ณ บริเวณในส่วนภูเขาหลังนิกายร้อยบุปผา
น้ำพุวิญญาณไหลลงมาจากภูเขาลูกนี้ เมื่อตกลงมา พวกมันก็ก่อตัวเป็นกระแสธารเล็กๆ ไหลผ่านครัวของนิกาย
นี่คือน้ำพุวิญญาณที่ไหลออกมาจากชีพจรจิตวิญญาณธรรมชาติของโลก ส่งผลให้มันมีกลิ่นอายที่เย็นสดชื่น และอุดมไปด้วยพลังงานวิญญาณจากทั้งสวรรค์และโลก
ซึ่งมีเพียงนิกายร้อยบุปผาเท่านั้นที่สามารถผูกขาดชีพจรจิตวิญญาณชั้นเลิศขนาดนี้ได้
กู่ฉิงซานย่ำลงไปในธาร โค้งตัวลงกึ่งลุกกึ่งนั่ง ทั้งขัดทั้งถูหม้อในมืออย่างจริงจัง
เส้นแสงหิ่งห้อยเล็กๆ เด้งเตือนออกมาจากหน้าต่างเทพสงคราม
“เครื่องครัวทั้งหมดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพงศาวดารวันสิ้นโลก”
“นี่คืออุปกรณ์ทำครัว ซึ่งหลงเหลือสูตรอาหารวิญญาณที่ทำในครั้งก่อนๆ ทิ้งเอาไว้ คุณต้องการเรียนรู้สกิลการทำอาหารที่อยู่ในมันหรือไม่?”
“หากต้องการเรียนรู้สกิลในการปรุงอาหาร คุณจะต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณหนึ่งร้อยแต้ม”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ และจ่ายร้อยแต้มไปอย่างเงียบๆ
เพียงแค่มาในครัว เขาก็ค้นพบว่าเครื่องครัวหลายชนิดที่ใช้ในการปรุงอาหาร นั้นมีสกิลการทำอาหารของฉินเซี่ยวโหลวหลงเหลืออยู่
ซึ่งปกติกู่ฉิงซานเองก็เป็นพวกทำอาหารเพื่อหาเลี้ยงชีพอยู่แล้ว ทักษะที่เขามีจึงไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้นในยามที่ฉินเซี่ยวโหลวไม่อยู่ เขาเลยต้องมารับหน้าที่พ่อครัวแทน
แต่ใครจะรู้ ว่าเมื่อมายังที่นี่ เขาจะสามารถได้รับสกิลการปรุงอาหารวิญญาณของฉินเซี่ยวโหลวมาครอบครองได้เสียงั้น
ราวกับโชคหล่นทับ กู่ฉิงซานได้ทำการเรียนรู้สกิลการทำอาหารทั้งหมด!
สำหรับเขา การเรียนรู้ทั้งหมดนี้ ไม่เพียงช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ แต่ยังช่วยให้เขาสามารถจดจำวิธีการปรุงอาหารต่างๆได้มากขึ้นอีกด้วย
หลังจากเรียนรู้พวกมัน กู่ฉิงซานก็ผสานรวมวิธีการปรุงอาหารของตน และของฉินเซี่ยวโหลวเข้าด้วยกันในทะเลแห่งห้วงสติ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสกิลการปรุงอาหารของเขาได้ค่อยๆ ข้ามผ่านกำแพงอุปสรรค ก้าวกระโดดขึ้นไปสู่ในระดับใหม่ที่สูงกว่าแล้ว
และทั้งหมดนี้ กู่ฉิงซานก็ยังไม่ทันได้ตระหนักถึงมัน
เขาแค่รู้สึกว่าตนสามารถเข้าใจถึงรสชาติของอาหารได้แม่นยำยิ่งขึ้นเท่านั้น
เพราะยังไงเสีย ท้ายที่สุดนี้การที่สกิลปรุงอาหารสามารถยกระดับขึ้นไปได้อีกขั้น มันมิได้ไปกระตุ้นฟ้าดิน ก่อให้เกิดทัณฑ์สวรรค์ขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้นเขาจะไม่รู้ตัวก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
นี่ก็เกือบจะสายแล้ว
เวลาอาหารเย็นเริ่มใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
กู่ฉิงซานวางหม้อเหล็กลงด้านข้าง ถกแขนเสื้อพับขึ้น และเริ่มคิดอย่างจริงจัง
“เอาล่ะ ทุกอย่างถูกล้างจนสะอาดแล้ว ถ้าอย่างงั้นฉันจะทำอะไรดีนะในคืนนี้?”
“ท่านอาจารย์ชอบอาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน แต่ซิวซิวไม่สามารถกินอะไรที่เผ็ดเกินไปได้ ขณะเดียวกัน ถึงแม้ว่าฉินรั่วกับว่านเอ๋อจะตกอยู่ความทุกข์ตรมมานาน แต่แท้จริงแล้วในอดีตที่ผ่านมา ภูมิหลังของพวกเธอล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีอิทธิพล ดังนั้นลิ้นรับรสคงจะไม่ธรรมดาเช่นกัน…คนหนึ่งชอบปลาสด อีกคนหนึ่งชอบอาหารรสเค็ม นี่มันเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะทำอาหารให้ถูกปากทุกคน”
กู่ฉิงซานเค้นสมองคิดอยู่สักพัก แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ดีมากพอ สุดท้ายเขาจึงไม่เสียเวลาคิดมันอีกต่อไป เพราะปัญหามันแก้ได้ง่ายๆ โดยการทำอาหารหลายๆ อย่างให้แต่ละคนก็พอแล้ว
เขาจุดไฟข้างลำธาร วางแผ่นเหล็กลง และเริ่มทำบาร์บีคิวและปลาย่าง
จากนั้นตนก็หันไปจุดอีกเตาหนึ่ง วางหม้อนึ่งลงไป และเริ่มจัดวางเข่งติ่มซำกว่าเจ็ดถึงแปดเข่ง โดยแต่ละเข่งจะใส่เป็นเกี๊ยวกุ้ง ตีนไก่กรอบ ข้าวหมูหวาน ก้ามปูฉ่ำๆ ข้าวเนื้อนึ่ง ซุปบัว ไข่ตุ๋น ฯลฯ
หลังจากเตรียมหม้อนึ่งเสร็จแล้ว เขาก็นำหม้อต้มไปตักน้ำในธารมาต้มให้เดือด ใช้ความร้อนฆ่าแบคทีเรียต่างๆ ที่อาจปนเปื้อนเข้ามา จากนั้นก็โยนวัตถุดิบหลายอย่างที่หายากลงไป คนให้เข้ากัน หันกลับไปล้างไก่ขาวให้สะอาด ยัดโสมหิมะใส่เข้าไปในตัวมัน ตามด้วยใส่ตัวไก่ลงไปในหม้อต้มอีกครั้งและปิดฝาเพื่อทำสตู
ในช่วงเวลานี้ บาร์บีคิวและปลาย่างก็กำลังได้ที่พอดี กลิ่นเนื้ออันหอมหวนฟุ้งโชยออกมา แตะจมูกของกู่ฉิงซาน
เขาจึงเร่งนำพริกหยวก และผักต่างๆ ออกมา เริ่มวางมันลงบนแผ่นเหล็ก
เมื่อพริกหยวกนุ่มนิ่มปะทะเข้ากับเหล็กร้อนๆ ก็ได้ยินแค่เพียงเสียง ‘ซุ่ม’ รสชาติเผ็ดที่กระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารได้ถูกย่างในอุณหภูมิที่สูงจนสุกอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นอีกหนึ่งถึงสองลมหายใจ จานในส่วนของอาหารย่างก็จะพร้อมเสิร์ฟ
ซึ่งในช่วงเวลานี้ หม้อสตูจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักพักหนึ่ง อาหารในหม้อนึ่งก็ยังไม่ได้ที่ กู่ฉิงซานจึงหันความสนใจมาเตรียมจัดการอาหารย่างอย่างเงียบๆ
ในสมองของเขากำลังคิดเกี่ยวกับอาหารจานต่อไป ว่าจะเป็นอะไรดี
ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างผิดปกติไป
มือเอื้อมไปคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกาจากในอากาศที่ว่างเปล่า ปากอ้าตะโกนก้อง “นั่นใคร!?”
ทว่าทุกสารทิศมีเพียงความเงียบ
นอกไปจากเสียงเปลวไฟที่ปะทุ และหม้อที่กำลังเดือดแล้ว ก็ไม่มีเสียงใดอีกเลย
ราวกับนอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครอื่นอยู่ที่นี่
สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง เจตนาฆ่าเริ่มพวยพุ่งขึ้น
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร หากยังไม่ยอมเผยตัวออกมา ก็อย่าหาว่าข้าไม่สุภาพก็แล้วกัน” เขาเอ่ยเสียงเฉียบขาด
ราวกับตระหนักได้ถึงเจตนาฆ่าของอีกฝ่าย จากในที่มืด ก็มีเสียงตอบกลับมาในที่สุด
“ศิษย์น้องอย่าเพิ่งลงมือ เป็นข้าเอง ฉินเซี่ยวโหลว!”
กู่ฉิงซานชะงักไป
น่าจะจริงแฮะ เพราะที่นี่คือภูเขาด้านหลังของนิกายร้อยบุปผา แถมยังมีค่ายกลขนาดใหญ่มากมายนับไม่ถ้วนรายล้อมตลอดภูเขาทั้งลูก
ซึ่งนั่นหมายความว่า นอกเหนือไปจากตัวตนทรงอำนาจอย่างเฉินหยางแล้ว ยังจะมีใครสามารถปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างเงียบๆ ได้อีก?
อย่างไรก็ตาม…
ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่สองกำลังปิดด่านฝึกตนอยู่หรือ?
เขาหันไปมองรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่พบสิ่งใดเลย
“เฮ้ ศิษย์น้อง ข้าอยู่นี่”
เสียงของฉินเซี่ยวโหลวดังขึ้นอีกครั้ง
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา เพื่อค้นหาต้นตอของเสียง
เห็นแค่เพียงเต่าตัวหนึ่งกำลังปีนขึ้นมาบนชายฝั่งลำธารอย่างช้าๆ
เต่าคลานขึ้นมาและกล่าวว่า “เนื้อย่างบนแผ่นเหล็กของเจ้ากำลังจะไหม้แล้ว มันจะเป็นการดีกว่านะถ้าเจ้าหยิบมันขึ้นมาก่อน”
กู่ฉิงซานจึงหันไปยกพวกมันขึ้นมาใส่จาน
แต่สายตาของเขาก็มิได้ละไปจากตัวเต่าเลย
ศิษย์พี่สองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่เนี่ย?
อย่างไรก็ตาม เต่าที่ใส่ปลอกคอโซ่เล็กๆ สีเขียวก็ค่อยๆ คลานมาตรงเท้าของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานทั้งสงสัยและประหลาดใจ “ศิษย์พี่สอง นี่ท่านไปเรียนรู้วิชาความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
เต่าเอ่ยปาก “อะไร? เจ้าคิดว่าเจ้าเต่าเขียวนี่เป็นข้าอย่างงั้นหรือ ไม่ๆๆ ข้าไม่ใช่เจ้าเต่านี่”
“เช่นนั้นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
“เก็บตัว กำลังปิดด่านฝึกตน” เต่ากล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“แล้วที่อยู่ตรงนี้มันคืออะไรกัน?”
“นี่คือโซ่ข้า มันเชื่อมต่ออยู่กับอำนาจพลังศักดิ์สิทธิ์ของข้า ทำให้ข้าสามารถควบคุมเต่าที่เพิ่งตายลงได้ชั่วคราว”
“เจ้าสามารถควบคุมศพได้อย่างงั้นหรือ? นี่เจ้าไปได้รับวิชาแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” กู่ฉิงซานอุทานอย่างคาดไม่ถึง
เต่าส่ายหัวและยังคงกล่าวอย่างภาคภูมิ “นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าได้รับมาเมื่อยามยกระดับขึ้นสู่ขั้นก่อกำเนิด…ถึงแม้ว่ามันจะแปลกมาก แต่ก็มีประโยชน์มากเช่นกัน”
“งั้นเจ้ามาทำอะไรที่หลังเขาแห่งนี้กัน?”
“เฮ้อ นั่นก็เพราะการปิดด่านฝึกตนมันน่าเบื่อเกินไป ข้าก็เลยออกมาผ่อนคลายไง ไม่ได้เลยหรือ?” เต่าร่ำร้องอย่างขมขื่น
กู่ฉิงซานเตือน “เจ้าน่าจะตั้งใจเก็บตัวนะ เฝ้ารอจนกว่าฐานวรยุทธ์ยกระดับขึ้น แล้วค่อยออกมาก็ได้ แบบนั้นมันจะปลอดภัยกว่า”
คราวนี้เต่าไม่เห็นด้วย “ครั้งก่อนที่โลกผสานรวมเข้าด้วยกัน ข้าทุ่มเทพยายามอย่างหนักไปแล้ว ฉะนั้น ยามนี้ข้าจึงสามารถยกระดับขึ้นสู่ก่อกำเนิดได้อย่างรวดเร็วไง”
“แล้วเรื่องที่เจ้าออกมานี่ ท่านอาจารย์ทราบหรือไม่?” กู่ฉิงซานถาม
เต่าหดหัวและกล่าว “จงอย่าได้บอกท่านอาจารย์ ข้าเพียงแค่ออกมาสูดอากาศหายใจ และบังเอิญได้สูดกลิ่นหอมหวนที่โชยมาจากที่นี่ก็เท่านั้นเอง”
มันถอนหายใจ “ต้องขอบอกว่าฝีมือการปรุงอาหารวิญญาณของศิษย์น้องสามพัฒนาขึ้นมากทีเดียว มันอยู่ในระดับสูงชนิดว่าข้าอยู่ไกลไปตั้งครึ่งภูเขาแต่ก็ยังได้กลิ่นของมัน”
เมื่อได้ยินถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานจึงค่อยเข้าใจ
ว่าแท้จริงแล้วเจ้าหมอนี่ไม่ได้คิดเก็บตัว ปิดด่านฝึกตนอย่างจริงจังแต่อย่างใด แถมยังแอบออกมาเดินรอบๆ เพื่อที่จะหาอะไรเก็บกลับไปกินและดื่มอีก?
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ศิษย์พี่ แต่ข้าจำได้ว่าที่เก็บตัวก็มีอาหารอยู่มิใช่หรือ?”
“นั่นมันพวกเม็ดยา! ทั้งรสชาติและกลิ่นเทียบไม่ได้เลยกับอาหารของข้า ข้าเลยไม่กินมันจนตอนนี้จะอดตายอยู่แล้ว”
เต่าส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า “ศิษย์น้องเอ๋ย ศิษย์พี่ที่น่าสงสารของเจ้ากำลังทรมานจากการปิดด่านฝึกตนอันแสนขมขื่น ขอเจ้าโปรดมอบอาหารให้ศิษย์พี่ผู้นี้ด้วยเถิด”
“…อยากจะกินอะไรล่ะ?”
“ข้าอยากจะกินเนื้อย่างชิ้นใหญ่ที่สุดตรงนั้น! และขอเหยือกสุราวิญญาณเยือกแข็งอีกเหยือกหนึ่ง!”
กู่ฉิงซานก้มลงมองบนกระดองเต่าและอดไม่ได้ที่จะกล่าว “เจ้าจะเอามันไปได้หมดหรือ?”
“ไม่ต้องกังวลไป กระแสน้ำแห่งนี้ไหลไปยังทิศทางที่ข้าเก็บตัวอยู่ ดังนั้น ข้าแค่ว่ายน้ำไปกลับสักสองรอบก็ได้แล้ว”
“งั้นก็ตกลง”
กู่ฉิงซานแม้จะเกิดอาการปวดหัวอยู่บ้าง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นศิษย์พี่ และถูกขอร้องถึงขนาดนี้ เขายังจะทำอะไรได้อีกเล่า?
เขาเริ่มล้างแผ่นเหล็ก และรีบปรุงอาหารจานเนื้ออย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน จานเนื้อย่างร้อนๆ สีแดงฉ่ำก็ถูกวางลงบนหลังเต่า มันคลานลงไปในลำธาร และว่ายไปตามกระแสน้ำอย่างมั่นคง
กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูเต่าว่ายหายไป แต่จู่ๆ ก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งในทันใด
เขาหันขวับกลับหลังอย่างรวดเร็ว
เห็นแค่เพียงห่านขาวที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ จ้องมองไปยังเจ้าเต่าด้วยความเย็นชา
ไม่มีใครรู้นางมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
กู่ฉิงซานไม่ได้สังเกตเห็นเลยในตอนแรก แต่หลังจากที่อีกฝ่ายไม่คิดยับยั้งอารมณ์ของตนที่ปะทุออกมา กู่ฉิงซานจึงค่อยรู้สึกตัวถึงมัน
แบบนี้ก็แสดงว่า…นางได้ยินถึงบทสนทนาทั้งหมดเลยใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้ง “ศิษย์พี่ใหญ่”
ห่านขาวพยักหน้าอย่างช้าๆ และกล่าว “ข้ากะจะมาดูว่าอาหารในค่ำคืนนี้เป็นรูปแบบใด ไม่คาดคิดเลยว่าจะพบเจอกับเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งกว่า”
ความโกรธเริ่มพรั่งพรูออกมาจากร่างกายของห่านขาว
ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะไม่คิดเก็บซ่อนแรงกดดันของนางเลย!
ฝูงนกในป่าใหญ่เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันนี้ พวกมันทั้งฝูงก็สยายปีกพรึบ บินหนีไปพร้อมๆ กัน
ส่วนเต่า มันว่ายไปได้เพียงครึ่งทางก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น
เต่าหันหัวไปมองรอบๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่!”
เต่าร้องอุทานออกมา
เวลานี้ มันไม่สนใจเนื้อหมูย่างชิ้นใหญ่บนหลังอีกต่อไป ตะกายขาทั้งสี่ว่ายตรงดิ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่งทันที
“คิดหนีหรือ?”
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น
ทันใดนั้นห่านขาวก็หายวับไป
เห็นแค่เพียงเส้นแสงสีขาวที่โฉบไปในอากาศ
หลังจากนั้นไม่นาน ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่และพละกำลังที่มหาศาล เจ้าเต่าก็ถูกโยนกลับมาตกลงข้างเท้าของกู่ฉิงซาน
ห่านขาวเดินมาจากลำธาร สลัดน้ำออก และกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้าก็หลงคิดว่าเจ้ากำลังฝึกหนัก แต่ที่ไหนได้กลับมาแปลงเป็นเต่า และมัวแต่เล่นสนุก!”
เต่าเผยรอยยิ้มประจบประแจง ประสานสองขาหน้า โค้งกายลงครั้งแล้วครั้งเล่า “ศิษย์พี่ใหญ่ โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ขอเถอะ อย่าบอกท่านอาจารย์เลยนะ”
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าท่านอาจารย์น่าหวาดกลัวขนาดไหน?” ห่านขาวกล่าวเสียงเย็น
“แน่นอนข้ารู้ หากท่านบอกนาง ข้าจะต้องตายแน่ๆ” เต่าร้องขอความเมตตา
เต่าราวกับนึกได้ถึงบางสิ่ง มันหันไปมองดูกู่ฉิงซานอีกครั้ง
“ศิษย์น้องกู่ เร็วเข้า! เร่งช่วยข้าขอร้องศิษย์พี่ใหญ่ว่าอย่าไปบอกท่านอาจารย์!”
“…” กู่ฉิงซานเฝ้ามองไปยังท่าทีอ้อนวอนของเต่า และความโกรธเกรี้ยวของห่านขาว เจ้าตัวนิ่งงันไปสักพักหนึ่ง และรู้สึกว่าการแก้สถานการณ์ในตอนนี้มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าสองร้อยล้านคนเสียอีก!
…………………………………………….