กู่ฉิงซานวางลอร่ากลับลงบนไหล่ของเขา
ลอร่าเงยหน้า มองขึ้นไปยังตึกสูง 600 ชั้นและอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
เธอไม่คาดคิดเลยว่า จู่ๆตนจะดิ่งลงมาจากสถานที่ๆสูงถึงขนาดนั้น
แถมยังถูกลากเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้อันแสนจะดุเดือดกว่าอีกตั้งสองสามรอบ
เกรงว่าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่คอยเฝ้าดู มิใช่เธอแล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครก็คงจะรู้สึกว่ากู่ฉิงซานสามารถเอาชนะในแต่ละการต่อสู้มาได้อย่างง่ายดาย
ทว่าสำหรับลอร่านั้นไม่ เธอเติบโตมากับการได้รับการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการต่อสู้ที่ดีที่สุดตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กสาวจึงครอบครองวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยม
ส่งผลให้เธอสามารถเข้าใจถึงอันตรายได้ดี
บางครั้ง กู่ฉิงซานก็เอาชีวิตตัวเอง โยนไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างชัดเจน
แต่ในขณะนั้น ก็เป็นช่วงที่เขาระเบิดศักยภาพร่างกายออกมาได้ถึงขีดสุดเช่นกัน
ช่วงเวลาที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย กู่ฉิงซานก็จะระเบิดพลังออกมา ทุ่มสุดฝีมือให้ศัตรูตกตายลงก่อนตน
พอคิดถึงจุดนี้ ลอร่าก็ถอนหายใจ และลูบไล้เกราะไหล่ของกู่ฉิงซานอย่างแผ่วเบา
ชุดเกราะนี้เต็มไปด้วยร่องรอยเสียหาย และหลังจากการต่อสู้ที่รุนแรงเมื่อครู่ ทั้งหลุมทั้งร่องรอยในบางตำแหน่งก็ลึกจนเกือบจะทะลุเนื้อเกราะลงไปถึงเนื้อหนังแล้ว
ชุดเกราะนี่มัน …
‘เลวร้ายอย่างที่คิดจริงๆ’
กู่ฉิงซานไม่ได้รับรู้ว่าลอร่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เขาจ้องมองไปยังหน้าต่างเชื้อไฟ
“ในเมื่อภารกิจนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว ถ้าอย่างงั้นก็ขอภารกิจต่อไปด้วย”
เขากล่าว
เฝ้ารอเพียงไม่กี่ลมหายใจ เสียงของเชื้อไฟก็ดังขึ้น
“ภารกิจถูกจัดเตรียมให้พร้อมแล้ว”
“จากนี้คือการเดินทางที่แสนยาวนานและยากลำบาก คุณจะต้องข้ามผ่านทุ่งน้ำแข็งเพื่อมุ่งหน้าไปรับภารกิจต่อไป”
“ข้ามผ่านทุ่งน้ำแข็งงั้นหรอ?”
กู่ฉิงซานงึมงำ
ในระหว่างที่เขายืนอยู่บนยอดหลังคาตึก 600 ชั้น ตนก็ได้มองลงมาเบื้องล่างเหมือนกัน
—และตนก็สังเกตเห็นถึงพื้นน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ ยาวไกลออกไปไม่เห็นจุดสิ้นสุดปลายของมัน
การเดินทางในครั้งนี้ คงไม่พ้นเป็นการเดินทางอันยาวนานและยากลำบากอย่างที่เชื้อไฟพูดเป็นแน่
‘ … ’
ไม่รู้ว่าซูเซี่ยเอ๋อจะยังเดินทางอยู่บนทุ่งน้ำแข็งรึเปล่า
เด็กสาวไร้เดียงสาคนนั้น คงยังไม่ทราบว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้นในตอนนี้
กู่ฉิงซานกำดาบในมือตนแน่นขึ้น
“ไปกันเถอะ” เขาพูดกับลอร่า
“อื้อ” ลอร่าได้สติกลับคืน และหันมาตอบเขา
ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานจึงโค้งลงเล็กน้อย ช่วงล่างเขม็งเกร็งเตรียมที่จะพุ่งออกไป
ลอร่าร้องเสียงหลงทันที “เดี๋ยวๆๆ นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ก็บินไง มันจะได้ไปเร็วๆ” กู่ฉิงซานกล่าว
“โอ๊ยจะบินอีกแล้ว? นี่เท้าเราพึ่งจะได้แตะถึงพื้นเองนะ” ลอร่าบ่นอุบ
กู่ฉิงซานพอเห็นถึงท่าทีของอีกฝ่าย เขาก็ถึงกับต้องยกมือขึ้นมานวดหน้าผาก ก่อนจะใช้มืออีกข้างตบลงในถุงสัมภาระและเรียกเรือเหาะออกมา
บนเรือเหาะ ปรากฏตัวอักษรที่ฉวัดเฉวียนคล้ายหงส์ร่อนมังกรรำเป็นคำว่า ‘ซาน’ สลักอยู่
นี่คือผลงานอันแสนภาคภูมิใจที่ปรับแต่งอย่างประณีตและพิถีพิถันโดยฉินเซี่ยวโหลว กล่าวได้ว่าตราบใดที่ยัดศิลาวิญญาณให้แก่มัน ความไวของเรือเหาะย่อมรวดเร็วกว่าเรือทั่วๆไปอย่างเทียบไม่ติด
เรือเหาะมีขนาดเล็ก ขณะเดียวกันก็มีห้องโดยสารเล็กๆตั้งอยู่
ลอร่ากระโดดขึ้นไปสำรวจมัน
เธอเปิดห้องโดยสารเข้าไป -เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปิดใช้งาน ตัวเรือเหาะก็เริ่มขับเคลื่อนทันที
ภายในห้องโดยสาร ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายพลังงานวิญญาณคอยหล่อเลี้ยง พร้อมของว่างเล็กๆน้อยๆและกาที่ใส่ชาวิญญาณถูกวางรอเอาไว้อยู่บนเตา
–หากได้นั่งในห้องโดยสารนี้ มันคงสะดวกสบายไม่น้อย แถมยังมองไม่เห็นวิวความสูงจากภายนอกอีกด้วย
ร่องรอยของพลังงานวิญญาณจางๆ ค่อยๆซึมซาบไปตามผิวหนังของลอร่า
ลอร่ามองสำรวจอยู่เงียบๆไปครู่หนึ่ง และยิ้มออกมา
ลอร่าเปิดประตูห้องโดยสารและกระโดดลงมาจากเรือเหาะ “ใช้ได้เลยนี่นา”
“งั้นตอนนี้พวกเราจะไปกันได้รึยัง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ลอร่าครุ่นคิดและกล่าว “แต่ถ้าทำแบบนี้ มันจะไม่นับว่าเป็นการโกงหรือ?”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น”
“แล้วมันจะดีหรอ?”
“ช่างมันเถอะ ยังไงพวกเราก็โกงมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่”
“ถ้าเจ้าพูดแบบนั้น … ”
ลอร่าหันไปเปิดกระเป๋าใบเล็กๆของเธอ และเอื้อมมือเข้าไปรื้อค้นของภายใน
กู่ฉิงซานพอเห็นจึงเฝ้ารอ
“เจอแล้ว! พวกเราจะใช้สิ่งนี้กันแทน” ลอร่าดึงนกหวีดออกมา และมอบมันให้แก่กู่ฉิงซาน
“นี่คืออะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“มันคือนกหวีดเรียกที่ใช้เรียกสัตว์ขี่จากแดนชำระล้าง ท่านพ่อของเราได้รับมันมาโดยการแลกเปลี่ยนกับต้นกำเนิดของโลก”
ลอร่าเริ่มอธิบายถึงคุณสมบัติอย่างมันอย่างรวดเร็ว “ความว่องไวของมันย่อมเร็วกว่าเรือเหาะของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นมันยังวิ่งบนพื้น หากขี่มัน ข้าคงรู้สึกสบายใจกว่ามาก”
“แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงไม่ใช้มันในการหลบหนีล่ะ?”
“เพราะมันตัวใหญ่เกินไป ไม่เหมาะสมกับร่างกายของเรา ดังนั้นเลยจะต้องมีใครสักคนขี่มันเพื่อที่จะพาเราไป” ลอร่ามองเขา
กู่ฉิงซานสูดลมหายใจลึก ยกนกหวีดเข้าปาก แล้วเป่ามันอย่างแรง
ทันทีที่เสียงนกหวีดดังขึ้น ม้าทมิฬก็ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสอง
“ปีกแห่งแดนชำระล้างพร้อมที่จะรับใช้พวกท่านแล้ว – หวังว่าข้าคงจะไม่ทำให้ท่านทั้งสองหวาดกลัวนะ” มันกล่าวเสียงต่ำ
กู่ฉิงซานอุ้มลอร่าไว้ในอ้อมแขน และกระโดดลงบนหลังม้า
“เจ้าขี่มันเป็นหรือเปล่า?” ลอร่ามองเขาด้วยความกังวลเล็กน้อยและเอ่ยถาม
“กระหม่อมพึ่งจะได้เรียนรู้วิธีการขี่มาเมื่อวานนี้เอง” กู่ฉิงซานตอบ
พริบตานั้นบนพื้นน้ำแข็งพลันจมลงสู่ความเงียบสงัด
ลอร่าจ้องมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่เจ้าไม่แม้แต่จะสามารถขี่ม้าได้อย่างงั้นหรอ? เรื่องง่ายๆเช่นนี้ยังทำไม่ได้ แล้วแฟนสาวจะไม่รังเกียจเจ้าหรือ?”
“เธอเป็นคนสอนกระหม่อมเอง” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง
ใช่แล้วล่ะ เขาพึ่งจะได้เรียนรู้มันในตอนที่ก้าวเข้าสู่ประตูรีสอร์ทของอัลเบอัส ดังนั้นเวลานี้กระทั่งตนเองก็ยังรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“ท่านทั้งสองโปรดวางใจ ข้าสามารถวิ่งด้วยตนเองได้” ม้าทมิฬกล่าว
กู่ฉิงซานพอได้ฟังจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก และชี้ไปยังส่วนลึกที่ไกลออกไปบนพื้นน้ำแข็ง “เราจะมุ่งตรงไปในทิศทางนั้น แต่มันอาจจะมีศัตรูคอยดักอยู่ระหว่างทาง และปรากฏตัวขึ้นมาได้ตลอดเวลา ฉะนั้นโปรดระมัดระวังด้วย”
“ข้ามีเพียงคำถามเดียว นั่นคือท่านทั้งสองกำลังรีบหรือไม่? รึว่าต้องการที่จะเดินทางแบบชมทิวทัศน์?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม
กู่ฉิงซาน “พวกเรากำลังรีบ ดังนั้นได้โปร-”
ปัง!
บังเกิดสายลมกรรโชก ทั้งคนทั้งม้าหายวับไปจากสถานที่เดียวกัน
พริบตาเดียว ก็เห็นแค่เพียงจุดไข่ปลาสีดำพุ่งไกลออกไปสุดสายตาแล้ว
….
อีกด้านหนึ่ง
ลึกเข้าไปท่ามกลางพื้นน้ำแข็ง
สายลมและหิมะคำรามหวิว -ซูเซี่ยเอ๋อเดินอยู่เพียงลำพัง
ครู่หนึ่ง เธอก็ตระหนักได้ว่าตนเองกำลังจะไปถึงจุดสิ้นสุดของทุ่งน้ำแข็ง
ไกลออกไปสุดขอบฟ้า พื้นน้ำแข็งได้หายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้างอันงดงาม
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็รีบเร่งฝีเท้ามุ่งไป
เพราะความหนาวระดับนี้ สำหรับร่างกายของเธอแล้วมันก็ยังนับว่าเย็นเกินไป
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ แต้มพลังวิญญาณของเธอเหลือเพียง 11 แต้มเท่านั้น และมันกำลังจะไม่สามารถต้านทานการรุกล้ำของเชื้อไฟได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ย่ำไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็จำต้องหยุดฝีเท้าลง
คทาในมือถูกยกขึ้น สายตาสาดส่องไปยังเบื้องหน้าอย่างระแวดระวัง
-ท่ามกลางสายลมที่ฟุ้งไปด้วยหิมะ ปรากฏให้เห็นถึงรถม้าเจ็ดคันที่ถูกลากจูงด้วยม้าห้าตัวจากระยะไกล
พวกมันมุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ใช้เวลาไม่นาน รถม้าก็มาหยุดจอดลงเบื้องหน้าซูเซี่ยเอ๋อ
พร้อมกับหลายสิบคนที่มีอาวุธครบมือจ้องมองเธอ
“ก็แค่นังลูกเจี๊ยบคนหนึ่ง” บางคนเอ่ยเสียงต่ำขึ้นมา
อีกคนพูดบ้าง “แต่ก็ดูจะร้ายกาจไม่เบาเลย เพราะเธอสามารถข้ามผ่านทุ่งน้ำแข็งได้โดยลำพัง ความแข็งแกร่งก็ไม่สมควรที่จะเลวร้ายจนเกินไป ถ้าพวกเรา-”
แต่แล้วเสียงๆหนึ่งก็ดังเตือนขึ้น “อย่าไปหาเหาเพิ่มเข้ามาใส่หัว ตอนนี้เชื้อไฟกำลังมอบภารกิจพิเศษให้พวกเราทำอยู่ จำไม่ได้แล้วหรือไง?”
“แต่พวกเราจับตัวเธอไประหว่างทำภารกิจด้วยก็ได้นี่นา” บางคนที่กวาดสายตามองซูเซี่ยเอ๋อขึ้นๆลงๆเริ่มเอ่ยประท้วง
ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อเริ่มหนักอึ้งขึ้น
ด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้ของเธอ เซี่ยเอ๋อสัมผัสได้ว่าคนเหล่านี้ไม่ง่ายเลย
แถมเธอยังไม่มีแต้มพลังวิญญาณเหลืออีกต่อไปแล้ว
ถ้าหากต้องต่อสู้กับพวกเขา เกรงว่าคงยากนักที่จะคาดเดาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
พอรับฟังมาถึงจุดนี้ อีกคนหนึ่งก็กล่าว “มันก็เป็นความคิดที่ไม่เลวหรอกนะ ผู้หญิงคนนี้ก็ดูน่ารักมากจริงๆ แต่ถ้าพวกแกนำเธอไปด้วย และภารกิจที่ทำอยู่ดันเกิดปัญหาขึ้น บอสคนจะหั่นแกเป็นชิ้นๆแน่นอน”
เมื่อกล่าวถึง ‘บอส’ ทุกคนก็นิ่งไป
ทั้งหมดมองไปยังทิศทางเดียวกันอย่างมิได้นัดหมาย
เห็นแค่เพียงนักรบที่สูงกว่าสองเมตรก้าวลงมาจากรถม้า
เขาสวมชุดเกราะหนัก และวางพาดค้อนที่ทำจากโลหะบริสุทธิ์บนไหล่ของเขา
พื้นน้ำแข็งถึงกับปริร้าว ในทุกๆการย่างเท้าที่เขาเหยียบย่ำมัน
ทันทีที่เขาปรากฏตัว เสียงเซ็งแซ่ทั้งหมดก็หายไป
ดูเหมือนว่าผู้คนจะหวาดกลัวเขา
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนๆนี้ก็คือ ‘บอส’ ที่ว่า
“สาวน้อย เธอเคยเห็นผู้ชายที่สวมชุดเกราะสีทอง ใช้ดาบเป็นอาวุธ และดูเหมือนว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์บ้างไหม?”
เสียงหยาบกระด้างดังลอดผ่านออกมาจากช่องว่างของหมวกเกราะ
เขาเอ่ยถามซูเซี่ยเอ๋อ
ซูเซี่ยเอ๋อขบคิดเล็กน้อย แล้วส่ายหัว “ตลอดทางที่ฉันมุ่งตรงมา ไม่เคยเห็นคนที่มีลักษณะแบบนั้นเลย”
นักรบสูงสองเมตรเอียงคอไปมองเบื้องหลังเขา
“บอส เธอพูดความจริง” คนๆหนึ่งตะโกนออกมา
นักรบดูค่อนข้างจะผิดหวังเล็กน้อย
“ลืมมันเถอะ ดูเหมือนว่าสุดท้ายพวกเราก็ไม่ได้รับข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว ตอนนี้ก็มุ่งหน้ากันต่อไปดีกว่า” เขาหันหลังและกลับเข้าไปยังรถม้า
“แต่บอส เด็กผู้หญิงคนนี้ … ” บางคนต้องการจะแย้ง
“เรื่องงานต้องมาก่อนเป็นอันดับแรกเข้าใจไหม? จะไม่มีใครสามารถขัดขวางไม่ให้ฉันทำภารกิจพิเศษของเชื้อไฟได้ หรือจะให้ฉันควักสมองของพวกแกออกมาดื่มกินทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ดี? … จะไปกันได้รึยัง?”
“ครับ!” ทุกคนตะโกนรับเสียงดัง
พวกเขากรูกันกลับเข้าไปในรถม้า และเตรียมที่จะออกเดินทางต่อไป
ซูเซี่ยเอ๋อถอยไปก้าวหนึ่ง
เธอกำลังเฝ้าสังเกตทุกท่าทีของฝูงชน
แม้ว่าบางคนจะอดไม่ได้ที่จะมองเธอด้วยแววตาที่ลุกโชนไปด้วยความปรารถนา แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยขัดอะไรออกมาอีก
ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะจากไปแล้วจริงๆ
—ไปจับตัวผู้ชายคนหนึ่งที่บอสได้อธิบายเอาไว้เมื่อครู่
ซูเซี่ยเอ๋อถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียดเล็กน้อย แต่ก็ยังคงยึดคทาไว้เบื้องหน้า รักษาท่วงท่าป้องกันเอาไว้อยู่ดี
คนเหล่านั้นเริ่มจากไป
แต่แล้วเสียงของบางคนจากบนรถม้าก็ดังขึ้น
“แกรู้รึเปล่าว่าเป้าหมายเป็นใคร?”
“จะใครก็ช่าง สุดท้ายมันก็แค่ขยะ ถ้าพวกเราร่วมมือกันก็คงจะเก็บกวาดมันได้อย่างง่ายดาย”
“แล้วแกจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันเป็นแค่ขยะ”
“ก็เชื้อไฟบอกว่ามันพึ่งจะผ่านด่านตึก 600 ชั้นออกมาได้เมื่อกี้นี้เอง”
“ฮะฮ่าฮ่า! เวลาก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว แต่กลับพึ่งผ่านตึก 600 ชั้นมาได้ มันเป็นขยะจริงๆด้วย – ฉันละสงสัยจริงๆว่าทำไมเชื้อไฟถึงให้ความสำคัญกับมันขนาดนี้ ถึงขนาดที่ต้องเรียกพวกเราเป็นคนไปลงมือด้วยตัวเอง”
“เออ เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ซูเซี่ยเอ๋อรับฟังอย่างเงียบๆ และหวังว่าอีกฝ่ายจะเร่งจากไปอย่างรวดเร็ว
แต้มพลังวิญญาณของเธอมีน้อยนิดจริงๆ เธอจึงต้องเร่งไปยังสถานที่ถัดไปทันที เพื่อดูว่าจะมีวิธีที่สามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกครั้งหรือไม่
แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถจากไปได้ในทันที เพราะการกระทำเช่นนั้นมันง่ายต่อการเปิดเผยจุดอ่อนของตัวเอง
และเธอจะต้องป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น
แต่นับว่าโชคดีจริงๆที่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวออกไปแล้ว
ดูเหมือนว่าการต่อสู้จะไม่เกิดขึ้น
ซูเซี่ยเอ๋อคลายใจลง
ทว่าทันใดนั้นเอง ประโยคสุดท้ายที่ลอยมาตามสายลมก็ทะลุเข้าหูเธอ
“เป้าหมายมีชื่อว่ากู่ฉิงซาน? โอเค ฉันจะเด็ดหัวมันเอง”
….
ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ยินชื่อนี้
เธอก็ถึงขั้นลืมหายใจ
กู่ฉิงซาน?
‘จริงสิ ฉันจำได้แล้ว’
‘ว่าฉิงซานก็ใช้ดาบเหมือนกัน’
แถมเขายังมีชุดเกราะรบสีทองไว้อยู่ชุดหนึ่ง ตามที่คนพวกนั้นได้คุยกันจริงๆ
ในที่สุดเขาก็เข้ามาจนได้!
คนพวกนี้กำลังจะไปฆ่าฉิงซาน ….
ใบหน้าของซูเซี่ยเอ๋อซีดขาว เธอมองไปยังแต้มพลังวิญญาณของตนเองอย่างรวดเร็ว
‘11’ ได้หายไป ‘10’ เข้ามาแทนที่
ยังคงเหลือแต้มพลังวิญญาณ 10 แต้ม
ขณะที่ฝ่ายตรงข้าม เป็นหลายสิบตัวตนอันแข็งแกร่งจากทั่วทุกชั้นโลก
คนเหล่านี้ล้วนสามารถผ่านการทดสอบมากมายมาได้ และไปถึงพื้นที่ภารกิจหลักแล้ว
ฉะนั้นพวกเขาย่อมต้องครอบครองอาวุธที่ยอดเยี่ยม และเชื้อไฟอยู่ในร่างกาย .. ผ่านมานานขนาดนี้เกรงว่าอย่างน้อยก็คงจะได้ทำการแลกเปลี่ยนอาวุธต่อสู้อันน่าหวาดกลัวมาได้แล้ว
พวกเขาล้วนเป็นผู้เข้าสู่วิถีมารที่ทรงพลังทั้งหมด
คนเหล่านี้ แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ยังพบว่ายากที่จะต่อกรกับพวกเขา
ขณะที่ทางฝั่งกู่ฉิงซานมีเพียงลำพังเท่านั้น
ซูเซี่ยเอ๋อทั้งคนทั้งร่างนิ่งงันไป
กระทั่งนิ้วของเธอที่กุมจับคทา ก็เริ่มที่จะกลายเป็นสีขาวซีด
เวลาค่อยๆไหลผ่านไป
ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังรถม้าที่กำลังจะจากไป ในที่สุดก็กัดฟันของตัวเอง
เธอยกมือขึ้นมาวางแนบหัวใจตน ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “ชีวิตเอ๋ยจงลุกไหม้”
ไพ่ที่เปล่งประกายเรืองรองปรากฏขึ้นในหัวใจของเธอ และหายไป
บังเกิดสายลมที่มองไม่เห็นโคจรรอบตัวเธอ ขณะที่แต้มพลังวิญญาณเริ่มเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
วู้มมมม!
แต้มพลังวิญญาณอันทรงอำนาจเริ่มขับเคลื่อนกระแสอากาศ ปัดเป่าพายุหิมะให้แหวก แยกตัวออกไป
และเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ก็ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนเหล่านั้นทันที
“บอส ดูนั่นสิ!” คนหนึ่งตะโกนขึ้น
นักรบสูงสองเมตรชะโงกหน้าออกมาจากรถม้าอีกครั้ง
เขาจ้องซูเซี่ยเอ๋ออย่างจริงจัง
“แต้มพลังวิญญาณจำนวนมาก … แต้มพลังวิญญาณขนาดนี้ มันนับว่าคุ้มค่าแล้วที่จะชะลอภารกิจหลักของพวกเราไปสักเล็กน้อย” เขาพึมพำ
นักรบกวักมือ
แล้วคนนับสิบก็กระโจนลงจากรถม้าด้วยความตื่นเต้นทันที ทั้งหมดตั้งท่าเตรียมพร้อมจู่โจมอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าซูเซี่ยเอ๋อจะไม่ตระหนักถึงมัน
เธอทิ่มปลายคทาลงบนพื้นน้ำแข็งอย่างแรง ปากขยับงึมงำ “จุดจบแห่งทะเลเลือด!”
ปัง!
คทาในมือ ระเบิดแตกออกหลงเหลือเพียงฝุ่นผงสีขาว พร่างพราวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ผงเหล่านี้บินข้ามผ่านอากาศ ควบรวมกันเป็นไพ่ 77 ใบ ลอยล่องอยู่เหนือหัวของซูเซี่ยเอ๋ออย่างเงียบๆ
มองไปยังศัตรูที่กำลังใกล้เข้ามา หัวใจของซูเซี่ยเอ๋อเริ่มกระเพื่อมไหวเล็กน้อย
ฉิงซาน …
น้ำใสๆถูกปาดออกจากมุมหางตา ตลอดทั้งใบหน้าอันงดงามของเธอขณะนี้หลงเหลืออยู่เพียงความเย็นชา
ปากอ้าขยับ ร่ายคาถาเปล่งกระแสเสียงที่ฟังดูผิดปกติ ดังก้อง
“โชคชะตาเอ๋ย! มีเพียงการร่วงโรยก่อนเท่านั้นจึงจะทำให้พวกเจ้าเบ่งบานครั้งใหม่ได้!”