บทที่ 559 กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ภายในพระราชวังเนคโซ ด้านนอกอาคารรัฐสภาขุนนาง ริชาร์ดยืนรออยู่พร้อมกับกลุ่มผู้สนับสนุนการปฏิวัติศาสนาหลักๆ นับร้อยคน
เมื่อพลังพระเจ้าเสด็จทั้งสองปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและโรมรันเข้าใส่กัน เหล่าพระคาร์ดินัลและบิชอปก็ยิ่งมึนงงสับสนเหนือใดเปรียบ พวกเขาพึมพำคำอุทานออกมาคล้ายๆ กัน “เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“ฝ่ายใดกันแน่ที่เป็นพวกนอกรีต”
“ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อมต้องเป็นพวกนอกรีตใช่หรือไม่ เช่นนั้น เหตุใดพวกนอกรีตจึงใช้พลังพระเจ้าเสด็จได้ด้วยเล่า”
“พระเจ้า นี่คือบททดสอบสำหรับพวกเราอย่างนั้นหรือ”
พลังพระเจ้าเสด็จ เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์สูงสุดที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนพลังใดและเป็นพลังของพระสันตะปาปาแต่เพียงผู้เดียว ในฐานะสิ่งยืนยันถึงความเป็นผู้แถลงการณ์ของพระเจ้าแห่งสัจธรรมบนโลกมนุษย์ มันคือการให้ความมั่นใจแก่เหล่านักบวชอย่างถึงที่สุด แม้แต่พวกบาทหลวงและพระคาร์ดินัลนอกรีตทางตอนเหนือก็ยังปิดปากเงียบเมื่อพูดถึงปัญหานี้ แม้ว่าพระสังฆราชทั้งหลายจะมีพลังพระคุณของพระเจ้า แต่มันหาได้ดีเทียบเท่าพลังพระเจ้าเสด็จที่สามารถทำให้พระเจ้าแห่งจันทราสีเงินและเจ้าแห่งนรกได้รับบาดเจ็บและปราชัย
แต่ในวันนี้ ซาร์ด นักบุญผู้ทรยศหักหลังท่านผู้ทรงศีลสูงสุด กลับใช้พลังพระเจ้าเสด็จอยู่เช่นกัน นี่หมายความว่าพลังนี้หาใช่พรพิเศษจากพระเจ้าแต่เป็นเพียงพลังศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปที่ใครๆ ก็ฉกฉวยมาได้อย่างนั้นหรือ
หากว่าซาร์ดใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ได้เพราะพรแห่งพระเจ้า เช่นนั้นผู้ใดกันแน่ที่เป็นผู้แถลงการณ์ของพระเจ้าบนโลกมนุษย์ เมื่อผู้ศรัทธาที่ได้รับพรทั้งสองทำลายอีกฝ่ายด้วยพลังพระเจ้าเสด็จ แล้วฝ่ายใดกันแน่ที่เป็นพวกนอกรีต เหตุใดพระเจ้าจึงยอมให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นกัน
ความสับสนอลหม่านพลันผุดขึ้นในใจทุกผู้คน และความศรัทธาของพวกเขาก็คล้ายกับจะสั่นคลอน หากว่าพวกเขาถูกลำแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนกิน สภาเวทมนตร์ย่อมมอบรางวัลแห่งคุณงามความดีชิ้นใหญ่ให้แก่พระสันตะปาปาและซาร์ดที่ทำงานอย่างยอดเยี่ยมในการทำลายศรัทธาของเหล่านักบวช
ในตอนนั้นเอง คำถามของลูเซียนก็ดังก้องอยู่ในหัวริชาร์ด
‘พระเจ้ารักทุกคนแต่รักคนเลี้ยงแกะมากกว่างั้นหรือ พระเจ้ารักทุกคนแต่ไม่ยินยอมที่จะสื่อสารผ่านทางจิตใจทุกคนโดยตรงงั้นหรือ เวลาที่ท่านสวดภาวนา ความจริงจังของพระเจ้าจะแตกต่างกันเมื่อท่านอยู่ที่บ้านและที่อารามอย่างนั้นหรือ ท่านจะได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ภายใต้การชี้นำจากเหล่านักบวชเท่านั้นหรือ’
“หากว่าพระสันตะปาปาเป็นเพียงผู้แถลงการณ์ของพระเจ้า เหตุใดเขาจึงตีความพระคัมภีร์ผิดอยู่เรื่อยๆ เหตุใดเขาจึงเปลี่ยนแปลงหลักคำสอนไปมากมายเหลือเกิน”
“ทั้งพระสันตะปาปาและศาสนจักรคือปราการที่กางกั้นระหว่างเหล่าผู้ศรัทธากับพระเจ้า ไม่ว่าท่านจะมีพลังศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ต่อหน้าพระเจ้าทุกคนก็ควรเท่าเทียมกัน”
ในชั่วเวลาหนึ่ง เขาก็เผลอพูดความในใจออกมาโดยอ้างอิงคำจากพระคัมภีร์
เหล่านักบวชผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดหันมามองเขาด้วยความมึนงงในทีแรก แต่เมื่อรับฟังต่อไป พวกเขาก็นึกย้อนกลับไปถึงหลักคำสอนที่ริชาร์ดเสนอแนะ นั่นคือ ส่งคืนสิทธิในการตีความพระคัมภีร์ให้แก่ผู้ศรัทธาทุกคน!
“หรือนี่คือเป้าประสงค์ของการทดสอบของพระเจ้ากันนะ”
“นี่คือวิมานบนดินที่แท้จริงที่พระเจ้าทรงอยากรังสรรค์ขึ้น! สรวงสวรรค์ที่ทุกผู้คนจะได้รับการช่วยเหลือหากมีจิตศรัทธาแรงกล้า ไม่ว่าจะอายุเท่าใด เพศไหน และฐานะใด!”
ใบหน้าของพวกเขากลับกลายเป็นนิ่งสงบ และสุดท้าย ทุกคนต่างก็ตะโกนตามริชาร์ดว่า
“เราควรกำจัดพวกที่เอาแต่พูดถึงความเชื่อและความศรัทธาแต่แท้จริงแล้วกลับดูหมิ่นเจตจำนงแห่งพระเจ้าไปให้พ้นทางเสีย”
“บอกลาเหล่านายทุนที่คอยสูบพลังและความมั่งคั่งไปจากศรัทธาบริสุทธิ์ของคนทั่วไปได้เลย!”
“ระหว่างพระเจ้าและผู้ศรัทธามิควรมีปราการใดกางกั้น มันควรจะมีเพียงความเชื่อ และการปฏิบัติตัวด้วยความศรัทธาเท่านั้น!”
ขณะที่พวกเขาตะโกนอยู่นั้น แสงสว่างนวลตาก็แผ่ออกมาจากนักบวชจำนวนนับไม่ถ้วน พระเจ้าแห่งสัจธรรมดูจะปิติยินดียิ่งที่ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ‘วิมานบนดิน’ เสียที!
เมื่อได้โยนภาระหนักอึ้งในใจออกไป ริชาร์ดก็รู้สึกว่าตัวเองได้เข้าไปใกล้พระเจ้ามากขึ้นอย่างน่ายินดี พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาข้ามผ่านขอบเขตเพื่อก้าวเข้าสู่ระดับเก้าได้ในที่สุด
รอบกายเขา นักบวชทั้งหลายก็มีพลังเพิ่มพูนขึ้นหนึ่งระดับเช่นกัน
“นี่คือพรแห่งพระเจ้า ข้ายินดียิ่งในทางเลือกของเรา” ริชาร์ดเอ่ยด้วยความดีใจ
พระคาร์ดินัลอีกคนแย้มยิ้ม “ท่านบิชอปริชาร์ด หลังจากที่การปฏิรูปศาสนาของท่านประสบความสำเร็จ ท่านอาจได้เป็นพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญเลยก็ได้นะขอรับ”
“งานของเรามิใช่เพื่อให้ได้รางวัลมา แต่เป็นเพราะความศรัทธาของเราต่างหาก” ริชาร์ดโบกมือปฏิเสธ
ในตอนนั้นเอง เขาก็มองเห็นนาตาชาที่สวมชุดเกราะสีเงินกับมงกุฎทองคำก้าวเดินออกมาอย่างผึ่งผายในขณะที่การต่อสู้ระหว่างบุคคลผู้มีพลังระดับตำนานด้านนอกนั้นกำลังสั่นสะเทือนพระราชวังเนคโซอยู่เนืองๆ
เมื่อนางเดินผ่านริชาร์ด นาตาชาก็พยักหน้าให้ช้าๆ แล้วทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนเหนือหน้าอก “พระเจ้าจะอยู่ในใจเราเสมอ”
กลุ่มผมสีม่วงที่มัดไว้หลวมๆ ขยับไปตามการเคลื่อนไหวของมือนาง ทำให้ผู้อื่นเป็นกังวลว่ามงกุฎบนศีรษะจะหล่นลงมา
“สัจจะคงอยู่นิรันดร์” ริชาร์ดเข้าใจดีว่าพวกเขาได้รับแรงสนับสนุนจากนาตาชา จึงค้อมตัวลงให้กับนางพร้อมกับนักบวชคนอื่นๆ
นาตาชาไม่พูดอะไรอีก เหล่าขุนนางในอาคารรัฐสภาคงจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเหล่านักบวชแล้วเป็นแน่ ความศรัทธาของพวกเขาย่อมถูกสั่นคลอนเช่นกัน!
ภายในอาคารรัฐสภาขุนนาง ดยุกเจมส์ ดยุกรัสเซล และเคานต์เฮนสันมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มหาสมุทรแห่งแสงและบรรยากาศที่คล้ายจะทำลายล้างโลกทั้งใบนั้นเทียบได้กับความตื่นตะลึงจาก ‘พลังพระเจ้าเสด็จปะทะพลังพระเจ้าเสด็จ’
แม้ว่าพวกเขาจะโน้มเอียงไปทางฝั่งสภาเวทมนตร์ แต่ความศรัทธาของพวกเขาก็ยังหล่อหลอมอยู่ในสายเลือดและจิตใจ พระเจ้าแห่งสัจธรรมคือพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เว้นแต่ว่าพระเจ้าได้สรรสร้างและอดทนต่อทุกสิ่งอย่าง และไม่แบ่งแยกเหล่านักเวททั่วๆ ไป
แต่ในตอนนี้ ความยึดมั่นในตนเองกลับสั่นคลอนความเชื่อของพวกเขาอย่างรุนแรง บางที พระเจ้าอาจมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ตามกฎเกณฑ์บางประการโดยไม่สนใจต่อปัจจัยอื่นใดดังที่เหล่านักเวทกล่าวไว้ก็เป็นได้ แม้แต่พวกนอกรีตกับการปะทะกันระหว่าง ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ก็หาได้สำคัญไม่!
การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มนักบวช รวมถึงริชาร์ด ได้มอบคำอธิบายเพิ่มเติมต่อปรากฏการณ์นี้ พวกเขาสงบจิตใจลงแล้วครุ่นคิดอย่างหนัก
“ข้าไม่รู้เลยว่าซาร์ดจะใช้พลังพระเจ้าเสด็จได้เช่นกัน…” ดยุกเจมส์เอ่ยกับสหายตน
รัสเซลตอบด้วยรอยยิ้มขื่น “ท่านผู้ทรงศีลสูงสุดเองก็มิทราบ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมท่านจึงใช้พลังพระเจ้าเสด็จเพื่อต้านทานกลับไป”
โดยไม่ต้องมีคำพูดและการวิเคราะห์ใดอื่นให้มากความ พวกเขาก็เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
เร็กซ์ โซเลเฟน และขุนนางฝ่ายอนุรักษ์นิยมคนอื่นๆ ยิ่งฉงนสนเท่ห์ ไม่อาจรู้ได้อีกแล้วว่าอะไรคือพระเจ้า พระสันตะปาปา หรือศาสนจักร
พวกเขาต่างพึมพำถ้อยคำเหมือนกับเหล่านักบวชเมื่อครู่ก่อนด้วยความสับสนท่วมท้น
ในตอนนั้นเอง นาตาชาก็เดินเข้ามา ตามมาด้วยคามิล นี่เป็นครั้งแรกที่นางเข้ามาในรัฐสภาขุนนางด้วยชุดเกราะแห่งโฮล์มสีเงินวาวและมงกุฎแห่งโฮล์ม บรรดาขุนนางเหมือนกับได้พบกับคนที่พวกตนสามารถพึ่งพิง จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ดาบแห่งสัจธรรมในมือขวาของนางทำให้เร็กซ์ โซเลเฟน เจมส์ และขุนนางคนอื่นๆ ประหลาดใจที่องค์ราชินีปิดบังความสามารถของพระนางมาตลอด!
เมื่อบัดนี้ดาบแห่งสัจธรรมมาเยือน ความกังวลสุดท้ายในใจของพวกเขาก็พลันหายไป
นาตาชาเพิกเฉยต่อภาพเลวร้ายภายนอกที่เวทมนตร์และพลังศักดิ์สิทธิ์ลอยวูบวาบไปมา แล้วกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “การประชุมด่วนจะเริ่มต้น ณ บัดนี้
‘ต้องขอบคุณพระสันตะปาปากับซาร์ดจริงๆ นี่ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้กับการโน้มน้าวของข้า!’
อุปกรณ์เวทมนตร์หน้าตาประหลาดถูกวางลงบนแท่น มันบันทึกเสียงของนาตาชาและกระจายเสียงออกไปเหนือ ‘วิมานบนดิน’ ผ่านทางเส้นเหล็ก เนื่องจากการกระจายเสียงรูปแบบนี้มิใช่พลังเหนือธรรมชาติ มันจึงหลุดรอดจาก ‘วิมานบนดิน’ และส่งไปถึงคฤหาสน์แถบชานเมืองต่างๆ ได้
นักเวททั้งหลายรีบออกอากาศ ‘ถ่ายทอดสดการประชุม’ ให้กับสภาขุนนางแห่งอาณาจักรโคเล็ตต์ อาณาจักรบริแอนน์ อาณาจักรคาเลส์ และแถบชายฝั่งทางตอนเหนือ
…
หลังจากที่การต่อสู้ระหว่างบุคคลชั้นตำนานเริ่มขึ้น ทุกคนก็ลอยตัวขึ้นไปบนฟ้า หากมิใช่ว่ามี ‘วิมานบนดิน’ กางกั้นอยู่ พวกเขาก็คงจะบินสูงขึ้นไปกว่าหนึ่งหมื่นเมตรเหมือนอย่างเบเนดิกต์ที่สองและซาร์ดแล้ว
และหลังจากที่บังเกิดเหตุการณ์พลังพระเจ้าเสด็จปะทะพลังพระเจ้าเสด็จขึ้น นักบุญเมลแม็กซ์ก็สับสนมึนงงและตื่นตะลึงกว่าครั้งไหนๆ ก่อนที่จะรู้สึกกดดันอย่างรุนแรง
“ซาร์ดคือผู้ทรยศงั้นหรือ และใช้พลังพระเจ้าเสด็จได้อย่างนั้นหรือ”
“ท่านผู้ทรงศีลสูงสุดผลาญพลังชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อใช้พลังพระเจ้าเสด็จ…”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ซาร์ดโหดเหี้ยมจริงๆ เขาจงใจต่อสู้กับท่านผู้ทรงศีลสูงสุดบนท้องฟ้า นี่ก็เพื่อสั่นคลอนรากฐานความศรัทธาของศาสนจักร! หากว่าท่านตาย ศาสนจักรก็จะล้มครืน”
แน่นอนว่าเมลแม็กซ์เองก็ทราบถึงจุดประสงค์อื่นๆ ของซาร์ดว่าคือการป้องกันมิให้นครเรนทาโตและอาณาเขตวิมานบนดินถูกทำลายลง
เขาใช้ ‘วิมานบนดิน’ ในการสกัดกั้นการต่อสู้ระหว่างเหล่าบุคคลชั้นตำนานก็เพื่อคุ้มกันเหล่าผู้ศรัทธาในนครเรนทาโต มิเช่นนั้นแล้ว ทั้งนครเรนทาโตคงย่อยยับไปแล้วเมื่อครู่นี้
พลังพระเจ้าเสด็จที่ปะทะกันนั้นทำให้เวลาและอวกาศบิดเบือนไป เบเนดิกต์ที่สองและซาร์ดจึงหายตัวไปครู่หนึ่ง
เมลแม็กซ์ที่เตรียมใจไว้แล้วว่าท่านผู้ทรงศีลสูงสุดคงมิอาจเข้าร่วมการต่อสู้ได้ในตอนนี้ เริ่มหันมาสังเกตการณ์สมรภูมิรบ
ดักลาสเป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้กับราชาทูตสวรรค์ แม้แต่เวทมนตร์ทั่วไปก็ดีเทียบเท่าเวทมนตร์ระดับตำนานเมื่ออยู่ในมือเขา ทว่า ราชาทูตสวรรค์ที่มีพลัง ‘พระเจ้าคุ้มครอง’ ทำให้เขามีสิ่งป้องกันตัวที่ดีที่สุดและคอยให้ศัตรูร่ายเวทติดพัน จักรพรรดิแห่งอาร์คานาจึงไม่อาจเตรียมเวทมนตร์ระดับตำนานที่ทรงพลังได้
แฮททาเวย์นั้นค่อยๆ คุ้นเคยกับพละกำลังระดับชั้นตำนานขั้นสูงสุด นางเริ่มกดข่มนักบุญทั้งสองคน ส่วนโอลิเวอร์กับเฮลเลน ทั้งสองต่างต่อสู้สูสีกับศัตรูของตน
ทว่า ในบริเวณอื่นๆ เนื่องจากพลังกดข่มจาก ‘วิมานบนดิน’ เหล่าพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญและอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบ โดยเฉพาะแสงแห่งดวงดาวที่เอาตัวรอดจากการโจมตีของแอสทีราและอาร์ซาโรได้ก็เพราะอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับตำนานและเวทมนตร์แปลกๆ ของเขา แต่ดูเหมือนว่าความตายจะคืบคลานเข้ามาหาเขาแล้ว
เจ้าแห่งพายุเองก็ถูกเขาสกัดกั้น แม้ว่าเขาจะเอาชนะเหนือชายผู้นี้ไม่ได้ในตอนนี้ เขาก็ยังปกป้องวงแหวนเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่เอาไว้ได้
พวกเขายังเป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้นี้!
เมื่อคิดเช่นนั้น เมลแม็กซ์ก็มองไปทางวงแหวนเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ ตราบใดที่นักบุญหรืออัศวินชั้นตำนานสักคนสองคนเคลื่อนย้ายมาที่นี่ อัศวินชั้นตำนานทั้งเจ็ดคนที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของช่องแคบสตอร์มนี้ย่อมรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร!
แต่หากมีสัญญาณว่าจะเกิดความล้มเหลวปรากฏขึ้น มันจะไม่มีทางหยุดได้เหมือนดั่งน้ำป่าไหลหลาก!
หากบรูคกลับมาก่อน มันก็อาจจะยุ่งยากยิ่งขึ้น และต้องการกำลังเสริมเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นจะเป็นการมอบโอกาสให้แก่สภามืดและพวกนอกรีตทางตอนเหนือ แน่นอนว่า หากท่านผู้ทรงศีลสูงสุดกลับมาก่อน ก็เป็นไปได้ว่านักเวทชั้นตำนานกว่าครึ่งอาจถูกกวาดล้างไปเสียก่อน!
‘แต่เหตุใดเฟอร์นันโดจึงไม่ใช้ “เนตรแห่งพายุ” เลยเล่า’ เมลแม็กซ์คิดด้วยความสงสัย
ศาสนจักรรู้ดีว่าเจ้าแห่งพายุมีอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับตำนานอยู่สองชิ้น ชิ้นหนึ่งคือ ‘เสื้อคลุมแห่งอำนาจ’ และอีกชิ้นก็คือ ‘เนตรแห่งพายุ’ ในเมื่อชีวิตเขามิได้ตกอยู่ในอันตราย ก็บอกได้ยากว่าเขาสวมเสื้อคลุมตัวนั้นอยู่หรือไม่ แต่ของอย่างหลังนั้นคืออาวุธสำหรับการต่อสู้ เหตุใดเขาจึงไม่ใช้มันในตอนที่เขาถูกกดข่มอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้กันเล่า
…
ภายในพระราชวังเนคโซ…
ตอนที่เขามุ่งหน้าไปยังแกนพลังควบคุม ลูเซียนไม่ได้พบกับคริโทเนียเลย ดูเหมือนว่าวินสตันจะรั้งตัวเขาไว้จริงๆ มิเช่นนั้น ลูเซียนคงจะต้องขอความช่วยเหลือจากไรน์แล้ว ในขณะที่ไรน์อยู่ที่ไหนมิอาจทราบได้ ลูเซียนก็เชื่อว่าอีกฝ่ายจะอยู่รอบๆ นี้และเฝ้ารอโอกาส หากว่าซาร์ดยังเหลือแผนการอื่นใดอยู่ เขาก็จะเป็นคนทำลายมันเอง หรือพูดให้ถูกแล้ว มันคือสิ่งที่เขาปรารถนาจะทำในตอนนี้นั่นเอง
ตอนนี้แกนพลังควบคุมอยู่ตรงหน้าเขา พอเหมาะพอดีกับที่ดาบสีเงินที่มีช่องว่างน่าหวาดหวั่นปรากฏขึ้นในอากาศแล้วฟาดฟันใส่ลูเซียน
ร่างของลูเซียนถูกฉีกกระชากออกเป็นสองส่วนภายใต้คมดาบ แต่ชิ้นส่วนนั้นกลับสลายหายไปราวกับฟองอากาศ
“การ์ดอน ดาบฉีกกระชาก…” ไม่ไกลออกไป ลูเซียนปรากฏกายขึ้นและก็ได้เห็นบุรุษดวงตาสีเงินที่โจมตีใส่เขาเมื่อครู่ก่อน
กอร์ดอนเองก็เอ่ยเสียงทุ้มแผ่ว “เวทมนตร์ระดับเจ็ด เวทมายาเสมือน…”
เวทบทนี้สามารถสร้างภาพมายาเหมือนจริงที่มีพลังน้อยกว่าผู้ร่ายครึ่งหนึ่ง ภาพมายานี้จะมีสัมผัส เสียง กลิ่น โชคชะตาซ้อนทับและใช้เวทมนตร์ได้
……………………………………