“ลั่วหลี?!”
เมื่อมองไปที่ร่างสะคราญโฉม ทุกคนที่รู้จักนางก็อุทานด้วยความไม่เชื่อในสายตา
“ลั่วหลี?”
เหล่าศิษย์ปัจจุบันของสำนักศึกษาเป่ยชางไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อนี้ แต่กระนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เนื่องจากหญิงสาวคนนี้สามารถสังหารราชันปีศาจสามคนเพียงแค่ปรากฏตัวขึ้น พลังของนางน่าสะพรึงกลัวมาก
“ตะ… แต่นาง…สวยมาก!”
ศิษย์ทั้งชายและหญิงหลายคนดวงตาแดงเรื่อ เนื่องจากหญิงสาวที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าช่างโดดเด่นเหลือล้น ท่วงท่ากิริยาและรูปร่างหน้าตาน่าตกใจจริงๆ
เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วดาวเด่นคนอื่นๆ ในสำนักศึกษาก็ดูจืดชืดไปเลย
“นั่นคือ…พี่ใหญ่ลั่วหลี”
เยี่ยสุนเอ๋อฉายความสุขบนใบหน้าขณะพึมพำด้วยความตื่นเต้น
“พี่ใหญ่สุนเอ๋อ นางเป็นใครเหรอ?” สมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วที่อยู่โดยรอบอดถามไม่ได้ แต่ละคนกำลังเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่แล้ว แต่ทั้งหมดก็ต้องหันไปมองภาพเงางดงามที่เพิ่งมาถึง พวกเขารู้สึกว่าชื่อของนางคุ้นเคยนัก
“เจ้าเด็กโง่ทั้งหลาย!” เยี่ยสุนเอ๋อกลอกตาขณะที่ยืดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าบอกพวกเจ้าหลายครั้งแล้วไม่ใช่รึ? ผู้ก่อตั้งชุมนุมเทพธิดาลั่วของเรามีสองคน พี่ใหญ่มู่เฉินและพี่ใหญ่ลั่วหลี!”
เหล่าสมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วตาโตเท่าไข่ห่าน ขณะมองไปที่ร่างสะคราญโฉมด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “โอ้สวรรค์! งั้นนางก็คือพี่ใหญ่ลั่วหลี หนึ่งในผู้ก่อตั้งชุมนุมของเรา!”
“ว้าว ศิษย์พี่ลั่วหลีทรงพลังมาก! แม้แต่ราชันปีศาจก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง!” ความเคารพเทิดทูนเผยออกมาจากดวงตาของเด็กสาวหลายคน
“นางสวยอะไรอย่างนี้…” เด็กผู้ชายหลายคนใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ พวกเขาอึ้งไปกับความงดงามของนาง อยากจะมองแต่ก็ไม่กล้า
ชุมนุมอื่นๆ ก็ปรายสายตามองมาด้วยความอิจฉา ยิ่งทำให้สมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วเหยียดตัวราวกับขึ้นแท่นรับรางวัลท่าทางภาคภูมิใจมาก โดยปกติแล้วแต่ละชุมนุมก็จะแข่งขันกันเสมอ แต่ในเรื่องผู้ก่อตั้งชุมนุม พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้าลง
“ไม่คิดว่า…นางจะทรงพลังมากขนาดนี้” เสิ่นชิงเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นๆ มองไปที่หญิงสาวด้วยสายตาซับซ้อนพลางถอนหายใจ
เมื่อก่อนพลังของลั่วหลีเทียบได้กับพวกเขา แต่หลังจากผ่านไปหลายปีพวกเขายังคงต้องบากบั่นเพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ส่วนลั่วหลีสามารถฆ่าราชันปีศาจได้ง่ายดายด้วยการพลิกฝ่ามือ
“ลั่วหลีมีโชคชะตะของตัวเอง แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ อีกไม่กี่ปีเราก็สามารถไปถึงระดับเทียนจื้อจุนแล้วเช่นกัน” เวินชิงเฉวียนไม่ตกใจ ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นขณะมองไปที่ลั่วหลี
เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนและคนอื่นก็เป็นคนมีจิตใจแน่วแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“การมาของลั่วหลี สถานการณ์น่าจะดีขึ้นมาก”
ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เมื่อลั่วหลีรู้สึกได้ถึงพลังงานที่สงบลงภายในร่างของเป่ยหมิง นางก็ถอนมือกลับ
ตอนนี้เป่ยหมิงฟื้นคืนจากอาการตกใจมองไปที่ลั่วหลีด้วยความสับสน ก่อนจะประสานมือเข้าหากัน “ขอบคุณท่านจอมยุทธ์”
ทว่าเมื่อพิจารณาจากแววตาเขาก็ดูเหมือนยังจำลั่วหลีไม่ได้ เนื่องจากในตอนนั้นลั่วหลียังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก แม้ว่าจะงดงามแต่ก็เยาว์วัยนัก แต่ตอนนี้ลั่วหลีที่ได้ฝึกฝนร่างเทพวารีและอารมณ์ก็มีเฉกเช่นคนทั่วไปดูสมบูรณ์แบบมาก
ลั่วหลีตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์ลั่วหลีเคยศึกษาที่สำนักด้วย ย้อนกลับไปตอนนั้นร่างเทพสายฟ้าที่มู่เฉินได้รับการฝึกฝนก็ถูกถ่ายทอดโดยท่านนะเจ้าค่ะ”
“มู่เฉิน…”
เป่ยหมิงอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้พลางอุทานออกมาด้วยความตกใจ “อา เจ้าก็คือ…คนรักตัวน้อยที่อยู่ข้างกายมู่เฉิน…”
ขณะที่พูดเป่ยหมิงก็ยิ้มเขิน เพราะลั่วหลีเติบโตขึ้นอย่างงดงามและช่างเหมือนเป็นการดูหมิ่นสำหรับเขาที่จะพูดคุยกับนางแบบไม่เป็นทางการ
ทว่าลั่วหลีไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ รอยยิ้มหวานประดับอยู่บนริมฝีปากนาง มู่เฉินและนางมีความทรงจำงดงามอยู่ที่นี่
ฟิ้ว!
ไท่ชางก็เร่งรุดเข้ามาหาเป่ยหมิงพลางมองไปที่ลั่วหลีแล้วก็ถอนหายใจ “ไม่คิดว่าสาวน้อยในตอนนั้นจะทรงพลังมากขนาดนี้แล้ว”
“ลั่วหลี ในนามสำนักศึกษาเป่ยชางข้าขอเป็นตัวแทนขอบคุณ”
ลั่วหลีรีบเข้าไปหยุดการกระทำของไท่ชางไว้พลางยิ้ม “อาจารย์ใหญ่ ข้าก็เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเป่ยชาง ในเมื่อสำนักกำลังประสบภัย ข้าไม่ควรมาช่วยรึ? หรือว่าท่านอาจารย์ใหญ่ไม่คิดว่าข้าเป็นศิษย์แล้ว”
พอได้ยินคำพูดลั่วหลี ไท่ชางก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าน่าเกรงขามมากนะเนี่ย”
ลั่วหลียิ้มอ่อนโยนก่อนที่จะหันกลับไปมองรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากด้านนอกสำนัก ในบรรดาราชันปีศาจทั้งเจ็ด นางสังหารไปสามคนแล้ว ทำให้อีกสี่คนมองมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พวกแกบังอาจกล้าต่อต้าน!” ราชันปีศาจทั้งสี่มองไปที่ลั่วหลีอย่างเย็นชา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกข้าจะมอบความสยองขวัญให้กับทุกคนที่นี่!”
เมื่อได้ยินคำพูดพล่านด้วยเจตนาฆ่า ท่าทางของทุกคนก็เปลี่ยนไป
มีเพียงลั่วหลีเท่านั้นที่มีสีหน้าสงบขณะกวาดสายตามองราชันปีศาจทั้งสี่ “เป็นเพียงราชันปีศาจต๊อกต๋อยกลับกล้าพูดแบบนี้งั้นเหรอ? ไปเรียกจอมปีศาจออกมาพูดดีกว่านะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วหลี สายตาของราชันปีศาจทั้งสี่ก็ดุร้ายยิ่งขึ้นขณะที่จ้องเขม็ง
ฮึ่ม!
ขณะที่พวกเขากำลังจะเริ่มโจมตี ทันใดนั้นความปั่นป่วนก็พลุ่งพล่านเข้ามา พวกเขาเห็นร่างแสงหลายร่างทะยานข้ามขอบฟ้าก่อนที่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากจะฉีกออกจากกัน จากนั้นก็พลิ้วตัวลงข้างๆ ลั่วหลี
“ลั่วหลี เจ้าเร็วมากเลย…” หลินจิ้งอ้าปากหอบหายใจ พอรู้ข่าวลั่วหลีก็เร่งความเร็วมาที่สำนักศึกษาเป่ยชางอย่างเต็มพิกัด
ลั่วหลีช่วยลูบหลังให้หลินจิ้งเบาๆ พลางหันไปหาเซียวเซียว “จัดการทุกอย่างเรียบร้อยหรือยัง?”
เซียวเซียวพยักหน้าตอบว่า “จอมยุทธ์คนอื่นรีบเร่งไปยังสถานที่ที่ถูกโจมตีอื่นแล้วน่ะ”
ลั่วหลีพยักหน้าตอบว่า “งั้นเราก็จัดการที่นี่ให้เรียบร้อยกันเถอะ”
“ปล่อยไอ้สี่ตัวนั่นเป็นหน้าที่ข้าสองคนเอง” เซียวเซียวมองไปที่ราชันปีศาจทั้งสี่พร้อมกับแสงพราววูบไหวในนัยน์ตา กระทั่งดวงตาของหลินจิ้งก็โชนแสงขณะพยักหน้า
“ได้ พวกเจ้าระวังตัวด้วย” ลั่วหลีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางรู้ดีว่าไม่มีปัญหาอะไรที่ทั้งสองคนจะเผชิญหน้ากับราชันปีศาจทั้งสี่
เซียวเซียวและหลินจิ้งแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็ทะยานออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงพลุ่งพล่านรอบตัวครอบคลุมร่างราชันปีศาจแยกเป็นสองฝั่งไว้
“นังสารเลวรนหาที่ตาย!”
ราชันปีศาจทั้งสี่คำราม รัศมีปีศาจพวยพุ่งขึ้นรอบตัวขณะที่พุ่งใส่เซียวเซียวและหลินจิ้ง
ตู้ม ตู้ม!
การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายระเบิดออก ทำให้ภูเขาสั่นไหวเมื่อคลื่นกระแทกรุนแรงกวาดออกไป
ภายในสำนักศึกษาเป่ยชาง ทุกคนเฝ้าดูการประจัญบานนี้ด้วยท่าทางกังวล
ในการต่อสู้ทุกคนสามารถบอกได้อย่างคลุมเครือว่าแม้ว่าเซียวเซียวและหลินจิ้งจะต่อสู้แบบสองต่อหนึ่ง แต่หญิงสาวทั้งสองคนก็ยังได้เปรียบ ดังนั้นทุกคนจึงฉายความสุขบนใบหน้า
ลั่วหลีมองไปก่อนที่จะถอนสายตากลับ หันไปมองที่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากเบื้องหลังพร้อมกับกะพริบตา
“สายสวรรค์กลืนกิน!”
รัศมีสีรุ้งกำจายออกมาจากเซียวเซียวซัดราชันปีศาจสองคนถลาออกไป จากนั้นนางก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นแสงพร่างพราวก็กลายเป็นอสรพิษขนาดใหญ่อ้าปากงับร่างราชันปีศาจคนหนึ่ง
ขณะที่รัศมีพรั่งพรูเสียงแผดร้องก็ดังก้องจากอสรพิษสีรุ่งก่อนที่รัศมีราชันปีศาจจะหายไป
“แส้หยกสุดฟ้า!”
หลินจิ้งก็ลงมือเต็มที่ มือกระตุก รัศมีหยกรวมตัวกันเป็นแส้ยาวกวาดไปที่ศีรษะราชันปีศาจคนหนึ่ง ร่างกายมันแตกสลายทันที
หญิงสาวสองคนเป็นธิดาเทพจักรพรรดิจึงทรงพลังตามธรรมชาติ ไม่มีใครในระดับเดียวกันสามารถเทียบพวกนางได้
“สุดยอด!”
เสียงร้องดังขึ้นจากสำนักศึกษาเป่ยชางกับฉากนี้
ราชันปีศาจอีกสองคนต่างครั่นครามในตัวหญิงสาวทั้งสอง พวกเขาเริ่มถอยหนีด้วยความหวาดหวั่น
“คิดหนีเรอะ?”
เซียวเซียวและหลินจิ้งหัวเราะเสียงพลิ้วขณะที่อสรพิษและแส้ซัดออกมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นการโจมตีรุนแรงพุ่งมาหา ใบหน้าของราชันปีศาจทั้งสองก็ถอดสีขณะที่ร้องลั่น “นายท่านโปรดช่วยเราด้วย!”
เมื่อเสียงร้องตะโกนดังก้อง ดวงตาเย็นชาคู่หนึ่งก็เปิดขึ้นภายในรัศมีปีศาจ เสียงเยือกเย็นแผดออก
“สวะจริงๆ”
พุ่งตามเสียงมา มือปีศาจขาวซีดก็ยื่นออกกวาดเบาๆ ทำลายอสรพิษสีรุ้ง แม้แต่แส้ก็หม่นแสงลงถูกพัดออกไป
เมื่อมือขาวซีดส่งร่างเซียวเซียวกับหลินจิ้งออกไป ก่อนที่ราชันปีศาจทั้งสองจะได้ชื่นชมยินดี มือซีดขาวก็ยื่นออกไปจับพวกเขาบดขยี้ ความสุขแข็งค้างอยู่บนใบหน้าพวกเขา…
ฉากโหดร้ายนี้ทำให้ทุกคนในสำนักศึกษาเป่ยชางหายใจเข้าลึก
แม้แต่ใบหน้าของเซียวเซียวและหลินจิ้งก็เปลี่ยนไปเมื่อมองไปที่รัศมีปีศาจไร้ขอบเขต พวกนางสามารถสัมผัสได้ถึงการตื่นขึ้นของรัศมีปีศาจที่น่ากลัว
เวลาเดียวกันลั่วหลีก็หดตาลงเอ่ยออกมาช้าๆ “ในที่สุดแกก็ยอมเผยโฉมหน้าแล้วหรือ?”
นางรู้สึกได้ถึงความผันผวนของรัศมีปีศาจที่ลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ตั้งแต่ก่อนหน้า ชัดว่าต้องมีปีศาจทรงพลังซ่อนอยู่ภายใน
ทั้งสวรรค์และโลกเงียบงัน
รัศมีปีศาจแปรปรวนค่อยๆ หายไปทีละชั้น จากนั้นทุกคนก็ต้องหดดวงตาเมื่อเห็นบัลลังก์ที่ทำจากกระดูกสีขาวพร้อมกับทะเลศพและเลือดกระฉอกอยู่ข้างใต้
บนบัลลังก์ร่างปีศาจขาวซีดนั่งอยู่ซึ่งปกคลุมไปด้วยกลิ่นไอศพดำไร้ขอบเขต เขาคล้ายกับมัจจุราชน่ากลัวนั่งอยู่ที่นั่น
เมื่อเห็นร่างนี้ ลั่วหลี เซียวเซียวและหลินจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงสีหน้าร้องอุทานว่า
“นั่นคือ…จอมปีศาจเฮยซือเทียน?!”
“บ้าเอ้ย ทำไมแม้แต่ไอ้ศพดำนี่ก็แอบเข้ามาในมหาพันภพ!”