บทที่ 369 เรื่องเร่งด่วน
“เจ้า… ได้กลิ่นมาสเกลีนงั้นรึ?” แองวูดส์ไม่เข้าใจสิ่งที่อะดอลพูดเท่าไรนัก แต่น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังและเคร่งขรึมเมื่อเอ่ยชื่อนั้น
ภายใต้แสงอาทิตย์ซีดจาง ผิวบอบบางแต่ไร้ชีวิตของอะดอลนั้นถูกปกคลุมโดยอากาศบางๆ สีดำ และภายใต้หมวกฮู้ด มีจุดแดงๆ สองจุดวูบไหวราวกับเปลวไฟ เขาพ่นลมออกทางจมูก “เครื่องรางที่มันสวมนั้นมาสเกลีนเป็นคนทำ… ข้าจำได้ มาสเกลีนสัมผัสได้ว่าข้าใช้เครื่องรางชิ้นนั้น และข้าเองก็จำเครื่องรางที่เขาเป็นคนทำได้…”
“ถ้างั้น ครั้งสุดท้ายที่เจ้าบอกข้อมูลลับให้ซูซาก็ไม่ใช่เพราะเฟลิเป แล้วก็ไม่ใช่เพื่อกระตุ้นความขัดแย้งในกลุ่ม ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ ด้วยใช่ไหม?” แองวูดส์ยื่นมือไปคว้าชิ้นเนื้อที่หลุดออกแล้วโปะกลับไปบนใบหน้า
“ไอ้มนุษย์พวกนั้นทั้งโง่ทั้งละโมบ จิตใจพวกมันมืดบอด เราเล่นงานพวกมันได้สบายๆ” อะดอลยิ้มเยาะ
เสียงของแองวูดส์เปลี่ยนเป็นน่ากลัว “มาสเกลีนรู้ความลับของพวกเรามากเกินไป และเขาเป็นทั้งนักพยากรณ์และนักโหราศาสตร์ที่ทรงอำนาจ มันจะต้องมีเหตุผลที่เขาทิ้งอุปกรณ์เวทมนตร์ชิ้นนี้ แล้วนักเวทชื่อลูเซียน อีวานส์ จะมารับรางวัลที่ไฮด์เลอร์ เราก็ควรจะ…”
แองส์วูดทำท่าบีบคอจนแน่น
“ไอ้โง่ เจ้าเคยคิดถึงผลที่จะตามมาถ้าฆ่าลูเซียน อีวานส์ ที่ไฮด์เลอร์ไหม? เจ้าอยากปล่อยให้ความลับของ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ หลุดออกไปรึไง หรือจะทำให้สภาแห่งเวทมนตร์เห็นความลับของโลกแห่งวิญญาณงั้นรึ เราอาจจะลงมือฆ่าได้หากเราเผชิญหน้ากับมหาจอมเวทหรือผู้วิเศษชั้นตำนานเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับมหาจอมเวทเจ็ดคนและผู้วิเศษชั้นตำนานอีกสิบเอ็ดคนนะ! เจ้ามีอาวุธลับบ้างหรือเปล่า? อย่าลืมว่าสภาเวทมนตร์ไม่ใช่ศัตรูของเรา!” อะดอลตำหนิอย่างแรง
“ถ้าอย่างงั้นเราก็จะแค่ปล่อยให้มันมีชีวิตต่อไปถึงแม้มันจะบอกความลับที่สำคัญที่สุดของเราเมื่อไหร่ก็ได้งั้นเรอะ?” แองวูดส์ตอบอย่างโกรธเคือง ถึงแม้ว่าระดับขั้นของอะดอลสูงกว่าเขา แต่เขาก็เป็นวิญญาณชั้นสูงกว่า อะดอลไม่ควรจะดุว่าเขาเช่นนี้
อะดอลหันหลังแล้วจุดสีแดงสองจุดภายใต้หมวกฮู้ดของเขาก็วาบขึ้นเล็กน้อย “ถ้ามันจะพูด มันก็คงพูดไปแล้ว เมื่อรู้ข้อมูลแบบนี้ มันเก็บไว้เป็นความลับเอาไว้น่ะปลอดภัยกว่า เพราะผู้ทรงอำนาจที่รู้เรื่อง ‘โลกแห่งวิญญาณ’ นั้นจะต้องทำให้มันปิดปากตลอดไป เพราะมันไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บอกว่าสภาเวทมนตร์จะดำเนินการอะไร มันแสดงให้เห็นว่าลูเซียน อีวานส์นั้นฉลาด ถึงแม้ว่ามันจะปล่อยข้อมูล มันก็จะรอจนกว่าจะได้เป็นผู้วิเศษชั้นตำนานเพื่อให้มันปกป้องตัวเองได้ เรายังมีเวลาอีกมาก ช้าหรือเร็ว มันก็จะออกจากอัลลินเพื่อไปศึกษาวิจัย และพวกมหาจอมเวทก็ตามมันไปทุกแห่งไม่ได้หรอก”
แองวูดส์ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป
อะดอลเตือนเขา “ภารกิจที่สำคัญที่สุดของเราในตอนนี้คือดึงพลังออกมาเตรียมพร้อมการกลับมาของท่านลอร์ด ระวังพฤติกรรมของเจ้าไว้ดีกว่า แองวูดส์ ถ้าเจ้าทำให้แผนการเสียหาย เจ้าถูกโยนเข้า ‘เตาหลอมวิญญาณ’ แน่”
“ข้ารู้แล้ว อะดอล” แองวูดส์ดึงหมวกฮู้ดมาสวมแล้วตอบเสียงเบา
…
ณ สำนักของ ‘องค์กรเจตจำนงแห่งธาตุ’ บนชั้นหนึ่งของหอคอยเวทมนตร์
หลังจากลูเซียนโค้งคำนับผู้ฟังแล้วลงจากเวทีไป มอร์ริสก็ใจเย็นลงเล็กน้อยและกล่าวแนะนำผู้ที่ได้รับรางวัลคนต่อไป
“บัดนี้ ขอต้อนรับ ท่านแลร์รี่ คลาร์ก!”
แลร์รี่ซึ่งสวมเสื้อคลุมเวทมนตร์ปักสัญลักษณ์ธาตุ เดินออกมาท่ามกลางฝูงชน ระหว่างทางที่จะขึ้นไปบนเวที แลร์รี่ก็เดินไปหาลูเซียน
“ยินดีด้วยขอรับ ท่านแลร์รี่” ลูเซียนยิ้มและพยักหน้าให้เขา
“ขอบใจ อีวานส์…” แลร์รี่แตะเคราสีน้ำตาลอมเหลืองอย่างเคอะเขินเล็กน้อย “วันนี้อากาศไม่แย่เท่าไรนะ”
ลูเซียนรู้สึกขำ แลร์รี่อาจประหม่าเกินไป
“ยินดีด้วย ‘องค์กรเจตจำนงแห่งธาตุ’ ภูมิใจในตัวท่านจริงๆ ท่านเป็นคนแรกที่ได้รางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ถึงสามครั้ง” ฟลอเรนเซียชูแก้วและยิ้มให้ลูเซียน
ลูเซียนชูแหวนให้ฟลอเรนเซียและค้อมตัวเล็กน้อย “ขอบคุณมากที่การออกแบบได้งดงามอย่างนี้ ท่านผู้หญิง”
ขณะที่ฟังมอร์ริสแนะนำผลงานชิ้นเอกของแลร์รี่เกี่ยวกับการทำน้ำยาเวทมนตร์และวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ฟลอเรนเซียก็แกว่งแก้วไวน์แล้วพูดกับลูเซียน “เรารู้ผลการสืบสวนแล้ว เบลลัคสมัครขอย้ายเอง โดยอ้างว่าเขาอยากจะพักยาวทีหลัง”
“ถ้างั้น ก็หมายความว่า… เบลลัคเป็นคนวางแผนคนเดียวงั้นหรือ?” ลูเซียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทันทีที่ลูเซียนกลับไปอัลลิน การสืบสวนเรื่องของเบลลัคก็ได้เริ่มต้นขึ้น เพราะลูเซียนเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเท่านั้น แต่มีใครบางคนคอยช่วยเบลลัคอยู่ ไม่เช่นนั้นเบลลัคจะรู้ได้อย่างไรว่าลูเซียนรู้ว่าแจกันใบนั้นเป็นแจกันคำสาป
อย่างไรก็ตาม จากผลการสืบสวน เบลลัคแค่เลือกเวลาที่ลูเซียนมีแนวโน้มสังเกตความแตกต่างของแจกันได้มากที่สุด ถ้าลูเซียนไม่เห็นความแตกต่างในช่วงสองสามวันแรก เบลลัคก็จะมีเวลาเตรียมพร้อมเหลือเฟือและแจกันใบนั้นจะค่อยๆ บั่นทอนสุขภาพของเขา อย่างไรก็ตาม ลูเซียนมองเห็นมันทะลุปรุโปร่ง เมื่อเป็นเช่นนั้น เบลลัคจึงต้องเป็นคนที่จัดการโดยตรง
แต่ถึงอย่างนั้น ไม่มีการลอบสังหารใดที่รับประกันได้ว่าจะสำเร็จ
ฟลอเรนเซียพยักหน้าน้อยๆ และผมบลอนด์ของเธอก็ทิ้งตัวลงมาเบาๆ “จนตอนนี้เราก็ยังไม่เจอสมาชิกอาวุโสคนใดที่น่าสงสัย แต่เราก็คืบหน้าไปบ้าง นั่นคือ เราพบลอร์บันที่หอคอยเวทมนตร์ของเบลลัค และจากวัตถุที่หลงเหลืออยู่และจากความทรงจำของลอร์บัน เราได้จับนักเวทชั้นล่างและชั้นกลางได้นับสิบคนที่ยอมจำนนต่อศาสนจักร บางคนทำเช่นนั้นเพราะว่าพวกเขาไม่สามารถปราบความสำเร็จด้านเวทมนตร์อีกต่อไป แต่บางคนก็เป็นเพราะว่าเงินและวัตถุเวทมนตร์เพื่อการพัฒนาเวทมนตร์”
“พวกเราไม่สามารถกำจัดศาสนาออกไปได้ทั้งหมด ในเมื่อยังมีการตาย ความเจ็บปวด ความสิ้นหวัง แต่เราไม่อาจยอมจำนนศาสนจักร ทุกศาสนาจะต้องอยู่ในการควบคุมของเรา” ลูเซียนถอนหายใจ
ฟลอเรนเซียอึ้งในคำพูดของลูเซียน แต่วินาทีต่อมานางก็หัวเราะ นางหัวเราะแรงจนตัวโยน “ลูเซียน… ไม่สิ ข้าต้องเรียกเจ้าว่าท่านอีวานส์ เจ้าทำตัวอย่างกับคณะกรรมการเลย! เจ้าพูดเหมือนกับท่านประธานดักลาสกับท่านเฟอร์นันโดเลย!”
ลูเซียนยิ้ม รู้สึกเก้อเขินจึงเปลี่ยนเรื่องคุยโดยพูดติดตลกว่า “จริงหรือ? ข้ากำลังคิดเรื่องตั้งคณะกรรมการชื่อ ‘การพัฒนาและสุขภาพจิตของนักเวท’ เลยนะ”
“ฮ่าๆๆๆ… ฟังดูยอดไปเลย!” ฟลอเรนเซียหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
บนเวที แลร์รี่กำลังกล่าวคำปราศรัยสั้นๆ
หลังจากจิบไว้แก้คอแห้งเพราะหัวเราะมากเกินไป ฟลอเรนเซียก็พูดกับลูเซียนผ่านสารแม่เหล็กไฟฟ้า “เจ้าขอให้ข้าหาข้อมูลว่าวัตถุพิเศษมาจากไหน และข้ามีเบาะแสอยู่ ถึงแม้ศาสนสนจักรจะเป็นผู้ที่จัดหาวัตถุพิเศษให้เบลลัค เนื่องจากมันพิเศษมาก พวกเราจึงตามร่องรอยของมันย้อนกลับไปยังทะเลทรายในตอนใต้ของอาณาจักรกัสตา”
“เป็นข่าวดีจริงๆ” ลูเซียนพูดจากใจจริง ในอนาคตเขาจำเป็นต้องใช้วัตถุชนิดพิเศษที่ทำจากแร่ธาตุที่มีลักษณะเฉพาะ
ดวงตาสีเขียวของฟลอเรนเซียจ้องมองลูเซียนและถามผ่านสารลับ “ถึงแม้วัตถุชนิดพิเศษจะประกอบด้วยธาตุใหม่ แต่ทำไมมันจึงสำคัญกับเจ้านักล่ะ?”
ลูเซียนไม่ได้เก็บส่วนแรกของงานวิจัยไว้เป็นความลับ ส่วนที่ค้นพบธาตุใหม่ ยูเรเนียม และเขาได้ค่าชื่อเสียงอาร์คานาสามสิบค่าจากการค้นพบนั้น เมื่อเจอคำถามของฟลอเรนเซีย ลูเซียนก็แค่ยิ้มแต่ไม่ได้ตอบคำถามนาง
ฟลอเรนเซียช่างสงสัยเสมอๆ แต่นางสามารถยังยั้งตัวเองได้ เมื่อเห็นว่าลูเซียนไม่อยากตอบ เธอก็พูดติดตลกว่า “โอ้ อาจารย์ที่น่าสงสารของข้า มอร์ริส…”
บทสนทนาของพวกเขาจบลงแค่นั้น แล้วพวกเขาก็หันไปดูแลร์รี่กำลังกล่าวคำปราศรัยบนเวที
แลร์รี่สงบลงแล้ว เขากล่าวปราศรัยอย่างฉะฉาน
“อย่างที่อีวานส์ได้กล่าวไป เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่สุดก็ยังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ข้าจึงคิดว่า เมื่อสสารละลายหายไป เหตุใดมันจึงกลายสภาพเป็นไออนที่มีประจุที่แตกต่างกัน ทำไมเราจึงมีสถานะของเวเลนซ์? ทำไมสถานะนั้นจึงแสดงการจัดลำดับธาตุ? มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับโครงสร้างภายในของอะตอมหรือไม่? มันมีอะไรเกี่ยวข้องอิเล็กตรอนซึ่งอีวานส์เพิ่งค้นพบหรือไม่? ในโลกแห่งอาร์คานา ถ้ามีผล ก็ต้องมีเหตุ ปรากฏการณ์ทุกอย่างถูกกำหนดโดยความจริงอยู่แล้ว เราจึงไม่อาจถึงพอใจกับการแค่ได้ผลลัพธ์ แต่เราจำเป็นต้องศึกษาหาความจริงต่อไป”
ฟลอเรนเซียมองลูเซียนแล้วพูดติดตลก “ท่านดักลาสทำตัวเหมือนบุคคลต้นแบบจริงๆ หลายๆ คนดูคล้ายท่านประธาน และเจ้าคือหมายเลขหนึ่งนะลูเซียน”
ฟลอเรนเซียมองลูเซียนแล้วพูดติดตลก “ท่านดักลาสทำตัวเหมือนบุคคลต้นแบบจริงๆ หลายๆ
“เป็นเกียรติแก่ข้ายิ่งนัก” ลูเซียนยิ้ม
….
ในพื้นที่กว้างใหญ่แห่งความตาย ที่ๆ มีแผ่นหินจารึกหน้าหลุมฝังศพอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ลูเซียน อัลเฟอร์ริส และจอมเวทอสูรหัวกะโหลกสวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มปรากฏตัวตรงปลายพื้นที่รกร้างกว้างใหญ่นั้น
“ที่นี่คือ ‘ดินแดนแห่งนิทราอันยาวนาน’ งั้นหรือ?” ลูเซียนมองไปรอบๆ มิติพิเศษของธานาธอสอย่างสงสัย
“ใช่” จอมเวทอสูรหัวกะโหลกตอบ ดวงตาทั้งสองของเขาเป็นดวงเพลิงสีขาว “ท่านธานาธอสสร้างที่นี่ขึ้นมา เราไปกันต่อเถอะ อีวานส์”
“ขอรับ ท่านมอรัส ลูเซียนคว้าตัวอัลเฟอร์ริสเพราะมันพยายามที่จะขโมยหลุมศพแล้วเดินตามจอมเวทอสูรไปยังวงเวทเทเลพอร์ต
กลุ่ม ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ ไม่ค่อยเต็มใจมอบรางวัลให้ลูเซียนเท่าไรนัก และจะไม่เอาใจลูเซียนเหมือนที่ ‘องค์กรเจตจำนงแห่งธาตุ’ ทำซึ่งจัดพิธีมอบที่เมืองอัลลิน อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ในฐานะผู้จัดงาน กลุ่มหัตถ์ไร้ชีวาก็ยังมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องลูเซียน ดังนั้นมอรัส ซึ่งเป็นรองประธาน เป็นจอมเวทระดับแปด และเป็นผู้วิเศษศาสตร์มืดระดับเก้า จึงได้รับมอบหมายภารกิจให้ต้อนรับและดูแลลูเซียน
เวลาและพื้นที่ได้เปลี่ยนไป หลังจากความรู้สึกเวียนศีรษะอันคุ้นเคย ลูเซียนก็มาถึงสำนักงานใหญ่ของกลุ่มหัตถ์ไร้ชีวา
มอรัสเดินนำลูเซียนไปยังห้องรับรองแล้วบอกว่า
“อีวานส์ เจ้าพักที่นี่ก่อน อีกสองชั่วโมงข้าจะมาพาเจ้าไปห้องโถงจัดเลี้ยง ทั้งนี้ทั้งนั้น นักวิจัยของเราหลายคนไม่ชอบให้ใครมาคอยสังเกต และนักเวทศาสตร์มืดหลายคนไม่ชอบเจ้า เจ้าไม่ควรจะเดินเตร็ดเตร่ ถ้าเกิดอะไรขึ้น มันจะเป็นปัญหาแก่พวกเราทุกคน”
หลังจากมอรัสเดินออกไป ลูเซียนก็ไปยืนข้างหน้าต่างและมองถนนที่เงียบเชียบข้างล่างและท้องฟ้าสีเทา
ไฮด์เลอร์แตกต่างจากเมืองอื่นๆ ถึงแม้จะมีสิ่งมีชีวิตที่ทีรูปร่างเหมือนมนุษย์อยู่จำนวนเล็กน้อยเดินไปมาบนถนน แต่พวกเขาก็แทบไม่คุยกัน ส่วนใหญ่แล้วพบเขาคือผี ผีดิบ ผีกินศพ โครงกระดูก และพวกศพเดินได้ที่มีสติปัญญาต่ำ ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มหัตถ์ไร้ชีวา อย่างเช่น ‘ศพไร้หนัง’ ที่ดวงตาของมันเป็นประกายแสงสีแดง และพวกหมาผีดิบ
เมื่อมองออกไปไกลๆ ลูเซียนเห็นช่องว่างล่องหนที่เชื่อมต่อกับ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ซึ่งถูกโอบล้อมด้วยหอคอยเวทมนตร์ แล้วเขาก็เกิดความคิดอย่างหนึ่ง กลุ่มหัตถ์ไร้ชีวาค้นพบการมีอยู่ของโลกแห่งวิญญาณหรือไม่?
ในขณะที่ลูเซียนขบคิดเขาก็รู้สึกว่ามีอะไรแผดเผาตรงคอ เขาประหลาดใจที่ตอนนี้ไรน์มาถึงตัวเขา เมื่อเข้าใกล้ช่องว่างนั้น พลังร่ายเวทของไรน์ก็จะรุนแรงขึ้น
“อัลเฟอร์ริส ข้าอยากพักผ่อนสักหน่อย เจ้าอยากทำอะไรก็ไปทำเถอะ” ลูเซียนบอกมังกรน้อยแล้วนอนบนเตียง
ลูเซียนสะกดจิตตัวเองให้หลับ เขาหลับไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าลูเซียนหลับแล้ว อัลเฟอร์ริสก็กระโดดขึ้นเตียงไปนั่งข้างๆ เขาราวกับเป็นลูกสุนัข สายตาของมันจับจ้องแหวนมงกุฎแห่งโฮล์มสามวงพลางน้ำลายยืด
ทันใดนั้น อัลเฟอร์ริสก็สูดจมูกเล็กน้อยแล้วดวงตาสีอำพันดวงโตของมันก็กะพริบ ราวกับว่ามันสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง แต่มันก็ไม่เจออะไร ไม่ช้าความสนใจของมันก็กลับมาอยู่ที่แหวนอีกครั้ง
ในฝันของลูเซียน ไรน์ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาพูดกับลูเซียนตรงๆ “มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นกับโลกแห่งวิญญาณ อีกไม่นาน โลกนั้นกำลังจะเปลี่ยนแปลง”