บทที่ 433 การเปลี่ยนแปลงและแผน
ณ ราชอาณาจักรโฮล์ม ‘คริสตจักรแห่งอาภา’
ครั้นตื่นขึ้นจากคำอธิษฐาน ฟีลิเบล วาฮารัลล์ และสโตน ก็กำลังจ้องมองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนซึ่งถูกปกคลุมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ และการฉายภาพของ ‘สวรรค์ขุนเขา’ ด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“‘พลังพระเจ้าเสด็จ’… พระสันตะปาปาทรงใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ!’”
“ดาวดวงใหม่ถูกสร้างขึ้นโดยพวกนอกรีต? …ไม่มันถูกสร้างขึ้นโดยนักเวทที่ร้ายกาจ!”
“แต่ดวงดาวที่สร้างขึ้นนี้ ถึงกับสามารถเคลื่อนที่ไปทั่วโลกนี้ได้เหมือนของจริง… ไม่น่าแปลกใจที่พระสันตปาปาถึงกับต้องใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’…”
สีหน้าของพวกเขาดูซับซ้อน มีทั้งความกลัว ชื่นชม ยินดี สับสน และโกรธ
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์พระจันทร์สีเลือด จากนั้นความสนใจของศาสนจักรใต้ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ตอนนี้พวกเขามุ่งไปที่การสำรวจมิติที่ไม่รู้จัก และเงาสีดำ ขาว และเทาที่ถูกปิดผนึก ดังนั้น วารันไทน์ ซึ่งเป็นผู้นำของ ‘นักพรต’ จึงได้กลับไปที่ ‘แลนซ์’ ต่อมา วาฮารัลล์ ก็กลับไปเช่นกัน เหลือเพียง สโตน เท่านั้นที่จะนำ ‘อัศวินแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์’ ใน นครเรนทาโต ไปช่วยเหลือ ฟีลิเบล และสี่เมืองใน อาณาจักรบริแอนน์ ราชรัฐคาเลส์ โคเลตต์ และชายฝั่งทางเหนือเพื่อป้องกันสภาแห่งเวทมนตร์
แผนการทำสงครามครั้งใหญ่กับสภาเวทมนตร์ที่พวกเขาเตรียมการมาเกือบสองปีจึงต้องหยุดลง ตอนนี้ศาสนจักรรับตำแหน่งการป้องกันเชิงกลยุทธ์
สำหรับโบสถ์นักบุญแห่งสัจธรรม ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการค้นหา ‘อัลเทอร์นา’ ที่ล่มสลาย และการคงอยู่อย่างลึกลับ
นอกจากนี้ พวกเขาเชื่อว่าสภาเวทมนตร์ได้เปลี่ยนเป้าหมายเช่นกัน และจะไม่มีเวลามากพอที่จะมาทำสงครามกับพวกเขาเช่นกัน
“‘พระสิริของพระเจ้า’ มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง โปรดแสดงความเมตตาต่อโลก และช่วยพวกเขาให้รอด” ฟีลิเบลสวดภาวนาเบาๆ
วาฮารัลล์วาดไม้กางเขนที่หน้าอกของเขา และพูดด้วยความจริงจังว่า “พระสันตะปาปาเป็นพระโอษฐ์ที่แท้จริงของพระเจ้า ท่านเป็นคนเด็ดเดี่ยว ถ้าเป็นข้า ข้าคงใช้เวลาลังเลนานหลายชั่วโมง ในกรณีนี้ผู้คนจำนวนมากจะได้เห็นสัญลักษณ์ที่ชั่วร้ายบนท้องฟ้า และความศรัทธาของพวกเขาจะได้รับผลกระทบ”
แม้ว่าพระสันตะปาปาจะไม่สามารถใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ได้อีกภายในห้าปีนี้ แต่เขาก็ยังคงเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก เหนือกว่าตำนานทั้งหมด และการปรากฏตัวของเขาก็คุกคามข่มขู่ศัตรูทั้งหมดได้มากพอ แต่ความจริงที่ว่าคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดจะไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไปในรอบห้าปีนั้นจะเป็นสิ่งดึงดูดสำหรับใครหลายๆ คน ซึ่งอาจจะส่งผลเสียอย่างมากต่อการค้นหา ‘อัลเทอร์นา’ ของพวกเขา ดังนั้นในสายตาของวาฮารัลล์นี่จึงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก
ตอนนี้ภายใต้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่น่ากลัว ทำให้สัญลักษณ์ที่ชั่วร้ายได้กลายเป็นขี้เถ้า แม้ว่าสภาจะพยายามโอ้อวดความสำเร็จของพวกเขามากแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็กลายเป็นเรื่องตลกเท่านั้น ไม่ว่าความพยายามใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในอาณาจักรของพระเจ้าก็จะต้องเผชิญหน้ากับความเดือดดาลจากพระเจ้า มีเพียงทองคำแห่งสัจธรรมเท่านั้นที่สามารถสร้างโลกนี้ และดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ได้และแม้ว่าใครคนอื่นๆ จะสามารถสร้างสิ่งที่คล้ายคลึงกันได้ แต่ก็จะคงอยู่ได้ไม่นาน
“เจ้านั้นมันอันตราย ยิ่งถูกทำลายเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น” สโตน อัศวินศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า เขารู้สึกอึดอัดอย่างมากเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าดาวเคราะห์เทียมนี้ถูกสร้างจากนักเวท และมันกำลังมองลงมาจากท้องฟ้า
แม้ว่าในโลกนี้จะยังไม่มีแนวคิดที่เรียกว่าความสามารถในการควบคุมน่านฟ้าเหนือสนามรบคืออำนาจสูงสุด แต่ใครก็ตามที่บินได้จะเข้าใจว่าความสามารถนี้มีความสำคัญต่อการต่อสู้เพียงใด ยกเว้นในการต่อสู้ในร่มซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถในการบิน เช่นอัศวินอาภาสามารถทำให้อัศวินหลวงกว่าสิบคนถึงแก่ความตายได้อย่างง่ายดายแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากอัศวินหลวงไม่มีความสามารถในการโจมตีระยะไกล
ดังนั้นดาวเคราะห์ที่สร้างโดยนักเวทจะเป็นฝันร้ายสำหรับศาสนจักรหากมีการติดตั้งการเฝ้าระวัง และการโจมตี
หลังจากการสวดภาวนา ฟีลิเบลก็ดูราวกับว่าเขาแก่ขึ้นเล็กน้อย เขากล่าวด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้าเล็กน้อย “สภาแห่งเวทมนตร์เลือกที่จะเปิดเผยดาวเคราะห์เทียมโดยมีจุดประสงค์ ไม่เช่นนั้นเราก็คงจะไม่สามารถค้นหามันเจอในเร็วๆ นี้ หากดาวเคราะห์เทียมก้าวหน้ามากขึ้นในอนาคต… บอกได้เลยว่า ถ้าพวกมันจะติดตั้ง วงเวทล่องหน เวทเบี่ยงเบน หรือแม้แต่ ‘เวทกระโดดข้ามอวกาศ’ เราก็จะลำบากมากขึ้น
“เราต้องพัฒนาอาคมเทพบางอย่าง นอกจาก ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ แล้ว เรายังต้องมีเวทมนตร์ที่ทรงพลังพิเศษอื่นๆ อีก สำหรับการโจมตีระยะไกล
“…นอกจากนี้เรายังต้องมีอาคมเทพ และไอเทมศักดิ์สิทธิ์ใหม่ๆ ที่สามารถตรวจจับดาวเคราะห์เทียมเพื่อที่เราจะได้เปิดวงเวทป้องกันศักดิ์สิทธิ์ได้ทันเวลา
“ถ้าเป็นไปได้ เราก็จำเป็นต้องขโมยข้อมูลจากสภาเวทมนตร์เพื่อสืบว่าพวกเขามีแผนสำหรับดาวเคราะห์เทียมอย่างไร เพื่อที่เราจะได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกัน ดาวเคราะห์เทียมจะเป็นอาวุธป้องกันตัวเองที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับดาวเคราะห์เทียมอื่นๆ… แน่นอน
“เราต้องสร้างวงแหวน ‘เวทกระโดดข้ามอวกาศ’ ที่อยู่ใกล้วงโคจรที่สุด ซึ่งเหล่านักบุญ คาร์ดินัล และอัศวินศักดิ์สิทธิ์สามารถเข้าถึงเป้าหมายได้ในระยะเวลาอันสั้นที่สุดโดยที่ไม่ต้องมีการเตรียมการเพิ่มเติม
“…ค้นหานักเวทระดับแนวหน้าของแผนการดาวเคราะห์เทียม ถ้าทำได้เรา เราก็จะชำระมัน ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้มากขนาดนั้น… มีเพียงนักเวทระดับตำนานเท่านั้นที่สามารถดำเนินแผนงานดังกล่าวได้”
คำแนะนำมากมายของฟีลิเบล ทำให้ สโตน ขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากลยุทธ์ที่พวกเขาใช้ในตอนนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากที่เคยใช้มา
…
ภายใต้แสงศักดิ์สิทธิ์อันบริสุทธิ์ คฤหาสน์ของดยุกปาร์ฟสว่างไสวราวกับพระราชวังคริสตัล ภายในบ้านหลังหน้าต่างบานใหญ่มีเจมส์ และรัสเซล ดยุกแห่งโวล์ฟเบิร์กยืนอยู่
“อำนาจของพระเจ้านั้นกว้างใหญ่ และมากมายจนไม่อาจต้านทานได้” เจมส์ที่ไร้ศีรษะถอนหายใจยาวในขณะที่เขามองดูทะเลแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังถอยกลับไปอย่างช้าๆ
รัสเซลถือแก้วไวน์แล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อย เขาจ้องมองของเหลวสีแดงที่อยู่ภายในราวกับว่าเขาไม่กล้ามองไปที่การฉายภาพของ ‘หุบเขาวิมาน’ โดยตรง
“นับตั้งแต่ก่อตั้งศาสนจักร ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ถูกใช้เพียงแปดครั้ง ในบรรดาแปดครั้ง คนหกคนได้เห็นการล่มสลายของสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดแห่งหนึ่งในโลกนี้
“แสงแห่งดวงดาว กงสุลคนสุดท้ายของอาณาจักรเวทมนตร์ เจ้าแห่งความตายเอเบล เจ้าชายแวมไพร์อโฟรรา มังกรโบราณแห่งกาลเวลา ปีศาจแห่งศาสนจักรแห่งดวงอาทิตย์ และ ‘เทพธิดา’ พระแม่ธรณี มีเพียง อัลเทอร์นา และ มาร์ติมุส เจ้าแห่งนรกเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้
“มันยากที่จะเชื่อว่าพระสันตะปาปาเพิ่งใช้สิ่งนี้เพื่อเผชิญหน้ากับดาวดวงใหม่นี้…”
“บางทีมันอาจจะไม่ใช่ดวงดาวจริงๆ…” ในฐานะผู้นำของ ‘เสรีนิยม’ เจมส์รู้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาเวทมนตร์มากกว่ารัสเซล แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็บอกว่าดักลาสกำลังทำงานใหญ่อยู่
รอสประหลาดใจมาก “เจ้าหมายถึงอะไร”
“บางที… บางที… มันอาจจะเป็นดาวเคราะห์เทียมที่ดักลาสสร้างขึ้น ข้าหวังว่าเขาจะไม่ถูกสังหารจาก ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’…” เจมส์กล่าวด้วยความตื่นเต้น และกังวลเล็กน้อยในเวลาเดียวกัน
ถ้าท่านประธานเป็นอะไรขึ้นมา นั่นจะเป็นการโจมตีที่ร้ายแรงต่อสภาแห่งเวทมนตร์ แม้ว่ามหาจอมเวทที่มีอำนาจหลายคนจะไม่ยอมให้สภาล่มสลาย แต่ความขัดแย้งภายในระหว่างมหาจอมเวทกับนักเวทระดับตำนานนั้น เป็นอะไรที่ยากมากที่ ‘เจ้าแห่งวายุ’ และ ‘หัตถ์ทำลายล้าง’ จะควบคุม ดังนั้นในทุกๆ วันสภาจะเริ่มตกอยู่ในความเสื่อมโทรมโดยไม่ต้องสงสัย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ข่าวดีสำหรับ ‘เสรีนิยม’
“ดาวเคราะห์เทียม?” รัสเซลสะดุ้ง ไม่เหมือนกับการสร้างมิติ การสร้างดาวเคราะห์หมายถึงโลกใหม่ที่ถูกสร้างขึ้น! จากข้อมูลของดักลาสกล่าวว่า โลกแห่งวัตถุหลักเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่ขนาดใหญ่กว่า
สีหน้าของเจมส์เปลี่ยนแปลงภายใต้แสงเทียน “นั่นเป็นเรื่องจริง สภาเวทมนตร์มีพลังมากกว่าที่เราคาดคิด และยังอันตรายกว่าด้วย บางทีในอนาคตเราจะร่วมมือกับ ‘พระเจ้า’…”
“สัจธรรมเท่านั้นที่มีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์…” รัสเซลยังคงมีศรัทธาเหลืออยู่เล็กน้อย เขาวาดไม้กางเขนที่หน้าอกของเขา
…
บนชั้นที่สามสิบสามของหอคอยเวทมนตร์อัลลิน
“อาจารย์คะ… พระสันตะปาปาใช้… ‘พลังพระเจ้าเสด็จ?!’” ลูเซียนาอุทานอย่างไม่น่าเชื่อ นักเวททุกคนรู้ดีว่าพลังของ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ นั้นน่ากลัวเพียงใด ลูเซียนาสงสัยว่าดักลาส อาจารย์ของนางมาถึงระดับอัลเทอร์นา ‘พระเจ้าแห่งจันทราสีเงิน’ แล้วหรือยัง?
ดักลาสยิ้ม และโบกมือ “เป้าหมายอันดับหนึ่งของโป๊บคือแอนทิฟเฟอร์ เขาไม่รู้ว่าเป็นข้าที่ปล่อยดาวเคราะห์ขึ้นท้องฟ้า และใช้หลักความเร็วเริ่มต้น ดังนั้น ข้าจึงอยู่นอกระยะและรู้สึกถึงพลังจากบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นข้าจะกลับมาไม่ได้”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ดักลาสไม่ได้รู้สึกหดหู่ หรือกลัวเลย ตอนนี้เขารู้ถึง ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ และเห็นว่ามันทำงานอย่างไรโดยการสังเกตจากระยะใกล้ นั้นจะเป็นประโยชน์ต่อเขามากในอนาคต
“ข้าจะเขียนจดหมายถึงทุกคนเพื่อแบ่งปันประสบการณ์นี้เมื่อข้าทำความเข้าใจเสร็จแล้ว” ดักลาสกล่าวกับเฟอร์นันโด ลูเซียน อาร์ทิล และคนอื่นๆ
นอกจากการสอน และแบ่งปันประสบการณ์ของเขา เขายังวางแผนที่จะเขียนจดหมายเพื่อแสดงความขอบคุณ หากปราศจากความช่วยเหลือจาก ‘เจ้าแห่งวายุ’ และ ‘ศาสดา’ ดักลาสก็จะไม่สามารถสร้างดาวเคราะห์เทียมได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ และหากไม่มีลูเซียนแผนนี้ก็จะไม่มีทางสำเร็จ
ลูเซียนขอบคุณดักลาส ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย นี่เป็นจุดสิ้นสุดของโครงการดาวเคราะห์เทียมดวงแรกหรือไม่? มันเริ่มขึ้นเร็วมาก และจบลงเร็วมาก หลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ ลูเซียนยังตื่นเต้นมาก และมีจิตวิญญาณในการแสดงกำลังเกี่ยวกับการตั้งชื่อโครงการนี้ว่า ‘สงความแห่งดวงดาว’
“ท่าน โครงการนี้ประสบความสำเร็จ! ทฤษฎีของท่านได้รับการพิสูจน์แล้ว! ไม่มีใครสงสัยท่านอีกต่อไป!” อาร์ทิล กล่าวอย่างตื่นเต้นริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย
แม้ว่าระบบทฤษฎีของดักลาสจะได้รับการปลูกฝังในหัวใจของจอมเวททุกคน แต่ก็ยังคงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เสียงวิจารณ์เหล่านี้ดังขึ้นเป็นพิเศษเมื่อการทดลองของดักลาสที่ใช้ระบบนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าความเร็วของแสงไม่ได้เปลี่ยนไปในทิศทางที่ต่างกัน อากาศธาตุนั้นไม่มีอยู่จริง และทฤษฎีคลื่นแสงค่อนข้างมีปัญหา
นอร์แมนและลูเซียนาตื่นเต้นเหมือนกัน ดาวเคราะห์เทียมได้สนับสนุนทฤษฎีของดักลาสอย่างมาก
“มันเป็นเพียงก้าวแรก ‘แอนทิฟเฟอร์หมายเลขหนึ่ง’ ถูกทำลายด้วย ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ก่อนที่มันจะปฏิวัติทั่วโลกเสร็จสิ้น ต่อไปเราจะมี ‘แอนทิฟเฟอร์หมายเลขสอง’… แน่นอนต้องดำเนินการอย่างลับๆ” ดักลาสตอบยิ้มๆ แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ถ่อมตัวมาก แต่น้ำเสียงของเขาก็มีความมั่นใจมากขึ้น
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็เริ่มมีอารมณ์ “ทฤษฎีของข้าได้รับการพิสูจน์แล้ว แต่สิ่งนี้ทำให้ข้ามีคำถามมากขึ้น และทำให้ข้ารู้สึกกลัวความจริงที่ไม่รู้จักมากขึ้น ระบบแรงโน้มถ่วงมีรูปร่างอย่างไรในตอนเริ่มต้น? ทำไมมันถึงเกิดขึ้น”
นี่เขาเอาอีกแล้ว… ปากของเฟอร์นันโดกระตุกเล็กน้อย
ลูเซียนรีบฉวยโอกาสพูดกับมหาจอมเวททันที “ท่านประธาน อาจารย์ ท่านศาสดา ข้าได้ทดสอบสัญญาณจาก ‘แอนทิฟเฟอร์หมายเลขหนึ่ง’ แล้ว และมันชัดเจนมาก! ถ้าเราใส่วงเวทเพื่อส่งสัญญาณในดาวเคราะห์เทียม เราก็จะสามารถขยายระยะการครอบคลุมของข้อความแม่เหล็กไฟฟ้าได้อย่างมาก สุดท้ายการส่งสัญญาณบนท้องฟ้าจะทำได้ง่ายกว่าบนพื้นดินมาก หากเป็นเช่นนั้นเราจะพูดคุยกันได้แม้ว่าจะอยู่ใน ‘เทือกเขาแห่งความมืด’ ในขณะที่เรายังอยู่ในอัลลิน นี้สะดวกยิ่งกว่า ‘เวทกระโดดข้ามอวกาศ!’
“นอกจากนี้เรายังต้องพิจารณาถึงหน้าที่ในการตรวจตรา และโจมตี เราต้องการดาวเคราะห์เทียมชนิดต่างๆ!”
ดักลาสยิ้มและพยักหน้า “เป็นข้อเสนอแนะที่น่าสนใจมาก การสื่อสารที่ดีขึ้นจะนำการปฏิวัติครั้งใหญ่มาสู่สังคมอย่างแน่นอน แต่ค่าใช้จ่ายยังสูงเกินไป ผลิตภัณฑ์การเล่นแร่แปรธาตุที่จำเป็นควรมีอยู่ในระดับห้าอย่างน้อย มีเพียงนักเวทระดับสูงเท่านั้นที่สามารถใช้พวกมันได้ ข้าเกรงว่าเราจะไม่สามารถทำให้เป็นที่นิยมได้ในตอนนี้”
ภายใต้อิทธิพลของจินเคลา คำว่า ‘ความนิยม’ ถูกนักเวทพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ
“ข้ามีแผนการแล้วแล้วขอรับ!” ลูเซียนเตรียมพร้อมแล้ว
ลูเซียนไม่สามารถส่งดาวเทียมได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อร่วมมือกับท่านประธาน และเฟอร์นันโด
เฟอร์นันโดหัวเราะสั้นๆ เขารู้ว่าลูกศิษย์ของเขาเตรียมเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว ตั้งแต่ตอนที่เสนอโครงการดาวเคราะห์เทียม