บทที่ 378 มิติภูเขารัตติกาล
ปราสาทที่ดูน่ากลัวและมืดสลัวตั้งอยู่ริมทะเลสาบเต็มไปด้วยจอกแหนสีดำ ยอดของปราสาทมีรูปร่างคล้ายกับทวนในรูปแบบอาณาจักรเวทมนตร์โบราณ
ฮาโรลด์ แฮมเมอร์ กำลังแบกกระเป๋าหนักๆ ที่บรรจุสินแร่ เดินไปยังบริเวณโกดังของภาษาศาสตร์อย่างช้าๆ ในฐานะคนแคระที่ยังไม่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ เขายังไม่แข็งแรงเท่ากับคนแคระที่โตเต็มวัยแล้วซึ่งสามารถแกว่งค้อนขนาดใหญ่น้ำหนักเยอะได้ราวกับเป็นของเล่น กระเป๋าบรรจุสินแร่ใบนั้นหนักมากสำหรับเขาจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ฮาโรลด์ไม่เคยบ่นกับการใช้แรงงาน เนื่องจากอย่างน้อยเขาก็ยังมีชีวิตอยู่รอด พวกคนแคระที่แข็งแรงพวกนั้นมักถูกเลือกให้กลายเป็นอาหารของเจ้าแวมไพร์
ปราสาทหลังนี้เป็นของเคานต์ตระกูลแวมไพร์นามว่า ‘วลาด เซซิล’ หมู่บ้านคนแคระมากกว่าร้อยหมู่บ้านอยู่ภายใต้การปกครองของเขา แวมไพร์เลือก ‘เลือดและเนื้อบริสุทธิ์’ จากบรรดาคนแคระในหมู่บ้านมาเป็นอาหาร และบังคับให้คนแคระที่เหลือกลายเป็นทาสที่ต้องใช้แรงงานอย่างหนักภายในเหมืองและประสาท ทั้งวันทั้งคืน ทาสคนแคระต้องขุดหาโลหะพิเศษที่เรียกว่า ‘ทองนีดแฮม’ จากที่ราบสูง รวมถึงแร่คาราโมและแร่โลหะมิธริลสำหรับเจ้าแวมไพร์
ดูเหมือนชะตากรรมของคนแคระจะถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่เกิด คนแคระไม่ลงเอยด้วยการเป็นอาหารของแวมไพร์ ก็ต้องตายก่อนวัยอันควรจากการใช้แรงงานหนัก ช่วงเวลาที่มีความสุขช่วงเดียวของภูเขาก็คือเมื่อพบกับคู่รักของตนและเมื่อมีทายาทสืบทอดตระกูล
แม้ฮาโรลด์ไม่เคยออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของปราสาท เขาก็ได้ยินมาว่าคนแคระที่อาศัยอยู่ทางเหนือก็ต้องเผชิญชะตากรรมไม่ต่างจากพวกตน คนแคระทุกคนพื้นที่ราบสูงต่างตกอยู่ในภาวะยากลำบาก มีชีวิตอยู่เหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงรับใช้ภายในบ้าน
ฮาโรลด์แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนและกลุ่มดาวที่สว่างไสวอยู่เหนือพื้นที่ราบสูงแห่งนี้ เขารู้สึกพ่ายแพ้และสิ้นหวัง ตั้งคำถามกับตัวเองว่าชีวิตของตนจะต้องเป็นอย่างนี้โดยไม่มีความหวังเชียวหรือ และอดีตอันรุ่งเรืองของคนแคระจะสามารถกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้หรือไม่
ความเจ็บปวดดันเข้าปะทะใบหน้าของฮาโรลด์ เมื่อแส้หนาๆ ฝากรอยแผลลึกเปิดเลือดไว้บนใบหน้าฝั่งซ้ายของเขา บาดแผลทอดยาวข้ามจมูกอันใหญ่โตเป็นเอกลักษณ์ของคนแคระไปยังแก้มขวา
“เดินๆ!”
เสียงปีศาจร้ายดังขึ้น เงาของแส้กวัดแกว่งอยู่ตรงหน้าฮาโรลด์
จริงอยู่ คนแคระบางคนยังมีทางเลือกที่สาม พวกเขาอาจเลือกที่จะหันหลังให้กับบรรพบุรุษและเล่นบทสุนัขเชื่องๆ ของแวมไพร์และกลายเป็นทาสรับใช้มือเปื้อนเลือดที่รับหน้าที่ทรมานเพื่อนพ้องน้องพี่ของตน
เคานต์แวมไพร์ชั้นสูงที่สง่างามจะไม่ไปดูคนงานเหมืองทำงานในเหมืองสกปรกด้วยตัวเอง ดังนั้น แวมไพร์จึงต้องการทาสรับใช้ การถ่ายทอดพลังทุกครั้งจะทำให้พลังโลหิตดั้งเดิมถูกใช้ไป และแวมไพร์ที่อ่อนแอก็จะหมดเรี่ยวแรง หากถ่ายทอดพลังมากครั้งเกินไป ดังนั้น แม้แต่แวมไพร์ที่ทรงพลังจะไม่ประสงค์ที่จะมีลูกหลานมากมาย
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่แวมไพร์มีจำนวนไม่มากนัก ทาสรับใช้ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงทาสรับใช้โลหิตซึ่งถูกเป็นแวมไพร์ดูดเลือดแต่ไม่ตาย แต่พวกเขาจะเป็นเพียงหุ่นเชิดของแวมไพร์เท่านั้น
ทาสรับใช้พวกนี้มีพลังแข็งแกร่งไม่ต่างกับอัศวิน แต่พลังของพวกเขาจะไม่สามารถพัฒนาได้ต่อไป อายุขัยก็มีได้เพียงหนึ่งในสิบของอายุเจ้านายของตน และพวกเขาไม่เคยและไม่มีวันก่อกบฏ
ฮาโรลด์มองไปยังคนแคระซึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีและถือแส้อยู่ในมือ เขาก้มมองลงต่ำแล้วตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “ขอรับ ท่านพ่อบ้านเวลส์”
คนแคระจำนวนนับไม่ถ้วนต้องจบชีวิตลง เพราะคนแคระที่ทรยศต่อพวกพ้องอย่างเลวทรามต่ำช้าคนนี้ แม้ว่าเวลส์จะเป็นเพียงหัวหน้าคนงาน แต่เขาก็ชอบให้เรียกว่าท่านพ่อบ้าน แต่เมื่อพ่อบ้านแวมไพร์ตัวจริง กาลาต้า ปรากฏตัวขึ้น เวลส์จากคุกเข่าลงกับพื้นและจุมพิตรองเท้าของกาลาต้า
เวลส์ คนแคระผมแดง โกนหนวดโกนเคราออกทั้งหมด เพราะเจ้านายของเขา วลาด เกลียดหนวดเคราอย่างมาก จึงเผยให้เห็นผิวตะปุ่มตะป่ำของเขา เมื่อเห็นหนวดเคราสีน้ำตาลเข้มแสนดูดีของฮาโรลด์ เวลส์ก็รู้สึกหงุดหงิด เขายกมือขวาขึ้นและตะหวัดแส้ฟาดใส่ฮาโรลด์อีกครั้ง
“มัวคิดอะไรอยู่? เป็นคนแคระ ไม่ต้องคิด! ได้ยินไหม? เจ้าพวกสกปรก!”
ดูเหมือนเวลส์จะลืมไปว่าความจริงแล้วเขาก็เป็นคนแคระเหมือนกัน แต่กลับกัน เขากลับยกตัวเองเป็นทาสรับใช้ชั้นดีสำหรับขุนนางสายเลือดแวมไพร์
“ขอรับ ท่านพ่อบ้านเวลส์” ฮาโรลด์คว้ากระเป๋าที่เต็มไปด้วยหินแร่ด้วยมือที่กำแน่นกว่าเดิม
“ไปให้พ้นๆ ไป!” เวลส์ตวาดเสียงดัง
หลังจากเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว ฮาโรลด์ก็ได้ยินเสียงของเวลส์เปลี่ยนเป็นเสียงหวานที่น่าขยะแขยง “สวัสดีขอรับ ท่านหญิงเทสส์ ท่านกาลาต้า! เชิญทางนี้ขอรับ… ทางนั้นสกปรกนะขอรับ พวกคนแคระสกปรกไม่ควรโผล่หน้ามา…”
แม้ไม่ต้องหันหลังกลับไปมอง ฮาโรลด์ก็สามารถจินตนาการได้ถึงท่าทางประจบประแจงของเวลส์และความสูงของ กาลาต้า แวมไพร์ที่แต่งตัวเนี๊ยบได้เป็นอย่างดี กาลาต้ามักสวมชุดสูทสีดำที่หรูหราประดับด้วยหูกระต่ายอย่างบรรจง
ท่านหญิงเทสส์ต้องมีเสน่ห์และงดงามไม่ต่างกัน นางมีผมสีทองเป็นประกายและรูปร่างที่สมส่วนยิ่งนัก ดวงตาสีหยกของนางไม่เคยเปลี่ยน หลังจากนางกลายเป็นแวมไพร์ด้วยการถ่ายทอดพลังจากเคานต์วลาด
หัวใจของฮาโรลด์เจ็บปวดอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงท่านหญิงเทสส์ นางเคยเป็นคนแคระที่สวยที่สุดและเป็นที่รู้จักไปทั่วในหมู่บ้านรอบๆ บริเวณ และครั้งหนึ่งนางก็เคยเป็นนางในฝันของฮาโรลด์ อย่างไรก็ตาม นางถูกเคานต์แวมไพร์เลือกและกลายเป็นเจ้าสาวแวมไพร์ของเขา
สายลมเย็นๆ จากที่ราบสูงเตือนให้ฮาโรลด์รู้ตัวว่าเขาควรทำอะไร ฮาโรลด์ค้อมศีรษะต่ำและเดินแบกถุงสินแร่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เขาได้ยินคำสั่งตะโกนมาจากข้างหลัง
“เร่งมือถลุงแร่กันหน่อย ระวังด้วย พวกคนแคระที่หนีไปได้พากันจัดตั้งกองกำลังปฏิวัติ”
…
เมื่อถึงเวลายามเย็น ฮาโรลด์ก็เสร็จงานการใช้แรงงานหนักและได้พักเสียที หลังจากได้รับอาหาร ขนมปังสีดำสองแท่ง ฮาโรลด์ก็พร้อมจะกลับบ้านในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ
ขณะเขาเดินไป เขามองไปรอบๆ และตั้งท่าระมัดระวังตัวเต็มที่ เมื่อมั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว ฮาโรลด์ก็รู้สึกตื่นตระหนกและรีบเดินเข้าไปยังทางเดินในความมืดอย่างเงียบๆ
หลังจากใช้เวลากว่าสิบนาที ฮาโรลด์ก็เดินลัดเลาะผ่านแมกไม้บางตา ฮาโรลด์มาหยุดอยู่หน้าก้อนหินขนาดใหญ่รูปร่างธรรมดาก้อนหนึ่ง หลังจากตรวจสอบโดยรอบอย่างระแวดระวังอีกครั้ง ฮาโรลด์ก็ค่อยๆ เดินเข้าไปอีกด้านหนึ่งของหินและเคาะเบาๆ
“ไอน้ำจงเจริญ” ฮาโรลด์กระซิบน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยภาษาคนแคระ แม้จะดูเหมือนเป็นเวทมนตร์ แต่ก็ไม่มีพลังวิญญาณมาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ทันใดนั้น หินใหญ่ก้อนนั้นก็เปิดออกเหมือนประตูเปิด คนแคระคนหนึ่งออกมา หลังจากมองไปรอบๆ แล้ว เขาก็พูดขึ้นทันใด “เข้ามา ฮาโรลด์”
ฮาโรลด์รีบแทรกตัวเข้าไปในช่องว่าง หลังจากคนแคระคนนั้นล็อกประตูหินจากด้านใน ฮาโรลด์ก็ยื่นแท่งขนมปังให้เขาแล้วพูดว่า “ลุงวอร์เร็น ข้าต้องลงไปข้างล่างแล้ว”
“ไปเถอะหลาน ท่านผู้เฒ่ากำลังรอเจ้าอยู่” วอร์เร็นตอบ
วอร์เร็นกัดแท่งขนมปังคำเล็กๆ และกลืนลงไปพร้อมกับน้ำ ราวกับว่าเขาอดอยากมาเป็นเวลานาน
ฮาโรลด์รู้ดีว่าการขาดอาหารเป็นปัญหาใหญ่ของกองกำลังกบฏมาตลอด เขาเขี้ยวขนมปังสีดำและดื่มน้ำที่เขาพกมาตามไปอึกใหญ่ ขณะเดินลงไปข้างล่าง เขาประทับใจอย่างสูงกับปราสาทใต้พิภพที่สร้างโดยบรรพบุรุษของคนแคระ
แต่เขาก็ยังสงสัยว่าเหตุใดบรรพบุรุษคนแคระที่ส่งอิทธิพลถึงพ่ายแพ้ต่อแวมไพร์ พระเจ้าทุกพระองค์ทอดทิ้งพวกเขาไปหมดแล้วหรือ?
ภาพเขียนบนฝาผนังตลอดทางเดินก็ล้วนมหัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นภาพเรือเหาะลอยอยู่บนฟ้า เรือไอน้ำในมหาสมุทร ปืนใหญ่ทรงพลังเล็งเป้าที่มังกร และรถไฟไอน้ำกำลังวิ่งบนทุ่งโล่ง… แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮาโรลด์เห็นภาพเขียนเหล่านี้ แต่เขาก็ตื่นเต้นเหมือนเดิมทุกครั้ง เขาชอบฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรุ่งโรจน์จากปากของท่านผู้เฒ่าออกัสตัส ฮาร์ตโบรกเค็น เมื่อเขาคิดถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรีที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของอารยธรรมบรรพบุรุษ หัวใจของฮาโรลด์ก็เต็มไปด้วยความหวัง
ตรงสุดทางเดิน มีห้องโถงขนาดใหญ่ และทั้งสองข้างก็มีห้องขนาดเล็กเรียงรายอยู่ เสียงคำรามของไอน้ำยังคงดังต่อเนื่อง และคนแคระร่างกายบึกบึนคนหนึ่งกำลังเดินเครื่องจักรค้อนไอน้ำเพื่อหลอมอาวุธ
“ไง ฮาโรลด์” คนแคระที่มีเคราสีขาวพยักหน้าเบาๆ ทักทายเขา เมื่อคนแคระผู้นี้เห็นว่าฮาโรลด์กำลังมองอะไร เขาก็ถอนหายใจออกมา “อารยธรรมของพวกเราหายสาบสูญ เราไม่สามารถสร้างเครื่องจักรไอน้ำที่ซับซ้อน ปืนใหญ่ และปืนยาวอีกต่อไป เราทำได้เพียงล้อมดาบและขวานที่คมที่สุดก็เท่านั้น แม้อาวุธพวกนี้จะสามารถสังหารทาสรับใช้โลหิตได้ แต่ดาบกับขวานคงทำอะไรแวมไพร์ไม่ได้”
น้ำเสียงการพูดของผู้เฒ่าคนแคระดูเศร้าสร้อยและหดหู่
คนแคระหลายคนที่แต่งตัวธรรมดาพยายามตัดบทตอนที่ผู้เฒ่าคนแคระกำลังพูด พวกเขาต่างมีตำแหน่งระดับสูงในกองกำลังกบฏและไม่ต้องการให้ความสิ้นหวังนี้ขยายตัวออกไป
ออกัสตัสมีรอยยิ้มที่สงบสุขก่อนตอบออกไป “เมอร์นา อไควนัส… เราต้องให้พวกเขารู้ว่าเรามีปัญหาอะไร ใช่ เราไม่มีหวัง แต่เราจะคุกเข่ายอมแพ้ไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ หรือเราจะสู้และหลั่งเลือดเพื่อปกป้องเกียรติยศของบรรพบุรุษและตายเยี่ยงคนแคระ… นี่เป็นตัวเลือกของเรา”
“ไอน้ำเหนือสิ่งอื่นใด!” คนแคระที่อยู่ในห้องย่อยต่างๆ ก็ตะโกนออกมา ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องตายอยู่ดี และพวกเขาเลือกที่จะตายอย่างนักรบ
ขณะแบ่งปันอาหารกัน ออกัสตัสถามฮาโรลด์ถึงสถานการณ์ในปราสาทแวมไพร์ เหตุผลที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ภายในดินแดนของเคานต์วลาด ก็คือพวกเขาได้ยินมาว่าเคานต์วลาดได้รับบาดเจ็บจากสนามรบ และเขาต้องนอนหลับเป็นระยะๆ เพื่อรักษาตัว
“ท่านหญิงเทสส์ส่งพวกทาสรับใช้โลหิตออกตามล่าท่าน…” ฮาโรลด์ตอบ ในฐานะคนงาน เขาไม่รู้ข้อมูลมากนัก แล้วฮาโรลด์จึงมองไปที่ออกัสตัส และดวงตาของเขาก็เป็นประกายด้วยความหวัง “ข้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับอารยธรรมไอน้ำโบราณเพิ่มได้ไหมขอรับ?”
คนแคระสาวหน้าตาดีเจ้าของชื่อ ‘เมอร์นา’ ก็หวังจะได้ฟังเรื่องเล่าเช่นกัน เรื่องราวเหล่านี้เป็นเหมือนกับแสงตะวันอันอบอุ่นที่ให้ความหวังกับทุกคนในกองกำลังปฏิวัติ
“…พวกเรา คนแคระ… ครั้งหนึ่งเคยปกครองดินแดนที่ไร้พรมแดน เรามีเมืองที่มหัศจรรย์มากมายตั้งอยู่บริเวณท่าเรือของมหาสมุทรไร้พรมแดน และตลอดแม่น้ำไนกรีน… สมัยนั้น ปล่องควันเหล็กตั้งขึ้นมากมายไม่ต่างจากป่า และควันที่ลอยออกมาก็ปกคลุมทั่วท้องฟ้า…”
“มีรถไฟไอน้ำเดินทางระหว่างเมืองต่างๆ จากที่นี่ไปตอนเหนือ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง คนแคระทุกคนมีอาหารกินเพียงพอและเข้าถึงสิ่งประดิษฐ์เครื่องกลทุกประเภท เรามีลิฟต์ไอน้ำที่สามารถพาคนขึ้นไปชั้นบนสุดของอาคารในพริบตา และเราก็มีน้ำร้อนใช้เสมอ เพราะมีหม้อต้มไอน้ำ…”
“…นักรบคนแคระผู้กล้าขยายดินแดนของเราออกไปด้วยกระเป๋าไอน้ำแรงดันสูง แขนกล และปืนยาวไอน้ำ เรือไอน้ำของเราได้โลดแล่นในมหาสมุทร ปืนใหญ่ของเราทำให้ศัตรูต้องสยบ…”
แม้คนแคระจะไม่รู้ว่าแสงอาทิตย์เป็นอย่างไร แต่พวกเขาก็ยังตั้งใจฟังเรื่องเล่าด้วยความสนใจอย่างยิ่ง เรื่องเล่าพวกนี้ทำให้พวกเขามองเห็นสวรรค์ ภูเขาฟังเรื่องเล่าไปพร้อมกับจ้องมองรูปสลักบนผนังปูน พวกเขาสามารถเห็นเมืองเจริญรุ่งเรืองด้วยอารยธรรมไอน้ำ
ฮาโรลด์กำหมัดแน่น เขาสาบานกับตัวเองว่าสักวันเขาจะสร้างเมืองคนแคระขึ้นมาใหม่
ขณะบอกเล่าเรื่องราว หน้าของออกัสตัสก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิและความหวัง
“เอาล่ะ… วันนี้พอแค่นี้เถอะ ถึงเวลาบูชา ‘พระเจ้าแห่งไอน้ำ’ เจ้าแห่งชีวิตและความตาย” ออกัสตัสยืนขึ้นและเดินไปตรงกลางห้องโถง ซึ่งมีแท่นบูชารูปร่างแปลกๆ ตั้งอยู่
“จะได้ผลไหม?” เมอร์นา คนแคระสาว ถามขึ้นด้วยความสงสัย
ออกัสตัสตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ตอนพวกเราเจอที่นี่ เราก็พบพิธีกรรมที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ พวกเขาทรงพลังและชาญฉลาด และข้ามั่นใจว่าพวกเขาคงไม่เสียเวลากับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ บรรพบุรุษของเราอาจถูกทอดทิ้ง เพราะพวกเขาแสดงความเคารพต่อพระเจ้าแห่งไอน้ำไม่มากพอ พวกเราควรมีศรัทธาแรงกล้า เราจะได้รับพระเมตตาจากพระเจ้าแห่งไอน้ำอีกครั้ง”
คนแคระทุกคนพยักหน้า ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นนี้ พวกเขาจะไม่มีทางปล่อยให้ความหวังใดๆ หลุดมือไป
ดังนั้น คนแคระทุกคนจึงมารวมตัวกันตรงหน้าแท่นบูชา ผู้เฒ่าคนแคระเป็นผู้นำ คนแคระทั้งหลายเริ่มเต้นบูชาด้วยท่าทางแปลกประหลาด
“พระเจ้าแห่งไอน้ำผู้ยิ่งใหญ่! สาวกและข้ารับใช้ของพระองค์กำลังสวดอ้อนวอน”