บทที่ 457 ดวงใจแห่งศรัทธา
“ช่างเป็นลูกศิษย์ที่ดี ดักลาส”
หลังจากที่พลุขนาดย่อมหยุดปะทุ เฟอร์นันโดก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดสีเล็กน้อย
คล้ายกับว่าดักลาสจะแก่ชราลงภายในไม่กี่วินาที เขาแย้มยิ้มขมขื่นขณะกล่าว “นับแต่บรูคได้เป็นมหาจอมเวทเพราะทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าและทฤษฎีคลื่น ข้าก็สังเกตเห็นว่าอาร์ทิลเริ่มมีพฤติกรรมแปลกไป เขามีแนวโน้มว่าจะทำให้ทุกอย่างดูเกินจริงและมักจะบอกว่าเหตุผลที่ตอนนี้เรายังมีคำถามที่หาคำตอบไม่ได้และสืบเสาะค้นหาไม่ได้ก็คือ เรายังไม่ค้นพบ ‘ต้นกำเนิด’ ทีแรกข้าคิดว่าเป็นเพราะความสำเร็จของบรูคนั้นมากเกินที่เขาจะทนรับไหว แต่แล้วข้าก็เริ่มรู้สึกสงสัย… และก็ได้พบเบาะแสบางอย่างในภายหลัง…”
เขาถอนหายใจแล้วพูดต่อ “…แต่แล้วเขาก็เหมือนจะรับรู้ได้ เขามาหาข้าและสารภาพว่าเขาพยายามจะยืมมือคนของศาสนจักรเพื่อกำจัดบรูค แต่มิได้เชื่อในพระเจ้าแห่งสัจธรรมจริงๆ และบอกว่ายิ่งทางศาสนจักรเชื่อเขามากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสภาเวทมนตร์ อาร์ทิลเป็นศิษย์ของข้ามานานกว่าร้อยปี ข้าเฝ้าดูเขาเติบโตจากเด็กวัยสิบสามสิบสี่ปี ข้านึกว่าข้ารู้จักเขาดี จึงไม่ได้แทรกแซงจิตใจเขา ข้าเลือกที่จะเชื่อใจเขาในเวลานั้นและทดสอบเขาด้วยวิธีอื่น…
“อาร์ทิลประพฤติตัวดีในตอนที่เราปล่อยดาวเคราะห์ประดิษฐ์และตอนค้นพบอิเล็กตรอน อีกอย่าง เขาก็เห็นแย้งต่อทฤษฎีคลื่นอย่างรุนแรงมาตลอดหลายปีที่ผ่าน ข้าจึงลดความระแวงลง… ข้าคาดไม่ถึงเลย…”
ในที่สุดนอร์แมนกับลูเซียนาก็ตระหนักได้ว่าอาร์ทิลคือสายลับของศาสนจักร สิ่งที่สังหารเขาคือแสงศักดิ์สิทธิ์ มิใช่การที่ศีรษะระเบิดโพลง! แต่อาร์ทิลใช้พลังเวทมนตร์ หาใช่พลังศักดิ์สิทธิ์!
“เว้นแต่ว่ามิติพิเศษจะก่อรูปร่างขึ้นในโลกแห่งปัญญาของเขา ก็ไม่มีทางเลยที่เราจะแกะรอยได้ว่าโลกแห่งปัญญาส่วนหนึ่งของเขาแสดงถึงการสรรสร้างจากพลังศักดิ์สิทธิ์หรือไม่” เฟอร์นันโดกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง ในขณะที่พลังของนักเวทเพิ่มพูนขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าใกล้ความจริงของโลก พลังของเหล่านักบวชจะมาจากความศรัทธา เมื่อใดก็ตามที่ศรัทธาของพวกเขาไม่มั่นคง พวกเขาก็จะสูญสิ้นพลังหรืออาจกระทั่งถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนกิน ดังนั้น สภาเวทมนตร์จึงไม่สามารถส่งสายลับระดับสูงเข้าไปแฝงตัวอยู่ในศาสนจักรได้
ลูเซียนพยักหน้าด้วยท่าทีครุ่นคิด หลังจากที่อาร์ทิลผสาน ‘แสงแห่งศรัทธา’ เข้าไปในโลกแห่งปัญญา แม้ว่าอาร์ทิลจะไม่สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้ เขาก็ยังเชื่อในการมีอยู่และพลังของพระเจ้าแห่งสัจธรรมไม่มากก็น้อย เมื่อศรัทธาของเขาถูกสั่นคลอน แสงศักดิ์สิทธิ์จึงระเบิดออกในตอนที่โลกแห่งปัญญาของเขาพังทลายลง และกลืนกินเขาไปก่อนที่ศีรษะจะระเบิด ซึ่งแตกต่างจากนักเวทชราคนก่อนที่เชื่อในพระเจ้าแห่งสัจธรรมแต่ศีรษะกลับระเบิดโพลง ลูเซียนเดาว่านี่ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนมีบทบาทสำคัญกว่าภายในโลกแห่งปัญญา
ในกรณีนี้ ดูเหมือว่าพลังของซาร์ด พลังของพระสังฆราชกับนักบุญแห่งศาสนจักรเหนือ และพวกนอกรีตจากศาสนานักบุญสัจธรรมที่ลูเซียนเคยพบเจอนั้นยังคงมาจากความศรัทธาของพวกเขาจริงๆ
ดูเหมือนว่าตราบใดที่พวกเขายังมีศรัทธาต่อพระเจ้าแห่งสัจธรรม ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าใจหลักคำสอนอย่างไรและการรับรู้จะเปลี่ยนไปอย่างไร พวกเขาก็ยังใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้โดยไม่ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนกิน
แต่ซาร์ดและพวกนอกรีตดูเหมือนจะไม่ได้เลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้าแห่งสัจธรรมถึงเพียงนั้น… ลูเซียนลูบคางด้วยความสับสน
“ความจริงแล้วข้าเองก็สงสัยเขาเช่นกันขอรับ… แต่ก็วางความสงสัยนั้นลงเมื่อเห็นว่าเขาไม่เป็นอะไรหลังจากที่อีวานส์นำเสนอการทดลองชีวิตมหัศจรรย์” นอร์แมนระลึกขึ้นได้ “…เขามีสหายสองคนเป็นคณะกรรมการกิจการ พวกเขาอาจชักจูงหลายๆ อย่างได้โดยอ้อม”
นักเวทระดับสูงผู้มากประสบการณ์อย่างอาร์ทิล แม้ว่าจะเป็นคนอารมณ์ร้อน เขาก็ยังมีสหายอยู่หลายคน
“ข้าจะให้วีเซนเตตรวจสอบพวกเขา” ดักลาสเอ่ยสั้นๆ
ในขณะเดียวกันนั้น ลูเซียนเริ่มวิเคราะห์องค์ประกอบโลกแห่งปัญญาของอาร์ทิล ‘เขาไม่ได้เห็นการทดลองชีวิตมหัศจรรย์ด้วยตา และเขาก็เตรียมใจมาแล้วด้วยการโน้มน้าวตัวเองว่าการทดลองนั้นไม่สามารถโค่นล้ม “รังสรรค์นิยม[1]” แต่แค่นำเสนอความเป็นไปได้อีกรูปแบบหนึ่ง อีกอย่าง มันไม่มีทฤษฎีใหม่ๆ ตามมาเพื่อสนับสนุนการทดลองนั้น แต่ว่า “การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย” มีพื้นฐานมาจากระบบทฤษฎีที่ทั้งสมบูรณ์และมีเหตุมีผล ทันทีที่นิวตรอนถูกค้นพบ ตามมาด้วยระบบ การสร้างคาถาเวทมนตร์ที่สามารถโค่นบัลลังก์แห่งการรังสรรค์ได้ก็อาจกลายเป็นจริง มันเลยมากเกินที่เขาจะรับไหว’
“เช่นนั้น ในโลกแห่งปัญญาของเขา พระเจ้าแห่งสัจธรรมคงจะเป็นต้นกำเนิดของจักรวาลและผู้สร้างสรรค์ทุกสรรพสิ่งสินะ” เฟอร์นันโดกล่าวสรุป ก่อนจะหันไปทางดักลาส “ข้ากำลังจะถามเจ้าว่าเราจะใช้ ‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ ในการโจมตีศาสนจักรสักคราได้หรือไม่ แต่เรากลับมีสายลับอยู่ที่นี่เสียกระนั้น”
“หากเรารอจนกว่าจะค้นพบนิวตรอนและรอให้คาถาบทใหม่สำหรับสสารที่เปลี่ยนไปโดยถาวรสร้างขึ้นเพื่อที่จะตีพิมพ์ ‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ แล้วล่ะก็ คงจะมีพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญอย่างน้อยสองคนที่ถูกโค่นล้ม แต่ตอนนี้เพราะการตายของอาร์ทิล ทางศาสนจักรคงจะรู้ได้ในเร็วๆ นี้ เมื่อพวกนั้นเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน เราก็อาจพลาดโอกาสไป” ดักลาสรวบรวมความสงบนิ่งตามปกติกลับมา แต่รอยยิ้มเปี่ยมเมตตาที่มักปรากฏบนใบหน้าเขากลับหายไป
ในดวงตาสีแดงของเฟอร์นันโดปรากฏพายุร้ายโหมกระหน่ำ “เจ้าเคยตรวจสอบเขามาก่อนใช่หรือไม่ เช่นนั้นเจ้าก็คงจะรู้สินะว่าเขาติดต่อกับศาสนจักรอย่างไร ฉวยโอกาสนี้สั่งสอนพวกศาสนจักรให้หนักเสียสิ”
“หากจะสั่งสอนให้หนัก เพียงแค่ ‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ ที่ไม่มีการทดลองเป็นหลักฐานคงจะไม่พวกพอ ข้าจะให้แอตแลนต์มาร่วมวางแผนกับเราและสร้างบรรยากาศแก่การบอกใบ้ทางความคิดที่ทรงพลังที่สุด” ดักลาสพยักหน้าเล็กน้อยและส่งสัญญาณบอกให้นอร์แมนกับลูเซียนาอยู่ในห้องทำงานของเขาอีกสักพัก
…
ภายในสำนักงานใหญ่องค์กรเจตจำนงแห่งธาตุ หอคอยเวทมนตร์แห่งราชสำนักโฮล์ม
ราเวนติเพิ่งได้รับกองกระดาษและเศษกระดาษบางๆ ซึ่งเป็นข้อความลับ
“‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ งั้นรึ ของลูเซียน อีวานส์?” ราเวนติขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อหัวข้อที่ดูกว้างและสั้นๆ
แต่เขารู้ว่าลูเซียนคือผู้ระมัดระวังตัวและพิถีพิถันมาก ดังนั้นมันจึงต้องมีเหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงเลือกตั้งชื่อเช่นนี้ เขาเลิกคิดใคร่ครวญแล้วเริ่มอ่าน
ศาสตร์แห่งเวทธาตุและการเล่นแร่แปรธาตุนั้นมักเกี่ยวโยงกันอยู่เสมอ ดังนั้น รางวัลมงกุฎแห่งโฮล์มจึงเป็นรางวัลสูงสุดสำหรับทั้งสองสำนัก สมาชิกคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานาทั้งสี่คนจากเจตจำนงแห่งธาตุจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแล่นแร่แปรธาตุอีกด้วย
ทันทีที่เริ่มอ่าน ราเวนติก็จมดิ่งเข้าสู่รายงานของลูเซียนลงไปเรื่อยๆ คิ้วของเขากระตุกยิกขณะที่มือทั้งสองข้างสั่นสะท้านราวกับชายผู้เฒ่าชราอย่างแท้จริง
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เขาก็ดูจะหมดความอดทน จึงคำรามออกมาเสียงแผ่วเบากับตนเอง “สรุปว่านี่คือความลับที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปเบื้องหลังสสารสินะ!”
สายตาเขาพลันพร่าเลือน ภายในความเลือนรางนั้น คล้ายกับมีชายชราผมขาวโพลนที่ร่างกายผอมแห้งจนแทบจะเหลือเพียงกระดูก กำลังนอนอยู่บนเตียงโดยสวมเสื้อคลุมเวทมนตร์แห่งเวทธาตุ ดวงจิตของเขาเสียหายรุนแรงจากความล้มเหลวของพิธีกรรมเปลี่ยนมนุษย์เป็นเทพอสูรและชีวิตก็ใกล้จะดับดิ้น ทว่า เสียงของเขายังเต็มไปด้วยแรงปรารถนาและความเอาจริงเอาจัง
“ราเวนติ เจ้าเข้าใจความหมายของคำว่า ‘เล่นแร่แปรธาตุ’ หรือไม่”
“มันหมายถึงความฝันของเรา ฝันที่จะได้รับรู้และเข้าใจความลับแห่งสสาร!”
“เจ้าจงทำแทนข้า สานต่อความฝันต่อไป!”
ราเวนติหลับตาลงและพึมพำ “อาจารย์ ท่านเห็นนี่หรือไม่ ‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย!’”
ราเวนติจมอยู่ในห้วงความคิดนั้นอยู่นานกว่าจะสงบลง จากนั้นเขาจึงหยิบข้อความลับขึ้นมา
“อาร์ทิลเป็นสายลับจากศาสนจักร? เขาถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนกินหลังจากอ่าน ‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ อย่างนั้นรึ” ราเวนติขมวดคิ้วมุ่น
เขาอ่านข้อความลับเสร็จก็เรียกลูกศิษย์ที่รออยู่ด้านนอกให้เข้ามา
“ไปตรวจดูว่ามีผู้ใดบ้างที่สนิทสนมกับอาร์ทิล” ราเวนติสั่งการ
“ทำไมหรือขอรับ” ลูกศิษย์ของเขามึนงง
ราเวนติบอกเนื้อหาในข้อความลับให้กับลูกศิษย์แล้วถามด้วยสีหนาจริงจัง “เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ” ลูกศิษย์ของเขากำลังจะหันกายกลับไป แต่เขาก็นึกอะไรขึ้นได้จึงหันกลับมาถาม “อาจารย์ เราควรต้องเก็บเรื่องข้อความนี้เป็นความลับหรือไม่ขอรับ”
“ข้อความนี้เปิดเผยได้ การเข้าถึงข้อความไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจระดับสูง” ราเวนติหวนนึกถึงข้อความเบื้องหลังข้อความลับ
เมื่อลูกศิษย์ของเขาจากไป ราเวนติก็ตรงไปยังห้องทดลองเขาจำต้องพิสูจน์ยืนยันการทดลองของลูเซียนก่อนจะเขียนความเห็นใดๆ
ราเวนติเป็นจอมเวทผู้ระมัดระวังและรอบคอบอยู่เสมอ
…
ภายในมิติพิเศษ สมาชิกอีกท่านจากสำนักเล่นแร่แปรธาตุผู้มีนามว่าปราโดกำลังยืนรออยู่ข้างโต๊ะด้วยท่าทางนอบน้อม
มันดูเหมือนกับว่าชายผู้มีผมและดวงตาสีดำที่มักจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับบนใบหน้ากำลังหลับอยู่ เขานั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ไม่ลืมตาขึ้นแม้แต่ในตอนที่ตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่มีรูปลักษณ์ของเด็กสาวตัวน้อยผมบลอนด์เดินเข้ามาพร้อมกับชาของเขา
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เคลาส์ก็ถอนหายใจออกมา “ในที่สุด… ข้าก็ได้เห็นสิ่งนี้มีชีวิตขึ้นมาด้วยตาตนเอง”
เขาเหลือบมองไปทางตุ๊กตาใบหน้างดงามประณีตทว่าไร้อารมณ์ จากนั้นจึงมองไปทางท้องฟ้าสดใสนอกหน้าต่าง ก่อนจะหัวเราะออกมาแผ่วเบา
“ช่างเป็นโลกที่แสนมหัศจรรย์”
“‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ มันจะไปได้ไกลแค่ไหนกันนะ”
…
ภายในคริสตจักรแห่งอาภา อาณาจักรโฮล์ม
ฟีลิเบลเพิ่งจะสวดภาวนาประจำวันเสร็จสิ้นเมื่อเขาเห็นว่ามีพระคาร์ดินัลคนหนึ่งกำลังเร่งร้อนตรงเข้ามา
“มีข้อความ! ระดับอัครทูตสวรรค์!” พระคาร์ดินัลคนนั้นร้องบอกก่อนที่ฟีลิเบลจะทันได้ตำหนิเขาที่ทำตัวบุ่มบ่ามใจร้อน
‘ระดับอัครทูตสวรรค์งั้นรึ’ ฟีลิเบลค่อนข้างประหลาดใจ เขานึกสงสัยว่าดักลาสเลื่อนระดับขึ้นได้แล้ว หรือว่าพวกนักเวทเพิ่งจะค้นพบเรื่องสำคัญเรื่องใหม่ที่จะนำไปสู่อาณาเขตแห่งพระเจ้ากันแน่
คำถามมากมายผุดขึ้นในใจฟีลิเบล เมื่อทราบความสำคัญของข้อความ เขาจึงรับกระดาษหนังปึกหนามาและบอกพระคาร์ดินัลคนนั้นว่าให้ไปเชิญสโตนมาที่นี่
“ระดับอัครทูตสวรรค์… จากอาร์ทิลอย่างที่คิด… มีเอกสารสำคัญแนบมาด้วย พร้อมกับคำสาป…”
ฟีลิเบลตรวจสอบเอกสารอย่างระมัดระวังและสังเกตเห็นว่ามันมีพลังคำสาปแผ่ออกมาจากถุงเล็กๆ ที่ผูกติดกับเอกสาร ดังนั้นเขาจึงเชื่อมั่นในข้อความยิ่งกว่าเดิม
“ฟีลิเบล มีอะไรเช่นนั้นรึ” วาฮารัลล์ถาม เขาอยู่ภายในคริสจักรพอดี จึงมาหาได้อย่างง่ายดายหลังจากได้รับข้อความผ่านทางวงแหวนศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเห็นว่ามีบุคคลระดับตำนานถึงสองคนอยู่เป็นพยานให้กับเขา ฟีลิเบลจึงเปิดเอกสารและเริ่มอ่านเนื้อหาภายในปึกกระดาษ
เมื่อเห็นคาถาเวทมนตร์และสัญลักษณ์อาร์คานาศาสตร์แสนซับซ้อน วาฮารัลล์ก็หันหน้าหนีและรอให้ฟีลิเบลสรุปคร่าวๆ ในระหว่างนั้น เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องค่อนข้างแปลกที่งานเขียนทั้งฉบับจะถูกส่งมาให้กับทางศาสนจักร เพราะส่วนใหญ่แล้ว ข้อความสำคัญในเนื้อหามักสรุปมาก่อนจะส่งมา งานเขียนทั้งฉบับจะเป็นข้อความระดับอัครทูตสวรรค์ได้อย่างไรกัน
ยิ่งอ่าน ร่างกายฟีลิเบลก็ยิ่งสั่นสะท้านด้วยแรงโกรธเกรี้ยว ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยไฟโทสะ เขาอ่านข้ามบางส่วนไป และพุ่งตรงไปที่ส่วนสำคัญที่สุด
‘…ในสารกัมมันตรังสี ข้าได้ค้นพบร่องรอยของธาตุใหม่ ซึ่งเหมาะเจาะพอดีกับที่ข้าเคยคาดการณ์ไว้ ในกระบวนการการสลายให้กัมมันตรังสี[2] พลังงานและสสารจะถูกปล่อยจากนิวเคลียสของอะตอมฮีเลียม ธาตุใหม่ๆ จึงก่อตัวขึ้น…’
ตรงจุดนี้มีข้อความกำกับมาว่า ‘ดูสิ่งที่แนบมา สำคัญ’
ฟีลิเบลรีบเปิดถุงสีดำใบเล็ก และก็ได้เห็นแร่ชิ้นหนึ่งที่มีสัญลักษณ์เวทมนตร์กำกับไว้ มันเป็นสีแดง แต่กลับแผ่รัศมีจางๆ ออกมาสามสี นั่นคือดำ ขาว และเขียว ส่วนหนึ่งของชิ้นแร่กลายเป็นสีน้ำเงิน และแผ่รัศมีสีเขียวเข้มออกมา
ร่องรอยแสนเล็กจ้อยของธาตุใหม่ภายในนั้นถูกทำให้ชัดเจนด้วยเวทมนตร์ ในขณะที่คลื่นเวทมนตร์ถูกกลบด้วยพลังคำสาป
นี่คือชิ้นแร่ของจริงจากธรรมชาติ เว้นแต่ว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงของมันถูกนำเสนอด้วยสัญลักษณ์เวทมนตร์
‘นี่คือธาตุที่เปลี่ยนเป็นธาตุอื่นผ่านการสลาย…’ ฟีลิเบลหยุดตัวเองไม่ให้อ่านต่อไปไม่ได้ ราวกับถูกวิญญาณเข้าสิง
‘…นับแต่ที่มนุษย์มีพลังเวทมนตร์ ก็บังเกิดความฝันในการเปลี่ยนธาตุต่างๆ เป็นทองคำมาตลอด นี่ไม่ใช่เพียงการไขว่คว้าหาความมั่งคั่ง แต่เป็นความโหยหาความจริงของโลก ดั่งที่เราหวังจะได้เข้าใจความลับแห่งการเปลี่ยนรูปสสาร!’
‘…ทว่า นับหลายพันปีที่ผ่านมา ยังมิมีปฏิกิริยาทางการแปรธาตุใดที่เปลี่ยนรูปสสารพื้นฐานได้สำเร็จโดยไม่พึ่งพาวงแหวนเวทถาวร… เบื้องหน้าประตูแห่งอาณาเขตต้องห้ามที่เป็นของพระเจ้าเพียงผู้เดียว มนุษย์เราไม่อาจก้าวล้ำไปได้อีก…’
เมื่อหวนนึกถึงโครงสร้างอะตอมที่ลูเซียน อีวานส์ นำเสนอ และวิธีการที่เขาอธิบายกระบวนการการสลาย ฟีลิเบลก็รู้สึกว่าสมองเขาหยุดทำงานไปเพราะความตื่นตระหนก คำตอบผุดขึ้นมาในหัวเขา…
‘…แต่ตอนนี้ หลังจากค้นพบโครงสร้างภายในอะตอม จากการศึกษาธรรมชาติของการสลาย เราสามารถค้นพบหนทางสำหรับการเปลี่ยนสสารในขั้นพื้นฐานและสร้างธาตุใหม่ขึ้น! ตามทฤษฎีของข้า แม้ว่าผลิตผลอาจไม่คุ้มค่าเสียเท่าไหร่ แต่ในที่สุดเราก็สามารถเข้าครอบครองพลังที่เคยเป็นของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวได้! บัดนี้เราได้เห็นความลับอันลึกล้ำมากมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสสารทั้งหลาย และเราก็อยู่บนเส้นทางสู่การทำความฝันของนักเวททุกรุ่นให้สำเร็จ!’
ในหัวฟีลิเบลเกิดเสียงดังหึ่งราวกับมีใครนำค้อนมาทุบศีรษะเขา ด้วยความโกรธเกรี้ยวและเกลียดชังที่ผลักดัน ความสงบไร้ที่สิ้นสุดในใจเขาพลันมลายหายไป
“เจ้านักเวทโสโครกพวกนี้กล้าดีอย่างไรจึงคิดสวมบทบาทแล้วนั่งบนบัลลังก์แห่งการรังสรรค์! เจ้ากล้าดีอย่างไร ลูเซียน อีวานส์” ฟีลิเบลคำราม
นี่หาใช่การกล่าวหาไร้ที่มาอีกต่อไป แต่มีหลักฐานแน่นหนา ในอนาคตอันใกล้นี้ ลูเซียน อีวานส์ อาจก้าวเข้าสู่อาณาเขตต้องห้ามที่เคยควบคุมโดยพระเจ้าเพียงผู้เดียว
ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรอีก พระคาร์ดินัลหลายคนก็เร่งร้อนเข้ามา พร้อมกับข้อความในมือ
“ท่านผู้ทรงศีล อาร์ทิลถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนกินเพราะ ‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมใหม่’ แล้วขอรับ!”
“ท่านผู้ทรงศีล! ยืนยันขอรับ! ศรัทธาของอาร์ทิลถูกสั่นคลอน แสงศักดิ์สิทธิ์จึงระเบิดออกมา!”
ก่อนหน้านี้พวกเขามิเคยรู้เลยว่าอาร์ทิลคือสายลับ แต่ตอนนี้พวกเขาต่างได้รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ข้อความเหล่านี้ส่งมาได้เวลาพอดี ฟีลิเบลรู้สึกมึนงงและทำอะไรไม่ถูก เขานึกว่าการค้นพบนี้ยังต้องรอจนกว่าจะได้รับการพิสูจน์จากการค้นพบนิวตรอนเสียก่อน
สายตาเขามาหยุดอยู่ที่ท้ายข้อความ ถ้อยคำเหล่านั้นกลายเป็นสีแดงเลือดภายใต้แสงจากรังสี
‘อาร์ทิลถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนกิน แล้วเจ้าเล่า’
ชิ้นแร่สีแดงในมือซ้ายของเขายังคงแผ่รังสีออกมา มันยังคงเปลี่ยนตัวเองเป็นธาตุสีฟ้าธาตุใหม่
ฟีลิเบลได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นรัว เสียงพูดและเสียงอื่นๆ ค่อยๆ เลือนหายไป เขาไม่อาจเบนสายตาหนีจากหินสีแดงที่กำลังสลาย และเขายังใช้กระทั่งพลังศักดิ์สิทธิ์เพื่อพิสูจน์ยืนยันมันอีกด้วย
กลับกลายเป็นว่ากระบวนการการสลายนั้นเป็นของจริง เหมือนกับการมีอยู่ของธาตุใหม่ คำบรรยายของลูเซียน อีวานส์ นั้นถูกต้อง หากว่าควบคุมกระบวนการนี้ได้หรืออาจกระทั่งย้อนกลับกระบวนการ การเปลี่ยนแปลงสสารอาจมิใช่ความลับที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้อีกต่อไป
ความหวาดกลัวและความตื่นตระหนกเข้าครอบงำเขา ฟีลิเบลพึมพำกับตัวเองอย่างห้ามไม่ได้
“พระเจ้ายังคงเป็นพระผู้ทรงอำนาจ! พระเจ้ายังคงเป็นต้นกำเนิดแห่งจักรวาลนี้ แต่… แต่หากว่ามนุษย์ทั่วไปสามารถทำสิ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้ เช่นนั้น…”
ดวงตาของวาฮารัลล์พลันเบิกโพลง เขาสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายได้ในหนึ่งวินาทีก่อนที่มันจะเกิดขึ้น
ด้านนอกคริสจักรอาภา ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างตกตะลึงกับเสาแสงอันทรงพลังยิ่งใหญ่ที่พุ่งสูงเสียดฟ้าและทำให้ทุกอย่างภายในรัศมีระเหยหายไป และฉับพลันนั้น วงแหวนศักดิ์สิทธิ์ภายนอกคริสจักรก็ถูกเปิดใช้งานเพื่อลดผลกระทบจากเสาแสง
ขณะยืนอยู่ห่างไกลจากคริสจักร หลังจากได้เห็นว่าส่วนกลางอาคารพังทลายลงและเหล่านักบวชต่างกรีดร้องโหยหวนอยู่ภายในลำแสงศักดิ์สิทธิ์ ดักลาสก็ถอนหายใจ “เป็นเวลากว่าหลายร้อยปีมาแล้วที่เราไม่เคยสร้างความเสียหายให้กับตัวอาคารได้ แต่วันนี้เราเกือบจะพังมันจนไม่เหลือซาก”
“แต่ดูเหมือนว่าฟีลิเบลจะมิใช่ผู้มีศรัทธาแรงกล้าอย่างที่อวดอ้าง” แอตแลนต์ ‘เนตรแห่งคำสาป’ เอ่ยกับดักลาส เฟอร์นันโด และลูเซียนด้วยดวงตาปิดสนิท
ที่กลางอากาศ วาฮารัลล์ก้มลงมองคริสจักรที่เสียหายรุนแรงและเหล่านักบวชที่ไม่อาจหลบหนีออกมาได้ทัน เขารู้สึกได้ถึงโทสะที่เดือดพล่านอยู่ในอก แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกว่าตนช่างโชคดีที่อ่านงานเขียนชิ้นนั้นไม่เข้าใจ
“ฟีลิเบล เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” วาฮารัลล์ถามฟีลิเบล ผู้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ใจกลางหลุมใหญ่ยักษ์ ราวกับว่าเขาเพิ่งจะสารภาพบาปไป
“ศรัทธาของข้าถูกสั่นคลอน…” ฟีลิเบลกล่าวอย่างขื่นขม เสื้อคลุมพระคาร์ดินัลหลวงของเขาฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี “…ข้าไม่เพียงไม่สามารถเลื่อนระดับขั้นได้อีกต่อไป แต่พลังของข้ายังลดลงไปหนึ่งขั้นอีกด้วย”
……………………………….
[1] เป็นความเชื่อทางศาสนาที่เชื่อว่า พระเจ้าได้สร้างจักรวาลและชีวิต โดยพระเจ้าในทัศนะนี้ถือว่าเป็นผู้สร้าง
[2] เป็นกระบวนการที่นิวเคลียสของอะตอมที่ไม่เสถียรสูญเสียพลังงานจากการปลดปล่อยรังสี วัตถุใดที่ปลดปล่อยรังสีด้วยตัวเอง เช่น อนุภาคแอลฟา อนุภาคบีตา รังสีแกมมา และอิเล็กตรอน จากกระบวนการการแปลงภายใน วัตถุนั้นจะถูกเรียกว่า มีกัมมันตรังสี