หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1560 ศึกครั้งสุดท้าย

บทที่ 1560 ศึกครั้งสุดท้าย

รัศมีหลิงเปล่งประกายปกคลุมไปทั่วมหาพันภพ

ใต้ทำเนียบเหนือภพ ร่างมู่เฉินยืนไว้สง่าจนไม่อาจบรรยายได้ ทุกการเคลื่อนไหวเหมือนจะกระตุ้นพลังที่ไร้ขอบเขตภายในสุริยจักรวาลนี้

“ขอแสดงความยินดีมหาเทพจักรพรรดิมู่ในการครอบครองนี้!”

ในทวีปหลิงหมัวระเบิดออกมาด้วยเสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก

เมื่อครู่นี้เองที่มหาพันภพรู้สึกสิ้นหวังเนื่องจากดวงตาที่สิบของเทพปีศาจจักรพรรดิ แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผัน พวกเขาได้ต้อนรับมหาเทพจักรพรรดิคนแรกแห่งมหาพันภพ ผู้ที่สามารถจารึกชื่อแซ่ของตนเองไว้บนทำเนียบเหนือภพได้!

ทุกคนแทบคลั่งไปด้วยความสุขขณะที่ตะโกนเรียกชื่อมู่เฉินไม่หยุด

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่ว ทำเนียบเหนือภพก็เริ่มจางหายไปพร้อมกับรัศมีกระจ่างใสรอบร่างมู่เฉินก็จางหายไปเช่นกัน ขณะนี้เขาดูราวกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มากจนไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงในร่างกายเลย

มู่เฉินพลิ้วตัวลงมาที่เบื้องหน้าหลินต้งและเซียวเหยียนก่อนจะประสานมือคารวะ “ผู้เยาว์ต้องขอก้าวไปก่อน ผู้อาวุโสได้โปรดอย่าถือโทษโกรธกันนะขอรับ”

หลินต้งและเซียวเหยียนยิ้มสบายๆ “มหาพันภพเป็นบ้านที่สำคัญสูงสุดของเรา ในเมื่อเจ้าสามารถขึ้นยืนหนึ่งในการจัดการเทพปีศาจ เราก็ถือว่านี่เป็นหนี้บุญคุณมากกว่า”

หลินต้งส่ายหัวกล่าวว่า “ข้านำหน้าได้เพราะโอกาสจากเหตุวิกฤตของมหาพันภพ ถือว่าเดินลัดทางสั้น ผู้อาวุโสทั้งสองไม่ได้ใช้ร่างมหาเทพปฐมกาล ใช้เพียงพลังของตนก็สามารถจารึกแซ่บนทำเนียบเหนือภพได้ สิ่งนี้ข้าไม่อาจเทียบได้เลย”

สิ่งที่มู่เฉินพูดมาคือความจริง เนื่องจากตอนแรกเขาคาดว่าจะต้องใช้เวลาสะสมเกือบร้อยปีเพื่อไปให้ถึงขั้นตอนนี้ แต่ไม่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงกะทันหันในมหาพันภพจะบีบให้เขาได้รับโอกาสและเร่งเร้าตนเองปลดปล่อยศักยภาพก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ก่อน

หากไม่มีมหันตภัยใดๆ ในมหาพันภพนี้หลินต้งและเซียวเหยียนจะเป็นเทพจอมยุทธ์คนแรกที่ขึ้นสู่ทำเนียบเหนือภพแน่นอน

หลินต้งและเซียวเหยียนสบตากันก่อนจะฉายยิ้มอ่อนโยน “สถานการณ์หล่อหลอมวีรบุรุษ พวกข้าก็เคยพึ่งโอกาสจากวิกฤตในการพุ่งเข้าไปที่จุดสูงสุด แต่มีไม่กี่คนหรอกที่ทำได้ ซึ่งนี่เป็นความสามารถของเจ้าที่ทำให้เจ้าไม่ได้ถ่อนตนขนาดนั้น”

“ดังนั้นพวกข้าขอฝากหน้าที่จัดการเทพปีศาจไว้ในมือเจ้าตอนนี้และจะช่วยเหลือจากด้านข้าง”

มู่เฉินโค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุด “ข้าจะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน”

จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของเทพปีศาจ ขณะนี้ใบหน้าของเทพปีศาจน่าขนพองสยองเกล้า ดวงตาที่สิบกะพริบพร้อมกับสาดไอสีดำเมื่อม

“คาดไม่ถึงจริงๆ!”

เทพปีศาจมองไปที่มู่เฉินแล้วพูดต่อ “ตอนแรกข้าคิดว่าศัตรูตัวฉกาจที่สุดของตัวเองก็คือเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม ไม่คิดเลยว่าจะเป็นไอ้หนูแบบแกที่ขึ้นครองบัลลังก์นี้แทน”

“มหาพันภพไม่เต็มใจที่จะเป็นทาสปีศาจ แม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นหนึ่งแต่ก็ต้องมีคนอื่นขึ้นมาแทน” มู่เฉินตอบ

เทพปีศาจกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงเย็นชา “มหาพันภพโชคดีจริงๆ ที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ในขณะนี้”

น้ำเสียงของเขาอัดแน่นด้วยความเกลียดชังและโกรธเกรี้ยว ตอนแรกเขาคิดว่าจะได้ชัยชนะมาแล้วเมื่อดวงตาที่สิบปรากฏขึ้น แต่ใครจะคิดว่ามู่เฉินจะสามารถเขียนชื่อเต็มไว้บนกระดานเส็งเคร็งได้

เทพปีศาจรู้ชัดเจนว่าเมื่อมีจอมยุทธ์สามารถจารึกชื่อทั้งหมดไว้บนทำเนียบเหนือภพได้ก็จะแสดงถึงศักยภาพในการควบคุมพลังเอกภพ ซึ่งแปลว่ามหาพันภพคือบ้านของเขาและเขาจะแข็งแกร่งขึ้นที่นี่

นี่จะต้องเป็นการต่อสู้ที่หนักหน่วงแน่นอน

ใบหน้าของเทพปีศาจมืดครึ้มลงขณะที่หายใจเข้าลึกๆ ทันใดนั้นลำแสงสีดำก็พุ่งออกมาจากดวงตาควบแน่นที่ฝ่ามือก่อนจะกลายเป็นหอกสีดำ

“เนตรที่สิบ หอกปีศาจ!”

หอกทั้งเล่มเป็นสีดำสนิท มีดวงตาสิบดวงกะพริบวูบไหวเอิบอาบด้วยรัศมีชั่วร้ายสุดขั้ว ความผันผวนที่น่ากลัวทำให้พิภพเขตล่างแห่งนี้สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

ตึง!

เทพปีศาจจับหอก กระแทกลงอย่างหนัก ทันใดนั้นรอยแตกก็ขยายออกราวกับใยแมงมุม

เขาจ้องไปที่มู่เฉินพลางเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ข้าขอดูว่าจอมยุทธ์สมบูรณ์แบบอย่างแกจะสามารถทำอะไรกับข้าได้บ้าง!”

มู่เฉินมองไปที่หอกก็หดตาลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเทพปีศาจไม่ได้ออมมืออีกต่อไป มิหนำซ้ำยังเรียกหอกที่ไม่เคยใช้มาก่อนออกมาอีกด้วย

“อาวุธเหรอ…”

มู่เฉินครุ่นคิดก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ รัศมีไร้ขอบเขตรวมตัวกันจุดชนวนกลายเป็นทะเลเพลิง ก่อนที่เขาจะสะบัดนิ้วลำแสงสีดำก็พุ่งเข้าไปในเปลวไฟนั่น

ลำแสงฉายภาพเสาสีดำขนาดใหญ่ที่มู่เฉินเคยใช้เป็นอาวุธเมื่อในอดีต นี่ก็คือเสาปีศาจราชันพระสุเมรุ

แต่ด้วยพลังที่เพิ่มขึ้นทุกวันเขาจึงหยุดใช้ไป แต่หลังจากที่ถึงระดับจู๋ไจ่เขาก็สามารถสร้างอาวุธที่เหนือล้ำเกินกว่าอาวุธมหสวรรค์ขั้นสุดยอดได้แล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงใช้เสาปีศาจราชันพระสุเมรุเป็นวัสดุตั้งต้น

ฟู่ ฟู่!

เมื่อเปลวไฟลุกโชนอุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวก็หลอมละลายเสายักษ์อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นของเหลวสีดำ

“ยังขาดวัสดุรองบางอย่าง” มู่เฉินมองไปที่ของเหลวสีดำก่อนที่จะสะบัดนิ้วอีกครั้ง เสียงกระบี่ดังก้องออกมา กระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็ถูกโยนลงไปในทะเลเพลิง

กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเสียหายตั้งแต่ได้รับ พลังงานภายในก็ร่อยหลอลง แต่ในฐานะที่เป็นวัตถุดิบรองก็สามารถหลอมเพื่อสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่มหาพันภพเคยมีมา

กระบี่เกล็ดจักรพรรดิหลอมเหลวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นของเหลวระยิบระยับหลอมรวมกับของเหลวสีดำ ภายใต้การควบคุมของมู่เฉินของเหลวก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง จากนั้นมู่เฉินก็เทคลื่นหลิงไม่สิ้นสุดลงไป

ในเวลาเดียวกันด้วยปณิธานยิ่งใหญ่ของเขา พลังเอกภพก็บีบอัดลงมาผสมเข้าไปในอาวุธ

ตู้ม!

เพียงไม่กี่สิบลมหายใจ เสียงบาดแก้วหูก็ดังก้องออกมาจากทะเลเพลิงก่อนที่ทุกคนจะเห็นเสาสีดำทะยานออกมาลอยอยู่ที่เบื้องหน้ามู่เฉิน

เมื่อแสงจางหายก็เผยให้เห็นสิ่งของภายใน มันคล้ายกับเสาปีศาจ แต่กลับไม่มีรัศมีโหดร้าย ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกหนาแน่น ราวกับเป็นเสาตั้งตระหง่านบนสวรรค์ ไม่สามารถทำลายลงได้

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะเรียกเจ้าว่าเสาจอมราชันพระสุเมรุ!” เมื่อได้ยินเสียงของมู่เฉิน เสายักษ์ก็เปล่งประกายราวกับว่ากำลังชื่นชมยินดี

ขณะที่มู่เฉินขยับมือ เสาจอมราชันก็หดตัวลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นพลองพุ่งเข้าสู่ฝ่ามือของมู่เฉิน จากนั้นมู่เฉินก็ควงพลองชี้ไปที่หน้าเทพปีศาจ มิติยังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

“หึ”

เทพปีศาจเค้นเสียงเย็นชาจากนั้นก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าวพร้อมกับหอกในมือปรากฏที่ด้านหน้ามู่เฉิน ขณะที่หอกเคลื่อนที่ก็กวาดลำแสงปีศาจมากมายออกไป ทุกลำแสงสามารถทำลายทั้งทวีปได้

มู่เฉินถือเสาจอมราชันไว้ ไม่มีความกลัวใด เผชิญหน้ากับการโจมตีตรงหน้าแบบตัวต่อตัว

เคร้ง!

หอกและพลองปะทะกัน คลื่นพลังงานระเบิดออกมาแสดงถึงความสามารถในการทำลายล้างขั้นสุดยอด

หลินต้งและเซียวเหยียนถอยออกไป ขณะที่เทคลื่นหลิงลงในพิภพเขตล่างนี้เพื่อสร้างตาข่ายห่อหุ้มเอาไว้ สิ่งนี้มีขึ้นเพื่อป้องกันความผันผวนของการทำลายล้างจากมู่เฉินและการโจมตีของเทพปีศาจที่จะการส่งผลกระทบต่อมหาพันภพก่อให้เกิดหายนะใหญ่หลวง

เคร้ง เคร้ง!

ทุกคนฉายแววตาตกตะลึงเมื่อมองไปที่การต่อสู้ในพิภพเขตล่าง ทั้งสองต่อสู้กันโดยใช้อาวุธสุดยอดโดยทุกการปะทะจะสร้างพายุทำลายล้างออกมา

แม้ว่าหลินต้งและเซียวเหยียนจะพยายามควบคุมความผันผวนไว้ แต่ก็ยังทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว

โฮก โฮก!

การโรมรันพันตูกันดำเนินต่อไป เทพปีศาจก็คำรามลั่นเมื่อเห็นว่าการโจมตีของตนถูกต่อต้าน ใบหน้าเขาถูกแทนที่ด้วยสีหน้าน่าขนพองสยองเกล้า ของเหลวสีดำไหลผ่านร่างกายกลายเป็นชุดเกราะชั่วร้าย

ยามนี้เขาประหนึ่งเทพปีศาจแห่งการทำลายล้างเลยทีเดียว

เคร้ง เคร้ง!

ในช่วงเวลาหนึ่งก้านธูปทั้งสองก็แลกกระบวนท่ากันนับไม่ถ้วน แม้แต่สวรรค์และโลกก็หมองลง ความกลัวผุดขึ้นบนใบหน้าของทุกคน

แต่โชคดีที่แม้จะเผชิญกับการโจมตีรุนแรงของเทพปีศาจ แต่มู่เฉินก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่เสียเปรียบอะไร เขายืมพลังเอกภพเข้าห้ำหั่นกับเทพปีศาจแบบไม่กลัวเกรง

ตึง!

อาวุธทั้งสองปะทะกัน ความผันผวนของการทำลายล้างทำให้ร่างกายของมู่เฉินและเทพปีศาจสั่นสะท้าน ก่อนที่พวกเขาจะถูกซัดกลับไปพร้อมกับมิติใต้ฝ่าเท้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ในทุกย่างก้าว

“เทพปีศาจที่นี่คือบ้านของข้า ซึ่งไม่เป็นประโยชน์กับเจ้าหากการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป” มู่เฉินกระแทกพลองในมือลงพลางมองไปที่เทพปีศาจ

“บ้าเอ้ย! ไอ้เวร! แกรนหาที่ตาย!”

ใบหน้าของเทพปีศาจน่าขนพองสยองเกล้าพร้อมกับความบ้าคลั่งวูบไหวในดวงตาขณะที่จ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างดุร้าย เห็นได้ชัดว่าเขารู้ดีว่าภาวะชักเย่อกันแบบนี้ไม่เป็นประโยชน์สำหรับเขา

“ในเมื่อแกต้องการตาย ข้าก็มอบความปรารถนาให้!

“อสูรปีศาจสิบตา จักรวาลกลืนกิน!”

เทพปีศาจคำราม รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตกวาดออกจากร่างก่อนที่จะรวมตัวกันเป็นอสูรปีศาจที่เบื้องหลัง

อสูรปีศาจตัวนี้ดูเหมือนจะเชื่อมโยงระหว่างสวรรค์และโลกพร้อมกับดวงตาชั่วร้ายสิบดวงบนร่างกาย ทุกดวงตาเต็มไปด้วยความผันผวนที่น่าสะพรึงกลัว

มองไปที่อสูรปีศาจ หลินต้งและเซียวเหยียนก็หัวใจสั่นไหว ดูเหมือนว่าเทพปีศาจจะบ้าคลั่งไปแล้ว

ตู้ม!

อสูรปีศาจสิบตามองไปที่มู่เฉินขณะที่รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตระเบิดออกมา อึดใจก็มาปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉิน

ตึง!

เสาจอมราชันที่อยู่ในมือมู่เฉินขยายใหญ่กลายเป็นเสาสูงตระหง่านกระแทกเข้าหารัศมีปีศาจ

ครืนๆๆๆ!

เมื่อเสากระแทกลงบนรัศมีปีศาจก็ถูกผลักออกไปด้วยพลังที่น่ากลัว ร่างกายของมู่เฉินได้รับความเสียหายถลาออกไปหลายหมื่นลี้

“ตาย!”

เทพปีศาจคำราม อสูรปีศาจสิบตาก็กะพริบดวงตาทั้งหมดพร้อมกับลำแสงปีศาจยิงออกมา ดูเหมือนว่าไม่ต้องการยอมแพ้เว้นแต่จะลบมู่เฉินออกได้

“ตายล่ะ!”

ใบหน้าของหลินต้งและเซียวเหยียนเปลี่ยนไป การโจมตีกระบวนท่านี้ดุร้ายเกินไป

แต่เมื่อพวกเขาต้องการช่วยมู่เฉิน แสงโบราณก็พุ่งมาจากที่ไกลคล้ายกับกระจกเงาลึกล้ำ ไม่ว่าลำแสงปีศาจจะยิงเข้ามากี่ครั้งก็ถูกกระจกกลืนกิน

ในที่สุดลำแสงปีศาจก็หยุดลง

ใบหน้าของเทพปีศาจดูเคร่งขรึมเมื่อมองไปที่มู่เฉิน รัศมีโบราณอยู่ด้านหลังก่อตัวเป็นร่างร่างหนึ่งยืนอยู่

ร่างนั้นมีลักษณะคล้ายกับมู่เฉิน แต่มีวงรัศมีห้าสีอยู่ด้านหลังศีรษะ แต่ละสีแทรกซึมไปด้วยความผันผวนโบราณ

หากสัมผัสถี่ถ้วนก็จะตระหนักได้ว่าความผันผวนเหล่านั้นก็คือร่างมหาเทพนิรันดร์ ร่างมหารัศมีอนันต์ ร่างมหาปราชญ์วิญญาณ ร่างมหาเทพรัตติกาลและร่างมหาสุญตา

“ร่างมหาเทพปฐมกาล!”

มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงดังก้อง

นี่คือการรวมสุดยอดร่างทั้งห้าเข้าด้วยกัน ร่างเทห์สวรรค์ใหม่นี้ถูกสร้างขึ้นโดยการรวมจุดเด่นของร่างมหาเทพทั้งหมดเอาไว้

“ถึงตาข้ามั่ง!”

มู่เฉินมองไปที่เทพปีศาจมือประสานเข้าด้วยกัน วงรัศมีห้าสีพุ่งออกมา บีบกดเหนือร่างอสูรปีศาจสิบตา

“รัศมีห้าสีปราบปีศาจ!”

ฮึ่ม ฮึ่ม!

สีทั้งห้าคลี่กระจาย ราวกับว่าร่างมหาเทพปฐมกาลปรากฏขึ้นบดขยี้ไปที่ร่างอสูรปีศาจสิบตา

โฮก โฮก!

รัศมีหลิงโบราณทำให้ร่างอสูปีศาจคำรามทันที จากนั้นรัศมีปีศาจที่อยู่บนนั้นก็เริ่มลดลง ราวกับว่ากำลังถูกหลอมละลาย

“ปีศาจกลืนกิน!”

เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงโดยรอบเทพปีศาจก็คำราม ร่างอสูรปีศาจหายใจเข้าลึกพร้อมกับรัศมีปีศาจไร้ขอบเขตรวมอยู่ที่ปากก่อนที่จะถูกบีบอัด

“ปราณปีศาจ!”

ตู้ม!

อึดใจต่อมาทะเลปีศาจก็ทะลักออกมา ซัดเข้าหารัศมีห้าสีต่อต้านความสว่างที่ส่องลงมา

ทุกคนในมหาพันภพลุ้นระทึกเมื่อมองไปที่หน้าจอ ใครก็สามารถบอกได้ว่าศึกนี้มาถึงจุดสุดยอดแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างปลดปล่อยกระบวนท่าสูงสุดออกมา

ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเท่ากับหายนะใหญ่หลวง

“เทพปีศาจรีบร้อนเกินไป” หลินต้งและเซียวเหยียนที่เฝ้าดูฉากนี้ก็รู้ว่าข้อได้เปรียบของมู่เฉินกำลังเพิ่มขึ้นเมื่อลากเวลาได้นานขึ้น ท้ายที่สุดนี่คือมหาพันโลกและมู่เฉินสามารถยืมพลังงานโลกเพื่อต่อสู้กับเทพปีศาจ

เผชิญกับสถานการณ์นี้เทพปีศาจก็รับรู้เช่นกัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าของเขามืดครึ้มลง

เทพปีศาจยืนอยู่ใต้ร่างอสูรปีศาจสิบตาพร้อมกับดวงตาที่สิบที่หว่างคิ้ววูบไหวไม่หยุด ไม่นานต่อมาความดุร้ายก็กระจายทั่วใบหน้า

“ในเมื่อแกบังคับข้าเอง งั้นก็อย่าโทษข้าซะล่ะ!”

เขารู้ดีว่าถ้าไม่ทำลายสมดุลนี้ เขาจะต้องแพ้แน่นอน

ตู้ม!

อสูรปีศาจกวาดเทพปีศาจกลายเป็นลำแสงปีศาจพุ่งทะยานสู่ขอบฟ้า ขณะที่ดวงตาทั้งสิบกะพริบตาก็ฉีกมิติออกไปปรากฏตัวในห้วงมิตินอกทวีปหลิงหมัว

ขณะที่อสูรปีศาจคำราม เสียงที่ทำให้หูดับก็ดังก้องไปทั่วมหาพันภพ

“ปีศาจอเวจี มหานรกปีศาจ!”

ครืนๆๆๆ!

เมื่อเสียงเขาดังก้อง กองทัพจักรวรรดิปีศาจก็ร้องโหยหวนก่อนที่ร่างนักรบจะระเบิดกลายเป็นหมอกเลือดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

อสูรปีศาจเขมือบหมอกเลือด จากนั้นก็วาดตราประทับ ร่างใหญ่ของมันระเบิดออก กระแสปีศาจรุนแรงหลั่งไหลออกมา

กระแสปีศาจทะลุผ่านมิติก่อนจะแยกออกเป็นสายธารเล็กๆ ปรากฏทุกหัวระแหงในมหาพันภพ

ยามนี้ผู้คนที่ต่างๆ ตกตะลึงที่เห็นกระแสปีศาจขนาดใหญ่พลุ่งพล่านพยายามทำลายบ้านเกิดของพวกเขา

ในทวีปหลิงหมัว จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนหน้าถอดสี

“ฮ่าๆ ในเมื่อแกต้องการปกป้องจักรวาลนี้ ข้าก็จะทำลายซะ!” ขณะที่กระแสปีศาจนับล้านล้านสายไหลไปยังมหาพันภพ เสียงโหดร้ายของเทพปีศาจก็ดังก้อง

มู่เฉิน หลินต้งและเซียวเหยียนไปปรากฏตัวบนทวีปหลิงหมัว พวกเขามองไปที่กระแสปีศาจไร้ขอบเขตด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“ไอ้นั่นบ้าไปแล้ว! การที่มันทำลายอสูรปีศาจสิบตาก็เท่ากับการระเบิดตัวเองนั่นแหละ!” เซียวเหยียนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เราต้องหยุดสิ่งนี้ไม่เช่นนั้นมหาพันภพจะประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่” หลินต้งตอบ

“กระแสปีศาจแยกออกเป็นล้านล้านเส้นเข้าสู่มหาพันภพแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหยุดเลย” คิ้วของเซียวเหยียนขมวดเข้าหากัน

ในขณะนี้ทวีปต่างๆ ของมหาพันภพกำลังตกอยู่ในจลาจล ทุกคนมองไปที่กระแสปีศาจขณะตัวสั่นเทา ตราบใดที่สายธารเหล่านั้นไหลลงมา โลกของพวกเขาก็จะกลายเป็นนรก

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบมองไปที่ทวีปต่างๆ ที่กำลังตกอยู่ในจลาจลก็พูดว่า “สายธารเหล่านั้นสามารถกลืนกินชีวิตเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง มิหนำซ้ำเทพปีศาจก็ซ่อนอยู่ในนั้น มันพยายามที่จะกลืนกินพลังชีวิตสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง”

หลินต้งและเซียวเหยียนหดตาลง “งั้นเราจะปล่อยให้มันทำสำเร็จไม่ได้ เจ้ามีแผนอะไรบ้างไหม?”

มู่เฉินนั่งลงพยักหน้าไปให้ทั้งสอง “ผู้อาวุโสวางใจเถอะ ถ้าข้าปล่อยให้มหันตภัยนี้ได้สิ่งที่ต้องการ ข้าก็ไม่คู่ควรกับโอกาสที่มหาพันภพมอบให้ …

“ในเมื่อมันแยกตัวออกเป็นล้านล้านเส้นเพื่อกลืนกินมหาพันภพ งั้นข้าจะแสดงให้มันเห็นว่าเมื่อทุกคนในมหาพันภพรวมพลังกันแล้วก็หาใดเปรียบเช่นกัน”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท