บทที่ 530 คำแนะนำจากร็อค
หลังจากที่เขาเปิดใช้งานวงแหวนเวทสื่อสาร เสียงรื่นหูเปี่ยมเสน่ห์ของสตรีก็ดังผ่านแว่นตาข้างเดียวของเขาออกมา “ลูเซียน?”
ลูเซียนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ด้วยไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ติดต่อมาคือใคร จนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยปากอีกครั้ง เขาจึงรู้ได้ในที่สุดว่านางคือฟลอเรนเซีย ภริยาของมหาจอมเวทโอลิเวอร์
“ท่านหญิงฟลอเรนเซีย มีเรื่องอะไรให้ข้ารับใช้หรือไม่ขอรับ” ลูเซียนถามด้วยความสับสน
ฟลอเรนเซียหัวเราะขัน “เจ้าคิดว่าข้าไม่มีอะไรทำหรืออย่างไร ข้าคงไม่ติดต่อหาเจ้าหากว่าไม่มีเรื่องอะไรหรอก เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับบทความของโอลิเวอร์หรือ เจ้าคงจะต้องได้อ่านอาร์คานาฉบับนี้แล้วแน่ๆ”
ลูเซียนยิ่งพูดอะไรไม่ออก ‘คุณกับสามีควรจะไปโต้เถียงเรื่องนี้กันอย่างเป็นส่วนตัวนะ ทำไมต้องมาถามคนนอกด้วยเล่า’ แต่แล้วลูเซียนก็นึกขึ้นได้ว่าสามีภรรยาคู่นี้ดูเหมือนจะมีปัญหากันอยู่ เขาแย้มยิ้มก่อนจะตอบไปว่า “ข้าได้อ่านแล้วขอรับ และเพิ่งจะหารือเรื่องนี้กับท่านผู้วิเศษราเวนติกับท่านแกสตัน หากท่านหญิงไม่ว่าอะไร ข้าจะเริ่มตั้งแต่ต้น ดีไหมขอรับ”
“ดีสิ” ฟลอเรนเซียตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
หลังจากแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับบทความเสร็จ ฟลอเรนเซียก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบาลง “ลูเซียน โอลิเวอร์ได้มาขอให้เจ้าช่วยทำโอเปร่ากับเขาหรือเปล่า เจ้าควรจะปฏิเสธเขาไปนะ”
“ท่านทราบได้อย่างไรขอรับ” ความตั้งใจในการเอาใจภรรยาของโอลิเวอร์ถูกฟลอเรนเซียค้นพบแล้วอย่างนั้นหรือ นั่นค่อนข้างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับลูเซียน ช่างเก็บความลับได้แย่จริงๆ!
เสียงที่กดต่ำแผ่วเบาของฟลอเรนเซียปรากฏร่องรอยของความดีใจ “เขามักจะบ่นว่าในโฮล์มไม่มีนักดนตรีจริงๆ เลยสักคน และมิมีผู้ใดสามารถดัดแปลงบทละครของเขาเป็นโอเปร่าอันยอดเยี่ยมได้เลย ดังนั้น หากว่าเขาต้องการจะเอาใจข้าด้วยโอเปร่าเรื่องใหม่ เขาจะไม่นึกถึงเจ้า นักเปียโนผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในอันดับสูงอย่างยิ่งจากประวัติศาสตร์ดนตรีทั้งหมดได้หรือ”
“เช่นนั้น ท่านหญิงทราบได้อย่างไรว่าเขาจะเอาใจท่านด้วยโอเปร่าน่ะขอรับ” ลูเซียนเข้าใจได้ในที่สุดว่าฟลอเรนเซียอนุมานโดยยึดจากความเข้าใจเกี่ยวกับตัวสามีและชีวิตแต่งงานที่ผ่าน เขาเพิ่งจะเริ่มต้นชีวิตรักของตน จึงอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้
ฟลอเรนเซียหัวเราะอีกครา แต่เสียงหัวเราะของนางกลับคล้ายจะมีความรู้สึกอันซับซ้อนแฝงอยู่ “เขาทำแบบนี้ตลอดนั่นแหละ หากไม่ใช่เครื่องประดับอันญมณีก็บทกลอนอันซาบซึ้งตรึงใจ ไม่ก็โอเปร่าเรื่องใหม่ที่เขาแต่งขึ้นด้วยตัวเอง เขาเพิ่งจะใช้สองตัวเลือกแรกเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อดูจากนิสัยไม่ชอบใช้วิธีการเดิมๆ มันก็เดาได้ง่ายๆ ว่าครั้งนี้เขาจะต้องแต่งโอเปร่าแน่ๆ”
“เช่นนั้น เหตุใดท่านจึงบอกให้ข้าปฏิเสธเขาล่ะขอรับ ท่านไม่อยากให้อภัยเขาหรือ” ลูเซียนลูบใบหน้าตัวเองหลังจากถามคำถามนั้นออกไป เขาถามออกไปตรงๆ อย่างนั้นได้เช่นไรกัน ดูเหมือนว่าเขาเองก็มีด้านที่ชอบเรื่องนินทาเหมือนกัน
ฟลอเรนเซียหัวเราะอย่างไร้ร่องรอยของความยินดี นางหยอกล้อกลับมาเสียงขื่น “หลังจากที่เจ้าประพันธ์เพลง ‘แด่ซิลเวีย’ ซิลเวียก็ตาย หากว่าเจ้าแต่งโอเปร่าที่มีเป้าหมายในการประสานรอยร้าวของความสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก แต่สุดท้ายทั้งคู่กลับแยกทางกัน ข้าเชื่อว่าเพลงรักของเจ้าคงจะกลายเป็นคำสาปในความคิดคนอื่นๆ ที่ข้าบอกให้เจ้าปฏิเสธเขาก็เพื่อตัวเจ้าเองนะ”
ลูเซียนเข้าใจความนัยในคำพูดของฟลอเรนเซียได้อย่างรวดเร็ว “ท่านหญิงจะหย่าร้างกับท่านมหาจอมเวทโอลิเวอร์อย่างนั้นหรือขอรับ”
“ใช่” ฟลอเรนเซียตอบ จากนั้นนางก็เอ่ยความในใจออกมาทั้งหมด “ข้าต้องอดทนกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขากลับไม่เคยนึกเสียใจจริงๆ เลยสักครั้ง ข้าเหนื่อยและสิ้นหวังเกินกว่าจะรับมือกับเขาต่อไปแล้ว ข้ามีงานวิจัยเวทมนตร์และอาร์คานาของข้าเอง ข้ามีอาจารย์ ลูกศิษย์ และสหายมากมาย ใช่ว่าคุณค่าและความสำคัญของชีวิตข้าจะหายไปหลังจากหย่าขาดกับเขาเสียหน่อย บางครั้ง ความรักก็ไม่อาจครอบคลุมทุกอย่าง บางทีข้าอาจหาความสุขใหม่ๆ ได้หลังจากที่เราแยกจากกันก็ได้”
นางกล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจไร้ซึ่งอาการโหยไห้หรือโวยวาย และนั่นทำให้ลูเซียนได้ยินน้ำเสียงแห่งความมุ่งมันในถ้อยคำของนาง มันดูราวกับว่าการตัดสินใจนี้เกิดจากการใคร่ครวญมาอย่างรอบคอบ หาใช่การตัดสินใจเพียงชั่ววูบ ดังนั้น เขาจึงไม่คิดโน้มน้าว เพียงตอบกลับไปยิ้มๆ “เช่นนั้น ข้าก็ขออวยพรให้ท่านหญิงมีความสุขกับชีวิตใหม่ล่วงหน้านะขอรับ”
ทว่า ดูจากความคุ้นเคยและความเข้าอกเข้าใจในตัวโอลิเวอร์ที่ฟลอเรนเซียเผยออกมาโดยไม่รู้ตัวแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองจะตัดขาดกันได้ง่ายๆ จริงหรือ ลูเซียนอดสงสัยไม่ได้
ฟลอเรนเซียกล่าวเสียงแผ่ว “ลูเซียน เจ้าเป็นบุรุษที่ดีจริงๆ ข้ามักจะคิดว่าหากข้าไม่ได้เจอกับโอลิเวอร์แต่เป็นเจ้า คนที่เก่งกาจมากสามารถและซื่อสัตย์มากกว่าเขา ชีวิตแต่งงานของข้าคงมีความสุขมากเสียจนคนอื่นๆ ต้องริษยาเป็นแน่ ข้าล่ะอิจฉานาตาชายิ่งนัก”
นางคือลูกศิษย์ของมอร์ริส และมอร์ริสก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของราชวงศ์โฮล์มและเป็นผู้น้อยที่แฮททาเวย์ยกย่องให้เกียรติ ดังนั้นนางจึงพอจะเข้าใจบทสนทนาระหว่างลูเซียนกับแฮททาเวย์เมื่อวันก่อนๆ และได้รู้ว่าเหตุใดลูเซียนจึงปฏิเสธสิ่งล่อลวงใจทั้งหมดตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“ขอบคุณสำหรับคำชมขอรับ” แม้ว่าเขาจะได้รับคำชมว่าเป็นบุรุษที่ดี ลูเซียนกลับไม่หวั่นไหวสักนิดเพราะเขามีคนรักอยู่แล้ว เขาเพียงแย้มยิ้มแล้วขอบคุณนาง
ฟลอเรนเซียพลันหัวเราะขัน “จริงๆ แล้วข้าเคยคิดจะตอบโต้โอลิเวอร์ และข้าก็วางแผนว่าจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายกับสุภาพบุรุษสักคนอย่างที่เขาทำกับข้า ในตอนนั้น เจ้าคือหนึ่งในเป้าหมายของข้า แต่เจ้ากลับมองข้ามเสน่ห์ของข้าไปโดยสิ้นเชิง อีกอย่าง ข้าเองก็ไม่อาจเอาชนะอุปสรรคทางกายไปได้เช่นกัน”
“ในเมื่อตอนนี้เจ้ามีนาตาชาแล้ว ข้าย่อมไม่มีทางทำเช่นนั้น ข้าเคยเจ็บปวดเพราะเรื่องนี้มาแล้ว และข้าก็จะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนไหนต้องเจ็บปวดทานทนเช่นนั้นอีก ลูเซียน เจ้าจงดีกับนาตาชาให้มากๆ นะ หากเจ้ามีสตรีนางอื่น ข้าจะไปยั่วยวนนางแล้วพานางไปจากเจ้าตลอดกาลเอง ฮ่าๆๆ นางเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเยาว์นัก นางจะต้องชอบสตรีที่เป็นผู้ใหญ่อย่างข้าแน่ๆ”
ลูเซียนลูบคางด้วยความอับอายแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “ท่านหญิงพูดว่าข้าคือหนึ่งในเป้าหมาย เช่นนั้นท่านก็มีตัวเลือกอื่นด้วยน่ะสิขอรับ”
ฟลอเรนเซียรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากได้พูดความในใจออกไป นางกลั้นหัวเราะขณะกล่าวว่า “ข้าเป็นคนเรื่องมากมาก มีเพียงไม่กี่คนที่ตรงตามคุณสมบัติที่ข้าตั้งไว้ อีกอย่าง พวกเขาต้องมีปูมหลังที่แข็งแกร่งเพื่อที่จะไม่ถูกโอลิเวอร์สังหาร ด้วยเหตุนี้ นอกจากเจ้าแล้ว ข้าก็คิดไว้ว่าจะยั่วอาจารย์ของข้าเอง แต่หลังจากวิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้ว ข้าพบว่าโอกาสในการทำสำเร็จช่างน้อยนิดนัก ลูเซียน เจ้าคิดว่าหากข้าสวมชุดที่ประดับด้วยหินคลื่น หินสุริยัน คริสตัลน้ำแข็ง หนังมังกร และวัตถุดิบล้ำค่าอื่นๆ อาจารย์ข้าจะหลงเสน่ห์ข้าหรือไม่เล่า”
ลูเซียนตอบกลับตามใจคิด “ข้าเชื่อท่านผู้วิเศษมอร์ริสย่อมถอดชุดของท่านออก จับท่านกดลงกับเตียง แล้วจากไปพร้อมกับชุดนั้นขอรับ”
“ฮ่าๆๆ! ข้าก็คิดเช่นนั้น!” ฟลอเรนเซียนิ่งอึ้งไปในทีแรก ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ลูเซียนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ด้วยรู้สึกว่าไม่เหมาะสมที่จะล้อเลียนผู้อาวุโสลับหลัง เขาจึงรีบถามต่อ “นานแล้วที่ข้าไม่ได้พบกับท่านผู้วิเศษมอร์ริส ช่วงนี้ท่านกำลังศึกษาวิจัยอะไรอยู่หรือขอรับ”
“อาจารย์ข้าแทบจะน้ำลายหกหลังจากที่เจ้านำเสนอการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัยเลยทีเดียว เพราะนั่นคือศาสตร์แขนงที่จะควบคุมการเปลี่ยนแปลงของวัตถุ หากผู้ใดสามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ของมัน พวกเขาก็จะมีทรัพย์สมบัติมากมายได้ตามต้องการ ด้วยเหตุนี้ อาจารย์ข้าจึงอุทิศตนให้กับเรื่องนี้มานับแต่นั้น” ฟลอเรนเซียตอบกลับมากึ่งๆ เย้าแหย่ขบขัน แต่นี่คือความจริง สำหรับนักเวทระดับเก้าแห่งเวทธาตุอย่างมอร์ริส โดนัลด์ และราเวนติ การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัยได้เผยเส้นทางสู่ชั้นตำนานให้แก่พวกเขา แล้วเช่นนี้พวกเขาจะไม่อุทิศตนให้กับมันได้อย่างไร
ลูเซียนตอบกลับไปอย่างขบขันเช่นกัน “หากอัลเฟอร์ริสไม่ใช่มังกร ข้าคงสงสัยว่าอัลเฟอร์ริสคือบุตรลับๆ ของท่านผู้วิเศษมอร์ริสไปแล้ว ท่านเฝ้าทรัพย์สมบัติอย่างกับมังกรจริงๆ”
หลังจากคุยสัพเพเหระสักพัก ฟลอเรนเซียก็เอ่ยขึ้น “ลูเซียน เจ้าควรจะทำงานหนักกว่านี้แล้วพยายามมีลูกกับนาตาชาเร็วๆ นะ หากว่าโอลิเวอร์กับข้าไม่ได้อยากอยู่กินกันโดยไม่มีบุตรหลาน เราคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้หรอก”
“สถานการณ์ในตอนนี้ยังอันตรายเกินกว่าที่เราจะมีลูกๆ ขอรับ อีกอย่าง นางเพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน เราไม่เร่งร้อนหรือกดดันเพราะยังพอจะมีเวลาอีกหลายเดือนขอรับ” ลูเซียนได้คุยเรื่องนี้กับนาตาชาแล้วเช่นกัน ภายในสองสามปีนี้จะบังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างใหญ่หลวง และการตั้งครรภ์ก็จะทำให้นางอ่อนแอลงและทำให้นางตกอยู่ในอันตราย ดังนั้น ทั้งสองจะยังไม่คิดถึงเรื่องนี้จนกว่าโฮล์มจะมั่นคงปลอดภัยดี
นาตาชาเองก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง นางอยากจะแต่งงานกับลูเซียนอย่างเปิดเผยและให้ลูกของพวกเขาเกิดมาในครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้า
ปัญหาก็คือ ยิ่งผู้ที่ต้องการมีลูกมีระดับมากเท่าไหร่ การตั้งครรภ์ก็จะยิ่งยากขึ้น ‘เวทเสกครรภ์’ ในตำราชมพูมิได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยสูญเปล่า มันคือผลงานสรรสร้างของบุคคลในระดับตำนานผู้หนึ่งเพื่อสืบทอดสายเลือดของเขา ตอนที่ลูเซียนเห็นเวทมนตร์บทนี้ในคราแรก เขาก็เกิดความคิดว่าเขาสามารถสร้างคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาภาวะมีบุตรยากขึ้นในอัลลิน
หลังจากจบบทสนทนากับฟลอเรนเซีย ลูเซียนก็บังเกิดความลังเล เมื่อพิจารณาจากความใกล้ชิดแล้ว ฟลอเรนเซียคือลูกศิษย์ของมอร์ริส และมอร์ริสคือญาติผู้ใหญ่ของนาตาชา ดังนั้นเขาจึงควรปฏิเสธโอลิเวอร์ตามที่นางร้องขอเพราะพวกเขาอยู่ฝ่ายเดียวกัน ทว่า เขาได้ให้สัญญากับโอลิเวอร์ไปแล้ว และมันก็ไม่เหมาะสมที่เขาจะพูดแล้วคืนคำ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลูเซียนก็ตัดสินใจได้ ‘ข้าจะรอจนกว่าสถานะแต่งงานของทั้งคู่ถูกระงับ ถ้าเกิดว่าท่านโอลิเวอร์ยังอยากจะแต่งโอเปร่าเพื่อง้อท่านฟลอเรนเซียกลับมา มันคงจะไม่ขัดกับคำขอของท่านหญิงหรอก’
‘…อีกอย่าง คำขอของท่านหญิงที่ว่าข้าไม่ควรร่วมมือกับสามีนาง บ่งชี้ว่านางยังคงลังเลและกลัวว่านางอาจใจอ่อนเพราะละครโอเปร่าหรือเปล่า… ข้าหวังว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะไม่จบลงอย่างโศกเศร้าแม้ว่าพวกเขาจะค้นพบว่า…’
ทันใดนั้น แว่นตาข้างเดียวของลูเซียนก็ร้อนวูบขึ้นอีกครั้ง ลูเซียนลูบปลายคิ้วอย่างหมดหนทางก่อนจะเปิดการสื่อสาร
“ลูเซียน” เป็นเสียงของมอร์ริสที่ดังมาจากแว่นตาข้างเดียว
ลูเซียนอุทานแล้วตอบกลับอย่างค่อนข้างกระอักกระอ่วน “อรุณสวัสดิ์ขอรับ ท่านมอร์ริส”
“เหตุใดน้ำเสียงเจ้าจึงแปลกๆ” มอร์ริสถามด้วยความสงสัย
ลูเซียนแย้มยิ้ม เขาไม่อาจสารภาพออกไปได้ว่าเขาเพิ่งจะล้อเลียนมหาจอมเวทกับลูกศิษย์ของมหาจอมเวทเมื่อครู่นี้เอง เขาจึงทำเพียงถามกลับไป “มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ ท่านมอร์ริส”
“เจ้าได้อ่านอาร์คานาฉบับล่าสุดหรือยัง” คำถามของมอร์ริสก็เหมือนกับคนอื่นๆ
และด้วยประการฉะนี้ ลูเซียนจึงใช้เวลาตลอดเช้าไปกับการพูดคุยกับผู้วิเศษและนักเวทระดับสูงที่เขารู้จักมักคุ้น แต่ว่า นักเวทระดับตำนานอย่างดักลาสยังมิได้ติดต่อมาหาเขา เพราะระดับสติปัญญาของพวกเขาย่อมมากพอจะมองเห็นปัญหาในผลงานของโอลิเวอร์
ลูเซียนยุ่งกับการพูดคุยจนกระทั่งเที่ยงวัน เขาคิดไว้ว่าจะอ่านวารสารอาร์คานาต่อตอนบ่าย หากว่าเขาไม่ศึกษาและติดตามงานเขียนฉบับล่าสุด เขาอาจทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรงได้แม้ว่าเขาจะมีห้องสมุดห้วงจิตก็ตาม
ในตอนนั้นเอง ร็อคในชุดทักซิโดสีดำก็ก้าวเข้ามาและเคาะประตูห้องลูเซียน “ลูเซียน เจ้าพอจะมีเวลาสักครู่หรือไม่”
“เจ้าทำงานที่มอบหมายให้เสร็จแล้วหรือ” ลูเซียนเชิญเขาเข้ามาอย่างยินดี
ร็อคตอบด้วยท่าทางผ่อนคลาย “แน่นอน ในฐานะสมาชิกของสถาบันอะตอม งานที่ข้าได้รับมอบหมายนั้นง่ายมาก ลาซาร์เองก็คงจะกลับมาในเร็วๆ นี้ ลูเซียน เหตุผลที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อรายงานให้เจ้ารู้ว่าเราเริ่มจะขาดคนและพื้นที่ก็เล็กลงในขณะที่โครงการวิจัยเติบโตขึ้นเรื่อยๆ”
“ข้าจะยื่นเรื่องไปทางคณะกรรมการการวิจัยเวทมนตร์ เราจะได้จับจองห้องทดลองอื่นๆ บนชั้นสิบแปด” ลูเซียนตอบ บัดนี้เขาถือเป็นผู้มีอิทธิพลทางด้านการวิจัยอะตอม มันจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรในการจัดการเรื่องนี้ “ส่วนเรื่องคน เราก็มีจอมเวทอยู่หลายคนแล้วมิใช่หรือ”
หากนับรวมเขา ที่นี่ก็มีจอมเวททั้งหมดสิบคน
ร็อคแบมือทั้งสองข้าง “เรามีจอมเวทอยู่เยอะเกินไปต่างหาก ไม่มีใครเต็มใจจะไปจัดการธุระเล็กๆ น้อยๆ อีกแล้ว ลูกศิษย์ทุกคนของเจ้าก็มีโครงการงานวิจัยเป็นของตัวเองเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องจ้างผู้ฝึกใช้มนตรากลุ่มใหม่”
“ถ้าอย่างนั้น ไประบุภารกิจที่เขตภารกิจเลย หรือติดต่อไปทางสำนักเวทมนตร์และบอกให้พวกเขาแนะนำลูกศิษย์ที่เก่งที่สุดสิ” ลูเซียนถามต่อด้วยความสงสัย “เหตุใดเจ้าจึงคิดใส่ใจเรื่องนี้กัน”
ร็อคดูไม่เหมือนคนที่จะสนใจเรื่องประเภทนี้เลย
ร็อคหัวเราะขันแต่ก็ยอมรับอย่างซื่อตรง “ข้าเริ่มกังวลขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าเจ้ากับลาซาร์ต่างมีคนรัก นี่คือสถานที่ที่ข้าใช้เวลาอยู่มากที่สุด แล้วข้าจะหาใครได้ถ้าไม่มี ‘เลือดใหม่ๆ’ บ้าง ลูกศิษย์หญิงบางคนของเจ้าก็ดีอยู่หรอก แต่พวกนางหยิ่งทะนงตนเกินไปก็เพราะเจ้า และพวกนางก็ไม่คิดว่าข้าเก่งกาจอะไร”
“ห้ามบีบบังคับหรือข่มขู่” ลูเซียนเตือนเขา
ร็อคผุดลุกขึ้นด้วยความพึงพอใจ “ข้าจะมองหาคนรักเพื่อแต่งงานด้วย แล้วข้าจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรกัน ข้าจะไปที่เขตภารกิจตอนนี้เลย แต่ดูจากชื่อเสียงของสถาบันอะตอมแล้ว คงจะมีผู้ฝึกใช้มนตรานับไม่ถ้วนที่มาสมัครแน่ๆ เอ มันจะยุ่งยากเกินไปหรือไม่นะ”
“ตรวจสอบเรซูเม สอบข้อเขียน และสัมภาษณ์ เจ้าสามารถคัดกรองพวกเขาผ่านสามกระบวนการนี้ได้ หน้าที่ทั้งหมดเป็นของเจ้า ข้าจะเข้าไปตรวจดูด้วยตนเองเป็นครั้งคราว” ลูเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงซุกซน ใจคิดจะมอบบทเรียนในการหางานให้แก่เหล่าผู้ฝึกใช้มนตราสักหน่อย