บทที่ 527 ราชาทูตสวรรค์
อ็อกเทฟอ้าปากจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ก็เปล่งประกายออกจากร่าง กลืนกินทั้งร่างกายและดวงวิญญาณของเขา
หลังจากที่แสงสว่างนั้นเหลือเพียงประกายวิบวับ ร่องรอยทั้งหมดที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของอ็อกเทฟก่อนหน้านี้ก็พลันหายไป เหมือนที่เกิดขึ้นกับร่างของเล็นด์ หัวหน้ากองกำลังผู้พิทักษ์ราตรี
“นี่มันอะไรกัน” ริชาร์ดขมวดคิ้วมุ่น ไม่อาจหยุดยั้งการตายของอ็อกเทฟไว้ได้
ลูเซียนสอดมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมตัวยาวขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สำหรับพวกเขาแล้ว ‘ทูตสวรรค์บนดิน’ มิใช่เพียง ‘พระกรุณา’ ที่สามารถเพิ่มพละกำลังให้พวกเขาครู่สั้นๆ เท่านั้น แต่ยังเป็น ‘ยาพิษ’ ไร้ทางรักษาในยามสำคัญอีกด้วย คงจะเป็นวิธีป้องกันเผื่อว่าพวกเขาจะถูกจับกุมตัวและสารภาพความลับออกมา”
หลังจากต่อยอ็อกเทฟจนสลับในหมัดเดียว ลูเซียนยังไม่รู้สึกถึงอะไร แต่การต่อสู้ของอัลเฟอร์ริสที่คอยแต่จะหยอกเย้าเล็นด์กลับเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เมื่อได้รับพลังเพิ่มจาก ‘ทูตสวรรค์บนดิน’ ฉับพลันนั้น เล็นด์ก็กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ หากว่าลูเซียนไม่จบการต่อสู้อย่างรวดเร็วและเข้าไปช่วยเอาไว้ทันเวลา เล็นด์ก็คงจะหลบหนีไปได้แล้ว แม้ว่าชายผู้นั้นจะทำไม่สำเร็จ ลูเซียนก็ยังทำได้เพียงเฝ้ามองเขาถูกพลังจากทูตสวรรค์กลืนกินไปโดยทำอะไรมิได้เลย
ด้วยเหตุนี้ ลูเซียนจึงไม่คิดพยายามขยับหรือปลุกอ็อกเทฟขึ้นมาเพื่อนำตัวเขากลับไปไต่สวนในอัลลิน แต่เลือกที่จะดึงความลับออกมาโดยตรงผ่านทาง ‘เวทความฝัน’ ในขณะที่พลังของทูตสวรรค์ยังถูกพระเจ้าแห่งจันทราสีเงินและสิ่งมีชีวิตลึกลับจากโลกแห่งวิญญาณสะกดข่มเอาไว้ มิเช่นนั้น ลูเซียนย่อมเลือกที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากแอตแลนต์ ‘เนตรแห่งคำสาป’ หรือไม่ก็สเตนนิส ‘ราชาแห่งฝันร้าย’ มากกว่า
ริชาร์ดมิอาจยอมรับเรื่องนี้ได้ และส่ายศีรษะไปมา “ผู้แทนพระเจ้าจะทำเช่นนี้กับผู้รับใช้พระเจ้าได้อย่างไรกัน”
มันแทบจะเหมือนกับสิ่งที่ภูตผีปีศาจทำกับผู้กราบไหว้บูชา และในเมื่อแม้แต่ตัวเขาผู้เป็นถึงพระคาร์ดินัลระดับแปด ยังทำอะไรไม่ได้กับเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องชัดเจนว่าศัตรูของเขาหาใช่ทูตสวรรค์ทั่วไป แสงศักดิ์สิทธิ์แสนบริสุทธิ์เมื่อครู่นี้ทำให้เขาเชื่อในแหล่งที่มาของพลัง
“เหล่าทูตสวรรค์เป็นเพียงผู้เผยแพร่สารของพระเจ้า แต่มิได้เป็นตัวแทนของพระเจ้าเสมอไป พระสันตะปาปาที่อ็อกเทฟบรรยายว่าชั่วร้ายเสื่อมทรามก็ยังสามารถใช้พลัง ‘พระเจ้าเสด็จ’ ได้ บางทีนี่อาจเป็นบททดสอบจากพระเจ้าแห่งสัจธรรม” ลูเซียนฉวยอากาศขณะที่ริชาร์ดยังมึนงง ชี้นำความคิดเขาไปในทิศทางที่ต้องการ
ริชาร์ดหลุบนัยน์ตาสีฟ้าตามฉบับชาวโฮล์มลงมองพื้น จุดที่อ็อกเทฟเพิ่งจะหายตัวไป แล้วพึมพำ “‘ศาสดาพยากรณ์’ ผู้นั้นคือ ‘ราชาทูตสวรรค์’ จริงหรือ เขาจะปฏิวัติศาสนาผ่านทางพระสันตะปาปาและพระคาร์ดินัลหลวงได้สำเร็จจริงหรือ”
“อย่างน้อยหากยึดจากจิตใต้สำนึกของอ็อกเทฟ เขาก็เชื่อว่าราชาทูตสวรรค์ได้มาเยือนจริงๆ ผ่านทางอะไรบางอย่าง” ลูเซียนเองก็สับสนในเรื่องนั้นไม่ต่างกัน ตอนที่เขาได้ยินคำว่า ‘ท่านศาสดาพยากรณ์’ จากในความฝันของอ็อกเทฟเป็นครั้งแรก เขาก็คิดว่าเจ้าแห่งนรก สหายเก่าของเขา ได้กลับมาเยือนอีกครั้งแล้ว และมั่นใจในความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับซาร์ด แต่ว่า ท่าทางไร้ความหวาดระแวงต่อศาสดาพยากรณ์ของอ็อกเทฟทำให้ลูเซียนนึกสงสัยในตัวเอง เพราะเจ้าแห่งนรกไม่อาจขโมยพลังของพระเจ้าแห่งสัจธรรมได้ด้วยตนเอง แต่ต้องพึ่งพาผู้ศรัทธาที่มีพลังระดับสูง
ดังนั้น ราชาทูตสวรรค์ผู้เป็นรองเพียงพระเจ้าแห่งสัจธรรมในหุบเขาวิมานและมาเยือนบนโลกจริงๆ แม้ว่าจะไม่แข็งแกร่งเท่าเจ้าแห่งนรก แต่ก็ไม่มีทางถูกเจ้าแห่งนรกหลอกได้โดยตรงแน่
บางที ท่านศาสดาพยากรณ์อาจเป็นเพียงหุ่นเชิดที่เจ้าแห่งนรกนำเสนอ แล้วมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังอย่างเช่นซาร์ดก็เป็นได้
ขณะครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ลูเซียนก็พูดต่อ “อีกอย่างนะขอรับ ท่านบิชอปริชาร์ด ท่านได้ประกาศออกไปว่าสิทธิในการตีความพระคัมภีร์ควรจะส่งกลับคืนให้แก่เหล่าผู้มีศรัทธาแก่กล้า เช่นนั้น เหตุใดท่านจึงยังพึ่งพาพระสันตะปาปากับพระคาร์ดินัลหลวงในการปฏิรูปจากบนลงล่างอีกเล่าขอรับ ท่านควรจะส่งเสริมผู้ศรัทธาของท่าน พึ่งพาผู้ศรัทธาของท่าน และใช้พลังอันล้นเหลือของพวกเขาเพื่อบดขยี้อุปสรรคทั้งหลายที่ขวางทางอยู่ บางที นี่อาจเป็นจุดประสงค์ของบททดสอบ และเหตุผลว่าทำไมพระเจ้าแห่งสัจธรรมถึงไม่หยุดยั้งความแตกแยกของศาสนจักรก็เป็นได้นะขอรับ”
ริชาร์ดหมุนตัวกลับมามองลูเซียนด้วยความตกตะลึง เขาไม่เคยพิจารณาจากมุมมองนั้นว่าเหตุใดศาสนจักรทั้งสองฝ่ายจึงยังคงมีพลังศักดิ์สิทธิ์หลังจากแยกตัวจากกันไปแล้ว เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “พระสันตะปาปากับพระคาร์ดินัลหลวงทั้งหลายครอบครองพลังอันยอดเยี่ยมที่พระเจ้ามอบให้ การปฏิรูปจะไม่บังเกิดผลอันใดหากข้าพึ่งพาแต่เพียงผู้ศรัทธาที่อ่อนแอ เว้นแต่ว่าพระเจ้าจะเรียกคืนพลังศักดิ์สิทธิ์กลับไปแล้วมอบพลังให้เหล่าผู้ศรัทธาอย่างเพียงพอ”
“ท่านบิชอปริชาร์ด คำจำกัดความคำว่าผู้ศรัทธาของท่านแคบเกินไปนะขอรับ เหล่าชนชั้นสูงมิใช่ผู้ศรัทธาหรือ อัศวินอาภา อัศวินทองคำ และอัศวินระดับตำนานมิใช่ผู้ศรัทธาหรือ ตราบใดที่การปฏิรูปของท่านตรงกับความประสงค์ของพวกเขาในการสื่อสารกับพระเจ้าโดยตรง เช่นนั้นท่านก็จะทำให้พวกเขาเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ได้ รวมถึงสมาชิกบางส่วนในหมู่พระคาร์ดินัลหลวงที่สำนึกรู้ในเรื่องนี้ดี มันเป็นไปได้ที่ท่านจะทดลองรูปแบบการปฏิรูปในวงเล็กๆ ก่อนนะขอรับ” ลูเซียนไม่ได้บอกอย่างลงรายละเอียด เพียงเสนอเคล็ดลับง่ายๆ ให้ “เมื่อถึงตอนนั้น ท่านก็จะเป็นนักบุญผู้มีเอกลักษณ์พิเศษในประวัติศาสตร์ของศาสนจักร มีความเป็นไปได้มากว่าท่านจะเป็นที่รักของพระเจ้าแห่งสัจธรรมและกลายเป็นผู้แถลงสารที่แท้จริงของพระองค์ในโลกนี้”
ลูเซียนไม่มีความศรัทธาที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าเลยสักนิด จึงไม่แปลกที่เขาจะไม่เข้าใจบิชอปผู้เคร่งศาสนาอย่างริชาร์ด ดังนั้น เขาจึงล่อลวงชายตรงหน้าด้วยอำนาจ ชื่อเสียง และตำแหน่งในหุบเขาวิมานหลังจากเสียชีวิตไปตามนิสัย ในสายตาลูเซียน เป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้การปฏิรูปของริชาร์ดสำเร็จโดยไม่กระตุ้นความสนใจ
เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูเซียนเอ่ย ดวงตาของริชาร์ดก็พลันเปล่งประกาย “จริงด้วย ข้าต้องพึ่งพาและกระตุ้นเหล่าผู้ศรัทธา พวกเขาคือรากฐานของหุบเขาวิมานและเป้าหมายของพระสิริพระผู้เป็นเจ้า!”
ลูเซียนลอบปาดเหงื่อ ในฐานะผู้ไร้ความเชี่ยวชาญที่จับนั่นผสมนี่มั่วไปหมด เขาพบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจินตนาการถึงหลักการขั้นต้นและแผนกลยุทธ์ปฏิรูปศาสนาที่ริชาร์ดจะคิดขึ้นได้ในท้ายที่สุดว่าจะเป็นอย่างไร
ทั้งสองไม่เสียเวลาอีกต่อไป ด้วยกลัวว่าการตายของอ็อกเทฟกับเล็นด์จะทำให้ท่านศาสดาพยากรณ์รู้ตัว ลูเซียนกับอัลเฟอร์ริสบอกให้ริชาร์ดเปิดใช้งานวงแหวนศักดิ์สิทธิ์แล้วก็รีบออกไปจากคริสตจักรนฤพาน
อัลเฟอร์ริสเดินอยู่ข้างกายลูเซียนด้วยความโศกเศร้า ดวงตาสีอำพันกระจ่างใสเต็มไปด้วยความเจ็บปวด มันพูดคำเดิมซ้ำๆ ไม่หยุด “รางวัลข้า รางวัลข้า…”
เล็นด์ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนกินไปจนไม่เหลืออะไร และของมีค่าส่วนใหญ่บนตัวอ็อกเทฟก็ถูกทำลายโดยเวทจัดลำดับธาตุของลูเซียน ดังนั้น อัลเฟอร์ริสจึงไม่ได้รับสมบัติอะไรเลย
ลูเซียนลูบศีรษะมันด้วยใบหน้ายิ้มๆ “ข้าจะเก็บม้วนคาถา ‘สุญญตาการทำลายล้างขั้นสูงสุด’ เอาไว้ ส่วนที่เหลือของอ็อกเทฟจะเป็นของเจ้า”
อัลเฟอร์ริสพลันหมุนกายกลับมาและโผเข้าใส่ลูเซียน มันแลบลิ้นเลียมือเขาอย่างกระตือรือร้น “เจ้านาย ต่อสัญญาให้ข้าอีกสักหนึ่งร้อยปีสิขอรับ!”
มันจะไปหาคู่หูที่ร่ำรวย ใจดี และชนะรางวัลมากมายแบบนี้ได้จากที่ไหนอีกเล่า
อัลเฟอร์ริสแทบจะอยากจับลูเซียนขังไว้ในบ้านและกระตุ้นให้เขาเขียนงานวิจัยทุกๆ วันเลยเชียว!
ลูเซียนนึกขำกับความไร้ยางอายของเจ้ามังกรคริสตัลตัวนี้ เขาโยนของสองสามอย่างสุดท้ายให้มัน แล้วรีบชักมือกลับ
อัลเฟอร์ริสเปิดกระเป๋ามิติที่ลูเซียนใช้เก็บข้าวของต่างๆ ชั่วคราว ดวงตาของมันเป็นประกายวิบวับ ขณะเทสมบัติทั้งหลายลงบนฝ่ามือแล้วเลียไปทีละชิ้นๆ ราวกับว่ามันกำลังประทับตราพิเศษไว้บนของเหล่านั้น
หลังจากเลียเสร็จ อัลเฟอร์ริสก็นับสมบัติทั้งหมดด้วยความหลงใหลพร้อมกับเอ่ยถามอย่างประจบสอพลอ “ลูเซียน ข้าไม่เคยรู้เลยว่าท่านมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับความฝันถึงปานนี้”
“มันเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย แต่คำพูดส่วนใหญ่ของข้ายังห่างไกลจากความจริงนัก” ลูเซียนตอบอย่างไร้กังวล
อัลเฟอร์ริสมองหน้าลูเซียน รู้สึกว่ามันแปลกๆ “ท่านไม่กลัวว่าจะได้ข้อสรุปที่ผิดๆ งั้นหรือ”
“จุดสำคัญหลักๆ ยังพอทำเนา ความรู้สึกของอ็อกเทฟต่อสิ่งเหล่านั้นมีความลึกล้ำเกินไป ปฏิกิริยาของเขาไม่อาจวิเคราะห์ได้โดยไม่ใช้เล่ห์กลใดๆ ในความฝัน ส่วนที่เหลือ มันไม่สำคัญหรอกว่าข้าคิดถูกหรือไม่ สภาพจิตใจของเขาเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า ข้าต้องรับผิดชอบต่อภาวะทางจิตของเขาด้วยหรือ” ลูเซียนเอ่ยตอบยิ้มๆ
อัลเฟอร์ริสไม่คิดสนใจคำถามเหล่านั้นอีกต่อไป ขณะนับขุมสมบัติแสนน่ารักอยู่นั้น มันก็เอ่ยขึ้นอย่างกรุ่นโกรธ “ลูเซียน มันน่าเจ็บใจนักที่พวกนั้นเรียกข้าว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของท่าน เราเป็นคู่หูกันต่างหากเล่า!”
“ใช่ คู่หู” ลูเซียนตอบท่าทางสบายๆ
หลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง อัลเฟอร์ริสก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “สัตว์เลี้ยงสำคัญต่อนักเวทมากกว่าหรือ ข้าเห็นว่านักเวทส่วนใหญ่จะมีสัตว์เลี้ยงน่ะขอรับ”
มันศึกษาแต่เพียงทฤษฎีที่มันสนใจ เรื่องสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจจะมาแย่งสมบัติของมันไป หาได้อยู่ในขอบข่ายความสนใจของมันไม่
“ก็ประมาณนั้นนะ สัตว์เลี้ยงเป็นเหมือนอวัยวะเสริมของร่างกายเหล่านักเวท พวกมันเป็นเหมือนหูตาให้กับนักเวท…” ลูเซียนอธิบายหน้าที่ของสัตว์เลี้ยงพอสังเขป
อัลเฟอร์ริสนิ่งเงียบขณะที่เขาพูด ลูเซียนหันมองมันด้วยความสงสัย และก็ต้องพบว่ามันกำลังมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
จู่ๆ อัลเฟอร์ริสก็พุ่งเข้าใส่ลูเซียนและเลียมือซ้ายของเขาอย่างออดอ้อน “เจ้านาย รับข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของท่านเถิด!”
…
หลังจากสลัดอัลเฟอร์ริสหลุดอย่างยากลำบาก ลูเซียนก็กลับไปที่หอคอยเวทมนตร์ของเขาและเปิดการสื่อสารกับนาตาชา
“…หลังจากริชาร์ดจัดลำดับความคิดของเขาได้ ข้าจะเรียกตัวเขามาพูดคุยด้วย หากว่าแนวคิดของเขาตรงกับที่เราและพวกขุนนางสนใจ ข้าก็จะเสนอให้ซาร์ดแต่งตั้งเขาเป็นอาร์ชบิชอปประจำราชวงศ์” นาตาชากำลังอารมณ์ดีที่ได้ยินเสียงลูเซียน แต่นางก็มิได้เร่งร้อนตัดสินใจอะไร
หลังจากที่พวกเขาทดสอบปฏิกิริยาของซาร์ด แทบทุกคนก็รู้แล้วว่านางยังคงเป็น ‘สหาย’ กับลูเซียน ดังนั้น นาตาชาจึงไม่นึกกลัวการติดต่อสื่อสารกับคนในอัลลินอีกต่อไป ตราบใดที่ไม่ถี่จนเกินไป
ลูเซียนรู้สึกลิงโลด ก่อนหน้านี้ เขายังต้องไปที่หอคอยเวทมนตร์แห่งราชสำนักโฮล์มด้วยความระแวดระวังตัว แต่ความเป็นจริงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วกว่าที่เขาวางแผนไว้
“อาร์ชบิชอปประจำราชวงศ์งั้นหรือ” ลูเซียนไม่ค่อยเข้าใจว่าตำแหน่งนั้นมีหน้าที่ทำอะไร
นาตาชาอธิบายด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม “อาร์ชบิชอปมีหน้าที่รับผิดชอบปัญหาทางด้านศาสนาภายในราชวงศ์ พระราชวังของสมาชิกราชวงศ์และโบสถ์ส่วนตัวภายในพื้นที่พระราชวังก็อยู่ในขอบเขตอำนาจของเขาด้วยเช่นกัน แต่ว่า เสด็จตาของข้าทรงพระประชวรมานานมากและต้องพึ่งพาการรักษาจากพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญ ดังนั้นพระคาร์ดินัลหลวงของสังฆมณฑลจึงเป็นอาร์ชบิชอปประจำราชวงศ์ด้วยเช่นกัน แต่ในความเป็นจริง ทั้งสองตำแหน่งแบ่งแยกเป็นเอกเทศน์ และข้ามีอำนาจในเรื่องผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งอาร์ชบิชอป”
ลูเซียนพลันตระหนักว่ามันคงเป็นตำแหน่งที่ทางศาสนจักรตั้งขึ้นมาเพื่อควบคุมสมาชิกราชวงศ์ก่อนที่สภาเวทมนตร์จะผงาดขึ้นเป็นคู่แข่ง แต่มันสิ่งที่นาตาชาสามารถใช้ประโยชน์ในตอนนี้ได้
“นาตาชา เจ้าพอจะมีกรอบแนวคิดเกี่ยวกับอนาคตของโฮล์มหรือไม่ สภากับข้าจะร่วมมือกับเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเจ้ามีภาพในใจชัดเจนนะ” ลูเซียนถามเสียงนุ่ม
นาตาชาหัวเราะขัน “ข้าคิดว่าเราควรจะถกปัญหานี้กันแบบต่อหน้านะ ลูเซียน หลายวันมานี้ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราที่มองเห็นแสงจันทร์เลยล่ะ”
นางแสดงความรู้สึกในใจอย่างกล้าหาญและตรงไปตรงมา
แม้ว่าจะรู้สึกมีความสุขและหวานล้ำในใจ แต่ลูเซียนก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาควรจะเป็นฝ่ายพูดจาหวานๆ ไม่ใช่หรือ
…………………………………….