หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1562 เทพปีศาจจักรพรรดิสิ้นชีพ

บทที่ 1562 เทพปีศาจจักรพรรดิสิ้นชีพ

มิติถูกลดระยะห่างอย่างรวดเร็ว

พื้นที่นี้ตกอยู่ในความวุ่นวายด้วยพายุรุนแรง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังไม่กล้าแหย่เท้าเข้ามา

ท่ามกลางความโกลาหลมีความผันผวนเชิงมิติ

ลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา กลายเป็นร่างคนซึ่งก็คือเทพปีศาจจักรพรรดิ

ขณะนี้ใบหน้าของเทพปีศาจมืดครึ้ม เขาอยู่ที่ชายขอบของมหาพันภพแล้ว อีกก้าวหนึ่งก็จะฝ่าปราการระนาบพิภพ เมื่อหลายหมื่นปีก่อนเขาเป็นคนที่นำจักรวรรดิปีศาจยาตราผ่านมาทางนี้เพื่อบุกเข้าสู่มหาพันภพ

ทว่าเขาไม่เคยคิดว่าหลายหมื่นปีถัดมาเขาก็ต้องหนีซมซานออกจากที่นี่เช่นกัน

“บ้าเอ้ย! มู่เฉิน เทพจักพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม คนอย่างข้ายังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายดายแบบนี้หรอก ข้าจะกลับมาอีกครั้ง!” เทพปีศาจกล่าวเสียงเย็นชา

ตู้ม!

แต่ทันใดนั้นเองมิติรอบตัวเขาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ลำแสงสายหนึ่งบินฉวัดเฉวียนเข้ามา

ลำแสงนี้ไม่สะดุดตา แต่กลับทำให้ใบหน้าของเทพปีศาจเปลี่ยนไป เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายการทำลายล้างที่มาจากมัน

เสียงคำรามถูกปลดปล่อย รัศมีปีศาจก็พุ่งออกมาก่อตัวแนวป้องกันนับล้านๆ ที่เบื้องหน้าเขา

ปัง ปัง!

ทว่าแนวป้องกันเหล่านั้นก็พังทลายลงในพริบตา ขณะที่ลำแสงบินมาปรากฏเบื้องหน้าเทพปีศาจ เวลานี้เขาเห็นแล้วว่าสิ่งที่อยู่ภายในคือลูกปัดแพรวพราว

การสะท้อนแสงของลูกปัดฉายใบหน้าขนพองสยองเกล้าของเทพปีศาจ

แต่ก่อนที่เขาจะตอบสนอง ลูกปัดก็โผบินแล้วยิงเข้าที่ดวงตาชั่วร้ายที่หน้าผาก

ปุ!

ไม่ได้เกิดความปั่นป่วนใดๆ แต่เลือดสีดำสาดกระเซ็นออกมา ลูกปัดทำลายดวงตาฝังลึกอยู่ในตัวเขา

ร่างเทพปีศาจแข็งทื่อพร้อมกับความไม่เชื่อบนใบหน้า เขาตัวสั่นเมื่อสัมผัสหน้าผาก ลูกปัดทรงกลมก็ค่อยๆ แตกออกจากกัน ทันใดนั้นรัศมีจั้นยี่ที่บ้าคลั่งก็พลุ่งพล่านเข้าสู่ร่างกายเขา

“เป็นไปได้ยังไง…?” เทพปีศาจพึมพำ

ขณะที่มิติแปรปรวนเบื้องหน้าหน้าเขา ร่างร่างหนึ่งก็ก้าวออกมา มู่เฉินมองไปที่เทพปีศาจอย่างเย็นชาและพูดว่า “ทุกชีวิตอาจมีพลังจ้อยร่อย แต่เมื่อรวมกันก็สามารถทำลายเจ้าได้”

ใบหน้าของเทพปีศาจเปลี่ยนไปขณะที่เลือดไหลกระฉูดลงมาจากหน้าผากทำให้ดูน่าสยดสยองยิ่งนัก เมื่อรู้สึกถึงพลังทำลายล้างที่สร้างความหายนะภายในร่างกายเขาก็ถอนหายใจเบาๆ เอ่ยออกมา “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเทพปีศาจจักรพรรดิเช่นข้าจะต้องทิ้งชีวิตไว้ในมหาพันภพ…”

เขาเงยหน้าขึ้น แม้จะไม่มีดวงตาแต่ก็ยังมองไปที่มู่เฉิน “มหาพันภพได้รับพรจากสวรรค์แท้จริง อีกไม่นาน รวมเจ้าด้วยคงมีเทพผู้พิทักษ์ถึงสามคน หึ หึ น่าเกรงขาม…”

“มหาพันภพไม่ธรรมดาจริงๆ”

มู่เฉินจ้องมองไปที่เทพปีศาจตอบว่า “เทพปีศาจ เจ้าก่อกรรมทำเข็ญฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปทั่วจักรวาลของข้ามานับหมื่นๆ ปี ซ้ำยังก่อให้เกิดมหันตภัยใหญ่ครั้งที่สอง วันนี้ถือว่าเป็นหนี้ที่ต้องจ่ายให้ทุกคนที่สังเวยชีวิตไป”

เทพปีศาจฉายรอยยิ้มไม่แยแสตอกกลับว่า “พวกมันก็เป็นแค่มด ทำไมข้าถึงต้องสนใจในการฆ่าด้วยล่ะ? ในเมื่อวันนี้ข้าแพ้ด้วยน้ำมือเจ้าก็หมายความว่าชะตาลิขิต แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ข้ารู้สึกเสียใจ ก็ดูถูกกันเกินไปแล้ว”

หลังจากหยุดชั่วครู่ดูเหมือนว่าจะมีความเสียดายแขวนอยู่ที่มุมปากบางเบาขณะที่พึมพำ “ตอนแรกยังคิดจะครอบครองมหาพันภพเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับจักรวรรดิปีศาจสักหน่อย”

“ช่างน่าเสียดาย…ที่ล้มเหลว”

เมื่อสิ้นเสียงเทพปีศาจ รอยแตกก็ปกคลุมไปทั่วร่าง

ตู้ม!

อึดใจร่างกายก็ระเบิด รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตแผ่ออกมา

มู่เฉินยืนจ้องมองรัศมีปีศาจจากนั้นลำแสงก็พุ่งออกมาจากศีรษะ เจดีย์พลิ้วลงมาดูดรัศมีปีศาจทั้งหมดไป

ตู้ม!

เจดีย์ปล่อยตัวลงในดินแดนว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ขณะเดียวกันแสงหลิงก็ส่องประกาย ปิดผนึกทั้งดินแดนไม่ให้ผู้ใดรับรู้ได้

เจดีย์ระงับไอปีศาจที่เทพปีศาจปลูกฝังในช่วงชีวิต ซึ่งจะทำให้คลื่นหลิงปนเปื้อนหากมีการแพร่กระจาย ดังนั้นจึงต้องระงับและค่อยๆ ชำระไป

แต่ครั้งนี้เทพปีศาจสิ้นชีพแล้ว

มู่เฉินมองไปที่เจดีย์เป็นเวลานาน จากนั้นก็สะบัดมือคลื่นหลิงพลิกผันฉายภาพเขาไปยังส่วนต่างๆ ในมหาพันภพ เสียงเขาสะท้อนออกมา

“เทพปีศาจจักรพรรดิสิ้นชีพแล้ว หายนะของมหาพันภพมลายหายไปสิ้น”

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปใครที่คิดบุกรุกบ้านเราจะต้องถูกสังหารจนสิ้นซาก”

ตู้ม!

ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นจากทั่วทุกมุม ผู้คนนับไม่ถ้วนคุกเข่าลง ภายใต้มหันตภัยทำลายล้างพวกเขาราวกับมดตัวน้อย แต่โชคดีที่อัจฉริยะที่โดดเด่นปรากฏตัวในช่วงเวลาวิกฤตขจัดภัยพิบัติลง

“เทพมหาจักรพรรดิมู่!”

“เทพมหาจักรพรรดิมู่!”

“เทพมหาจักรพรรดิมู่!”

เสียงโห่ร้องดังสนั่นไปทั่วจักรวสาล ทำให้โลกทุกใบสั่นสะเทือน

ในทวีปเป่ยชางทุกคนต่างก็ส่งเสียงร้องดีใจเช่นกัน แม้ว่าเสียงจะแหบแห้งหมดไป แต่ก็ไม่สามารถหยุดความปลื้มปริ่มได้ ดวงตาของพวกเขาลุกโชนขณะมองไปที่ร่างสง่างามนั้น

“เจ้านั่น… ไม่รู้ว่าจะสามารถตามรอยเขาในช่วงชีวิตตนเองได้ไหม?” เสิ่นชังเสิงถอนหายใจขณะเงยหน้าขึ้น

“ตราบใดที่ไม่ยอมแพ้ก็มีความหวัง เราต้องทำงานให้หนักยิ่งขึ้น” หลี่เฉวียนทงยิ้ม

ทั้งสองสบตากันก็หัวเราะร่า ย้อนนึกไปในอดีต ตอนอยู่ที่สำนักศึกษาเป่ยชาง แม้พวกเขาจะแข็งแกร่งกว่ามู่เฉิน แต่ศิษย์น้องคนนี้เคยกลัวซะที่ไหน? เขายังคงมุ่งมั่นพยายามก้าวทีละขั้น…ทีละขั้น จนสุดท้ายก็อยู่เหนือพวกเขา

ตำหนักมู่

“ลูกชายข้าน่าเกรงขามจริงๆ” มู่เฟิงยืนอยู่เบื้องหน้าตำหนักพร้อมกับยิ้มตาหยี ถังซันและพรรคพวกก็ยืนอยู่ด้านข้าง คนเหล่านี้คือเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเขาจากมณฑลเป่ยหลิง ตอนที่มหาพันภพเกิดภัยใหญ่เขาก็ไปรับพรรคพวกมาอยู่ด้วยกันที่ตำหนักมู่

เมื่อเห็นความภาคภูมิใจบนใบหน้าของมู่เฟิง ถังซันและคนอื่นๆ ก็อดส่ายหัวกับบิดาที่อวดลูกชายไม่ได้ ‘ลูกชายของเจ้าดำรงอยู่สูงสุดในมหาพันภพแล้ว เจ้ายังจะเอามาอวดอีกเรอะ?’

ทวีปหลิงหมัว

ลั่วหลียืนมือไพล่หลัง เงยหน้าเล็กน้อยมองไปในความว่างเปล่า

ครู่หนึ่งมิติเบื้องหน้าก็ผันผวน มู่เฉินก้าวออกมา

“อา ท่านวีรบุรุษกลับมาแล้วเหรอ?” ลั่วหลีฉายรอยยิ้มงดงาม

มู่เฉินยิ้มขณะเหยียดแขนออกโอบเอวบางไว้ “ข้ากลัวจริงๆ นะว่าจะปกป้องทุกคนไม่ได้”

ลั่วหลีเผยรอยยิ้มอบอุ่นขณะสวมกอดมู่เฉิน “มู่เฉิน… เจ้ายอดเยี่ยมที่สุดในจักรวาลและข้าภูมิใจในตัวเจ้าที่สุด”

“นอกจากนี้ตอนนี้เจ้าคือเทพจอมยุทธ์สูงสุดแท้จริง

“เจ้าได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับข้าในตอนนั้นแล้ว”

มู่เฉินก้มหน้าลงมองใบหน้าสะคราญโฉมก็ยิ้ม “งั้นเราจะแต่งงานกันเมื่อไรดี?”

ใบหน้าของลั่วหลีขึ้นริ้วแดง ม่านตาสดใสกะพริบด้วยความโหยหาตอบว่า “ทุกที่ทุกเวลา”

เมื่อมองไปที่คนรัก มู่เฉินก็นึกย้อนไปในเวลาที่พวกเขาพบกันในสงครามเทพยุทธ์ เขาเจอพบกับเด็กสาวคนหนึ่งที่เย็นชาแต่ดื้อรั้น

“ลั่วหลี”

“หืม?”

“ดีใจที่เจ้าอยู่กับข้า”

“ข้าก็เช่นกัน”

หายนะจบสิ้นลงความสงบสุขก็กลับคืนสู่มหาพันภพ

หลังจากเทพปีศาจสิ้นท่า กองทัพจักรวรรดิปีศาจก็แตกฉานซ่านเซ็น แม้ว่าจอมยุทธ์ในมหาพันภพจะไล่สังหารไปมากมาย แต่ก็ยังมีนักรบปีศาจที่มีความสามารถใช้ช่องทางของพิภพเขตล่างหลบหนีออกจากมหาพันภพ

แต่เมื่อไม่มีเทพปีศาจแล้ว คนที่พ่ายแพ้ก็ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป

หลังจากขับไล่เผ่าปีศาจต่างมิติได้ มู่เฉินก็หมุนเวียนพลังเอกภพทำความสะอาดดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกยึดครองโดยเผ่าปีศาจ เพื่อให้คลื่นหลิงสามารถกลับไปปกคลุมดินแดนที่เหลือของมหาพันภพอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี

เมื่อมีการปลดปล่อยดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล การแข่งขันดุเดือดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ขั้วอำนาจจำนวนมากเริ่มต่อสู้เพื่อชิงทรัพยากร

อย่างไรก็ตามมู่เฉินไม่ได้ขัดขวางกับเรื่องนี้ เนื่องจากเขารู้ว่าการแข่งขันจะต้องเกิดทุกที่ในโลก ถ้าไม่มีการแข่งขันใดๆ ทุกสิ่งอย่างก็จะสูญสลายตามวัฏจักรชีวิต

หนึ่งปีต่อมา

มหันตภัยในมหาพันภพถูกลบออกไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ทุกที่เต็มไปด้วยความคึกคักที่มีชีวิตชีวา

เวลานี้ภาพงานแต่งงานยิ่งใหญ่กำลังฉายไปทั่วมหาพันภพ งานแต่งนี้จัดขึ้นที่ทวีปเทียนหลัว ตำหนักมู่

“หนึ่ง คำนับฟ้าดิน”

“สอง คำนับผู้อาวุโส”

สีแดงประดับประดาทั่วตำหนักมู่ฉายความรื่นเริง เสียงดนตรีไพเราะกำจายไปไกลในรัศมีหมื่นลี้

ในโถงกว้างชิงเหยี่ยนจิ้ง มู่เฟิงและลั่วเทียนเสิ่นนั่งอยู่บนที่นั่งบิดามารดา ขณะที่ยิ้มและมองไปที่บ่าวสาว

ที่ด้านข้างหลินต้งและเซียวเหยียนพร้อมทั้งฮูหยินก็นั่งอยู่ นอกเหนือจากพวกเขาแล้วยังมีจอมยุทธ์คนสำคัญในมหาพันภพอีกด้วย งานแต่งงานครั้งนี้ได้รับความสนใจมหาศาล ผู้คนทั่วมหาพันภพต่างก็ชื่นชมยินดี

“สาม คำนับกันและกัน!”

เสียงหนักแน่นดังขึ้น มู่เฉินในชุดสีแดงมองไปที่หญิงสาวที่สวมมงกุฎหงส์ ขณะที่ทั้งสองโค้งคำนับกันและกัน ดวงตาก็สบกันไปด้วย เมื่อเงยหน้าส่วนโค้งอ่อนโยนก็เผยบนริมฝีปาก นี่ช่างเหมือนภาพเด็กหนุ่มและเด็กสาวมองดูกันในสงครามเทพยุทธ์ตอนที่พบกันครั้งแรก

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านยี่สิบเจ็ดปีก็ผ่านไปในพริบตา

ในช่วงยี่สิบเจ็ดปีมหาพันภพเฟื่องฟูด้วยขั้วอำนาจใหม่มากมายที่ตั้งขึ้นและการเผยตัวของจอมยุทธ์จำนวนมาก

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะโดดเด่นแค่ไหนก็รู้ว่ามีสามคนที่ไม่มีใครเทียบได้

ทวีปเทียนหลัวที่ตั้งกองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่

บนยอดเขาสูงตระหง่านมู่เฉินนั่งลงพร้อมกับคลื่นหลิงไหลเวียน ที่ปลายยอดเขามีประตูขนาดใหญ่ นั่นก็คือประตูมังกรทะยาน

ที่หน้าประตูสมาชิกตำหนักมู่กำลังพยายามพร้อมคำอุทานที่ระเบิดออกมา

ขณะที่มู่เฉินกำลังเฝ้าดูฉากนี้อย่างเกียจคร้าน ร่างเล็กร่างหนึ่งก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของเขา

“ป้อ!” เสียงอ่อนโยนออดอ้อนดังขึ้น

มู่เฉินสวมกอดเด็กน้อยยิ้มสบายอารมณ์ นี่เป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่อายุประมาณสองขวบ นางเป็นเด็กหน้าตาน่ารักมาก ฟันสีขาวมุก ม่านตาสีสดใส สวมเสื้อผ้าสีฟ้าพร้อมกับถักเปียเล็กๆ บนศีรษะ ความน่ารักของนางทำให้หัวใจของมู่เฉินละลาย

นี่คือลูกสาวของเขาและลั่วหลี ซึ่งพวกเขาตั้งชื่อให้นางไว้นานแล้ว—มู่หยุนซี

“เฮ้ หยุนซีน้อย คิดถึงพ่อหรือเปล่า?” มู่เฉินยิ้มพร้อมกับดวงตาหรี่ลงมองไปที่บุตรสาว

“กิ๊ด…ตึ๋ง!” มู่หยุนซีตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่จะคว้าผลไม้วิญญาณบนโต๊ะข้างๆ พร้อมกับน้ำลายไหลในแววตา เห็นได้ชัดว่าอาหารอร่อยๆ ดึงดูดใจมากกว่าบิดา

“เจ้าลูกหมู” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

“พวกเจ้าเพิ่งแยกกันเมื่อครู่เองจะคิดถึงอะไรกันนักกันหนา?” เสียงดังก้องจากด้านหลังพร้อมกับลั่วหลีสวมชุดสีดำเดินเข้ามา นางมองคู่พ่อลูกสาวอย่างช่วยไม่ได้

ตั้งแต่ลูกสาวเกิดมา ความรักที่มู่เฉินที่มีต่อเจ้าตัวเล็กก็มากจนบางครั้งนางยังหึง

มู่เฉินหัวเราะเบาๆ ยื่นมือออกไปจับมือลั่วหลีให้นั่งเคียงข้างเขา ครอบครัวเล็กๆ สามคนเต็มไปด้วยความสุขและความรัก

ฮึ่ม!

มู่เฉินที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศ จู่ๆ ก็หรี่ตาลง เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนผิดปกติภายในมหาพันภพ

ตู้ม ตู้ม!

ไม่นานหลังจากนั้นมหาพันภพก็เริ่มสั่นสะเทือน

“เกิดอะไรขึ้น?” ลั่วหลีสังเกตเห็นความวุ่นวายก็อุทานออกมา

มู่เฉินยืนขึ้นมองผ่านมิติพลางยิ้ม “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง”

เมื่อเสียงของเขาดังก้อง ทุกคนในมหาพันภพก็สัมผัสได้ถึงความปั่นป่วน พวกเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นกระดานโบราณพลิ้วลงมา นั่นคือทำเนียบเหนือภพ!

ขณะนี้ร่างสง่างามสองร่างยืนอยู่ในแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู นิ้วของพวกเขาราวกับพู่กันตวัดชื่อสมบูรณ์สองชื่อบนกระดานโบราณ

“เซียวเหยียน!”

“หลินต้ง!”

มู่เฉินวางลูกสาวลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นประสานมือไปในทิศทางของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู

“ขอแสดงความยินดีกับผู้อาวุโสทั้งสองที่ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด!”

ในที่ไกลเซียวเหยียนและหลินต้งก็ยิ้มขณะประสานมือให้มู่เฉิน

นี่เป็นอีกครั้งที่มหาพันภพระเบิดเสียงโห่ร้องยินดี ในสายตาทุกคนฉายแววเคารพนับถือ พวกเขารู้ว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปจะมีเทพจอมยุทธ์สูงสุดอีกสองคนในมหาพันภพ

ผู้คนนับไม่ถ้วนโค้งคำนับให้กับเทพจักรพรรดิทั้งสามคนของพวกเขา

ยามนี้มหาพันภพมีเทพผู้พิทักษ์ถึงสามคน ความเจริญรุ่งเรืองจะสืบทอดไปอีกหลายร้อยล้านปีโดยไม่มีวันล่มสลายอีกต่อไป

———————-

อวสาน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท