาจทั้งสี่มองไปที่ลั่วหลีอย่างเย็นชา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกข้าจะมอบความสยองขวัญให้กับทุกคนที่นี่!”

เมื่อได้ยินคำพูดพล่านด้วยเจตนาฆ่า ท่าทางของทุกคนก็เปลี่ยนไป

มีเพียงลั่วหลีเท่านั้นที่มีสีหน้าสงบขณะกวาดสายตามองราชันปีศาจทั้งสี่ “เป็นเพียงราชันปีศาจต๊อกต๋อยกลับกล้าพูดแบบนี้งั้นเหรอ? ไปเรียกจอมปีศาจออกมาพูดดีกว่านะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วหลี สายตาของราชันปีศาจทั้งสี่ก็ดุร้ายยิ่งขึ้นขณะที่จ้องเขม็ง

ฮึ่ม!

ขณะที่พวกเขากำลังจะเริ่มโจมตี ทันใดนั้นความปั่นป่วนก็พลุ่งพล่านเข้ามา พวกเขาเห็นร่างแสงหลายร่างทะยานข้ามขอบฟ้าก่อนที่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากจะฉีกออกจากกัน จากนั้นก็พลิ้วตัวลงข้างๆ ลั่วหลี

“ลั่วหลี เจ้าเร็วมากเลย…” หลินจิ้งอ้าปากหอบหายใจ พอรู้ข่าวลั่วหลีก็เร่งความเร็วมาที่สำนักศึกษาเป่ยชางอย่างเต็มพิกัด

ลั่วหลีช่วยลูบหลังให้หลินจิ้งเบาๆ พลางหันไปหาเซียวเซียว “จัดการทุกอย่างเรียบร้อยหรือยัง?”

เซียวเซียวพยักหน้าตอบว่า “จอมยุทธ์คนอื่นรีบเร่งไปยังสถานที่ที่ถูกโจมตีอื่นแล้วน่ะ”

ลั่วหลีพยักหน้าตอบว่า “งั้นเราก็จัดการที่นี่ให้เรียบร้อยกันเถอะ”

“ปล่อยไอ้สี่ตัวนั่นเป็นหน้าที่ข้าสองคนเอง” เซียวเซียวมองไปที่ราชันปีศาจทั้งสี่พร้อมกับแสงพราววูบไหวในนัยน์ตา กระทั่งดวงตาของหลินจิ้งก็โชนแสงขณะพยักหน้า

“ได้ พวกเจ้าระวังตัวด้วย” ลั่วหลีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางรู้ดีว่าไม่มีปัญหาอะไรที่ทั้งสองคนจะเผชิญหน้ากับราชันปีศาจทั้งสี่

เซียวเซียวและหลินจิ้งแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็ทะยานออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงพลุ่งพล่านรอบตัวครอบคลุมร่างราชันปีศาจแยกเป็นสองฝั่งไว้

“นังสารเลวรนหาที่ตาย!”

ราชันปีศาจทั้งสี่คำราม รัศมีปีศาจพวยพุ่งขึ้นรอบตัวขณะที่พุ่งใส่เซียวเซียวและหลินจิ้ง

ตู้ม ตู้ม!

การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายระเบิดออก ทำให้ภูเขาสั่นไหวเมื่อคลื่นกระแทกรุนแรงกวาดออกไป

ภายในสำนักศึกษาเป่ยชาง ทุกคนเฝ้าดูการประจัญบานนี้ด้วยท่าทางกังวล

ในการต่อสู้ทุกคนสามารถบอกได้อย่างคลุมเครือว่าแม้ว่าเซียวเซียวและหลินจิ้งจะต่อสู้แบบสองต่อหนึ่ง แต่หญิงสาวทั้งสองคนก็ยังได้เปรียบ ดังนั้นทุกคนจึงฉายความสุขบนใบหน้า

ลั่วหลีมองไปก่อนที่จะถอนสายตากลับ หันไปมองที่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากเบื้องหลังพร้อมกับกะพริบตา

“สายสวรรค์กลืนกิน!”

รัศมีสีรุ้งกำจายออกมาจากเซียวเซียวซัดราชันปีศาจสองคนถลาออกไป จากนั้นนางก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นแสงพร่างพราวก็กลายเป็นอสรพิษขนาดใหญ่อ้าปากงับร่างราชันปีศาจคนหนึ่ง

ขณะที่รัศมีพรั่งพรูเสียงแผดร้องก็ดังก้องจากอสรพิษสีรุ่งก่อนที่รัศมีราชันปีศาจจะหายไป

“แส้หยกสุดฟ้า!”

หลินจิ้งก็ลงมือเต็มที่ มือกระตุก รัศมีหยกรวมตัวกันเป็นแส้ยาวกวาดไปที่ศีรษะราชันปีศาจคนหนึ่ง ร่างกายมันแตกสลายทันที

หญิงสาวสองคนเป็นธิดาเทพจักรพรรดิจึงทรงพลังตามธรรมชาติ ไม่มีใครในระดับเดียวกันสามารถเทียบพวกนางได้

“สุดยอด!”

เสียงร้องดังขึ้นจากสำนักศึกษาเป่ยชางกับฉากนี้

ราชันปีศาจอีกสองคนต่างครั่นครามในตัวหญิงสาวทั้งสอง พวกเขาเริ่มถอยหนีด้วยความหวาดหวั่น

“คิดหนีเรอะ?”

เซียวเซียวและหลินจิ้งหัวเราะเสียงพลิ้วขณะที่อสรพิษและแส้ซัดออกมาอีกครั้ง

เมื่อเห็นการโจมตีรุนแรงพุ่งมาหา ใบหน้าของราชันปีศาจทั้งสองก็ถอดสีขณะที่ร้องลั่น “นายท่านโปรดช่วยเราด้วย!”

เมื่อเสียงร้องตะโกนดังก้อง ดวงตาเย็นชาคู่หนึ่งก็เปิดขึ้นภายในรัศมีปีศาจ เสียงเยือกเย็นแผดออก

“สวะจริงๆ”

พุ่งตามเสียงมา มือปีศาจขาวซีดก็ยื่นออกกวาดเบาๆ ทำลายอสรพิษสีรุ้ง แม้แต่แส้ก็หม่นแสงลงถูกพัดออกไป

เมื่อมือขาวซีดส่งร่างเซียวเซียวกับหลินจิ้งออกไป ก่อนที่ราชันปีศาจทั้งสองจะได้ชื่นชมยินดี มือซีดขาวก็ยื่นออกไปจับพวกเขาบดขยี้ ความสุขแข็งค้างอยู่บนใบหน้าพวกเขา…

ฉากโหดร้ายนี้ทำให้ทุกคนในสำนักศึกษาเป่ยชางหายใจเข้าลึก

แม้แต่ใบหน้าของเซียวเซียวและหลินจิ้งก็เปลี่ยนไปเมื่อมองไปที่รัศมีปีศาจไร้ขอบเขต พวกนางสามารถสัมผัสได้ถึงการตื่นขึ้นของรัศมีปีศาจที่น่ากลัว

เวลาเดียวกันลั่วหลีก็หดตาลงเอ่ยออกมาช้าๆ “ในที่สุดแกก็ยอมเผยโฉมหน้าแล้วหรือ?”

นางรู้สึกได้ถึงความผันผวนของรัศมีปีศาจที่ลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ตั้งแต่ก่อนหน้า ชัดว่าต้องมีปีศาจทรงพลังซ่อนอยู่ภายใน

ทั้งสวรรค์และโลกเงียบงัน

รัศมีปีศาจแปรปรวนค่อยๆ หายไปทีละชั้น จากนั้นทุกคนก็ต้องหดดวงตาเมื่อเห็นบัลลังก์ที่ทำจากกระดูกสีขาวพร้อมกับทะเลศพและเลือดกระฉอกอยู่ข้างใต้

บนบัลลังก์ร่างปีศาจขาวซีดนั่งอยู่ซึ่งปกคลุมไปด้วยกลิ่นไอศพดำไร้ขอบเขต เขาคล้ายกับมัจจุราชน่ากลัวนั่งอยู่ที่นั่น

เมื่อเห็นร่างนี้ ลั่วหลี เซียวเซียวและหลินจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงสีหน้าร้องอุทานว่า

“นั่นคือ…จอมปีศาจเฮยซือเทียน?!”

“บ้าเอ้ย ทำไมแม้แต่ไอ้ศพดำนี่ก็แอบเข้ามาในมหาพันภพ!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท