Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – บทที่ 613 คนตัวเล็กในยุคสมัยอันยิ่งใหญ่

บทที่ 613 คนตัวเล็กในยุคสมัยอันยิ่งใหญ่

บทที่ 613 คนตัวเล็กในยุคสมัยอันยิ่งใหญ่
ติ๊ง เสียงแหลมๆ ดังเข้ามาในหูแอนดี้ ปลุกเขาให้ตื่นจากฝันกลางวันเรื่องอนาคตแสนยอดเยี่ยม เขาเห็นว่ารถไฟหัวจักรเวทมนตร์ขนาดเล็กกำลังเข้ามาเทียบจอดข้างๆ

ตัวรถเป็นสีเทาตะกั่วเสียส่วนใหญ่และสูงมากกว่าสามเมตร มีห้องโดยสารขนาดยาวเพียงห้องเดียวที่ขยับอยู่ระหว่างรางทั้งสองบนพื้น ทว่า มันหาได้มีไอน้ำพวยพุ่งออกมาจากหัวจักร กลับมีเพียงเสาอากาศหนาๆ สองเสาที่ยื่นออกมาและเชื่อมกับสายสีดำที่ลอยอยู่กลางอากาศ ไม่มีอะไรจะดูน่าอัศจรรย์ใจไปกว่านี้แล้ว

“รถราง…” แอนดี้จ้องมองอสูรกายตรงหน้าด้วยความทึ่งเสียจนเกือบลืมก้าวเท้าขึ้นรถไป

ว่ากันว่ารถรางไม่จำเป็นต้องใช้พลังจิตหรืออำนาจจิต ทั้งหมดที่คนผู้หนึ่งต้องทำคือการกดหรือง้างสวิตช์บางตัวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถขับเคลื่อนมันได้อย่างง่ายดาย แต่เพราะนครเรนทาโตหาได้มีถนนที่กว้างพอจะสร้างรางได้มากมายนัก พาหนะนี้จึงมีเพียงไม่กี่สาย สำหรับถนนส่วนใหญ่ ตัวอาคารบ้านเรือนจำต้องร่นถอยไปหนึ่งเมตรเพื่อให้มีที่ว่างมากพอ งานนี้จึงใหญ่หลวงเกินจินตนาการสำหรับคณะรัฐมนตรีและศาลากลางในยามนี้ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงสนับสนุนรถเมล์มากกว่า แม้ว่ามันจะหนัก เทอะทะ และส่งเสียงดังก็ตาม

ติ๊ง เมื่อได้ยินเสียงที่บ่งบอกว่ารถรางกำลังจะปิดประตู แอนดี้ก็เนื้อตัวสั่นสะท้านแล้วก้าวขึ้นไป วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกของสำนักหลานเซียง หากเขาไปสาย เขาอาจจะสูญเสียอนาคตอันสดใสไปก็ได้

ฟึ่บ ประตูรถรางปิดลง แอนดี้ลูบหน้าอกตัวเองด้วยความโล่งอก รอยยิ้มกลับมาประดับบนใบหน้าเมื่อเขาเริ่มฝันกลางวันอีกครั้ง

ก่อนเขาจะเป็นผู้ใหญ่ เขาต้องไปทำงานให้กับโรงงานแปรธาตุ แต่ค่าแรงในแต่ละเดือนนั้นใช้ได้เพียงเดือนชนเดือน ช่องว่างระหว่างความฝันที่เกิดจากวิทยุกับตะเกียงเวทมนตร์และความเป็นจริงนั้นช่างกว้างใหญ่ดุจดังช่องว่างระหว่างหุบเขาวิมานและอเวจี ดูเหมือนว่าเขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในเขตผู้ยากไร้ กินอาหารแย่ๆ และแต่งงานกับใครสักคนที่เขาแทบไม่เคยรู้จักมาก่อน แล้วสุดท้ายก็ตายจากไปเหมือนอย่างบิดามารดา

เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดถึงอนาคตอันสิ้นหวังไร้การเปลี่ยนแปลง แอนดี้ก็มักจะรู้สึกเศร้าซึม หากเขาไม่เคยรู้เลยว่าโลกใบนี้ยอดเยี่ยมมากเพียงใด เขาคงจะยอมรับชีวิตเช่นนั้นได้ด้วยความด้านชา แต่บัดนี้ เมื่อเขาได้สัมผัสกับโลกภายนอกผ่านทางวิทยุเวทมนตร์ ขอบเขตความรู้ของเขาก็กว้างขึ้น และเขาก็มีความฝันเพิ่มขึ้นมากมาย แล้วเขาจะทนใช้ชีวิตที่น่าเวทนาเช่นนั้นได้อย่างไรกัน

เมื่อปีก่อน มาร์ติน วิลเลี่ยม และเขาไปทดสอบดูว่าพวกตนมีพรสวรรค์ทางด้านพลังจิตหรือไม่ แต่ก็พบว่ามันมีอยู่น้อยนิด หากพวกเขาร่ำรวยมั่งคั่ง ก็อาจยังพอมีหวังที่พวกเขาจะกลายเป็นนักเวทฝึกหัด แต่มันเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าไปทำงานในโรงงานแปรธาตุด้วยความทุกข์ตรมสิ้นหวัง ทำงานเดิมซ้ำๆ ไปในแต่ละวันโดยมองไม่เห็นความหวังในการเปลี่ยนแปลงใดๆ

วันเวลาแสนทุกข์ทรมานดำเนินต่อไปเพียงไม่กี่เดือน เขาก็ได้ทราบข่าวว่าสำนักสายสามัญและสำนักหลานเซียงกำลังจะก่อตั้งขึ้น เขาโยนความด้านชานั้นทิ้งไปและกลับมาเต็มเปี่ยมด้วยความกระตือรือร้นอีกครา จากสำนักทั้งสองประเภท ผู้ที่จะเข้าเรียนสายสามัญจำต้องมีฐานะเงินทองในระดับหนึ่ง ด้วยไม่อยากเอ่ยปากขอเงินจากบิดามารดาเพิ่ม เขาจึงไม่คิดจะเข้าเรียนที่นั่น

แต่ในทางกลับกัน สำนักหลานเซียงกลับตรงตามความต้องการของเขาพอดี หากเขาสำเร็จการศึกษาจากที่แห่งนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องงานอีกต่อไป โรงงานแปรธาตุทุกแห่งย่อมต้องการตัวเขา

หลังจากที่เขากลายเป็นคนงานประจำอย่างแท้จริง ตนก็จะเป็นเหมือนพวกคนแคระที่เคยพบเจอ ค่าแรงของเขาคงจะสูงมากจนสามารถซื้อวิทยุเวทมนตร์ได้ภายในสองสามปี นอกจากนี้ เขาอาจจะได้รับความเคารพและมีโอกาสได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้จัดการอีกด้วย ส่วนตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการแปรธาตุนั้น นั่นเป็นงานที่สงวนไว้ให้เพียงนักเวทและจอมเวทเท่านั้น

หลังจากพบเจอกับความสิ้นหวัง ความฝันที่จะเป็นนักเวทของแอนดี้จึงพังทลายลงเพราะความเป็นจริงแสนโหดร้าย แต่เขาก็ปล่อยภาพมายานั้นไปและมีความฝันรูปแบบใหม่ที่เหมาะกับตนเองมากกว่า และเขาก็จะพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อทำมันให้สำเร็จ

‘หากเจ้าไม่กล้าคิดถึงอนาคต การมีชีวิตอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับการตายนั่นแหละ ใช่ไหมเล่า’ เมื่อคิดได้เช่นนั้น แอนดี้ก็กำหมัดแน่น รู้สึกภาคภูมิใจในตนเองที่พยายามอย่างหนักมาตลอดหลายเดือน ในที่สุดเขาก็สอบผ่านและกลายเป็นลูกศิษย์ของสำนักหลานเซียง!

ในสังคมที่เจริญขึ้นและยุคสมัยแห่งการปฏิรูปครั้งใหญ่ แม้แต่สามัญชนก็ยังเปี่ยมล้นด้วยแรงปรารถนาและความกระตือรือร้น

“…ท่านนายกรัฐมนตรีรัสเซลได้ประกาศว่าแผนกพิทักษ์สันติราษฎร์พิเศษจะจัดตั้งขึ้นแทนที่ระบบเจ้าพนักงานปราบปรามในอดีต ท่านชี้ให้เห็นว่ามันจะควบคุมเหตุร้ายแรงได้ดีกว่าและทำให้ชีวิตของประชาชนชาวโฮล์มปลอดภัยขึ้น ทั้งนี้ ท่านยังบอกอีกว่า ขอเตือนให้ทุกคนระวังตัวจากคนร้ายที่มีแนวโน้มเป็นภัยคุกคามอย่างสูง เช่น อัศวินดำที่ไม่อาจควบคุมความกระหายอยากในการฆ่าฟันได้ กองอัศวินคำพิพากษาและกองอัศวินกางเขนนักบุญส่วนหนึ่งจะได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานในแผนกพิทักษ์สันติราษฎร์ และผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทั่วไปจะถือครองปืนระเบิดที่คนแคระประดิษฐ์ขึ้น”

ข่าวที่ถ่ายทอดผ่าน ‘สถานีวิทยุโฮล์ม’ ดังมาจากด้านหน้าของรถราง วิทยุเวทมนตร์รูปแบบคล้ายกันได้ถูกติดตั้งไว้ในรถรางและรถเมล์ทุกคัน ผู้โดยสารจึงสามารถฟังข่าวขณะเดินทางได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงทางวิถีชีวิต ช่องต่างๆ อย่างเสียงแห่งอาร์คานาจึงเพิ่มการออกอากาศซ้ำในช่วงเช้า

“ปืนระเบิดหรือ” ภายในรถราง ผู้โดยสารหลายคนเอ่ยทวนคำที่เพิ่งได้ยินด้วยความฉงน พวกเขาไม่เคยได้ยินคำประเภทนี้มาก่อนเลย มันคืออะไรกันนะ

แอนดี้แย้มยิ้ม เขารู้จักมันดีทีเดียว เพราะว่ามันถูกผลิตขึ้นในโรงงานแปรธาตุที่เขาเคยทำงานให้ พวกคนแคระเป็นคนประดิษฐ์มันขึ้นมาและได้รับความสนใจจากท่านอีวานส์!

จากการใช้ปืนไรเฟิลไอน้ำแรงดันสูงเป็นต้นแบบ และรวมเข้ากับระเบิดแปรธาตุขั้นสูงกับวงแหวนเวทลดทอนความยาก ในที่สุดพวกเขาก็สร้างปืนระเบิดที่สามารถยิงกระสุนฝังระเบิดแปรธาตุได้หลังจากทดลองมาหลายปี ตราบใดที่มีลูกกระสุนมากพอ แม้แต่คนธรรมดาเดินดินก็สามารถใช้มันได้ กระสุนทุกลูกนั้นทรงพลังพอๆ กับพลังของอัศวินทั่วไปเลยทีเดียว

แน่นอนว่า อาวุธพรรค์นั้นหาได้ดีพอจะใช้รับมือกับเหล่าอัศวิน เพราะผู้ยิงย่อมไม่สามารถตามความเร็วของอีกฝ่ายได้ทัน นอกจากนี้ อาวุธก็จำเป็นต้องมีการเติมกระสุนใหม่หลังจากยิงออกไปจนหมด หากคาดหวังให้อัศวินทั่วไปได้รับบาดเจ็บก็ต้องยิงติดต่อกันหลายๆ นัดในคราวเดียว

แต่มันย่อมเพียงพอต่อการรับมือกับอัศวินฝึกหัด

แอนดี้ยังรู้อีกด้วยว่ายังมีปืนระเบิดชั้นสูงอยู่ มันสร้างด้วยลำกล้องและวงแหวนเวทที่ดีกว่า ในฐานะที่มันเป็นของวิเศษที่มีพลังเทียบเท่าธนูเวทมนตร์ จึงมีเพียงนักเวทฝึกหัดและอัศวินเท่านั้นที่ใช้มันได้ แต่พวกเขามักเหนื่อยอ่อนหลังจากยิงออกไปไม่กี่ครั้ง ดังนั้น จนกว่าจะมีการลดทอนการใช้พลังลง อาวุธนั้นคงมอบให้ได้แต่อัศวินขั้นกลางและสูงเท่านั้น

นอกจากนี้ แอนดี้ยังได้ยินมาว่าท่านอีวานส์ได้คิดค้นประดิษฐ์ปืนแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถยิงด้วยพลังแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ซึ่งมีความเร็วและสร้างความเสียหายได้อย่างน่าหวั่นเกรง ท่านตั้งชื่อให้กับปืนแม่เหล็กไฟฟ้าว่า ‘ปืนเกาส์’ น่าเสียดายที่อาวุธชิ้นนี้เป็นของวิเศษชั้นสูงที่มีเพียงนักเวทที่โลกแห่งปัญญารวมตัวเป็นปึกแผ่นกึ่งหนึ่งแล้วและมหาอัศวินเท่านั้นที่ใช้ได้

ตามที่ท่านอีวานส์ว่าไว้ อัศวินระดับล่างๆ อาจใช้ ‘ปืนเกาส์’ ได้ในอนาคต หากว่างานวิจัยสสารซึ่งมีสภาพตัวนำยิ่งยวดมีความคืบหน้าชนิดสะเทือนไปทั้งวงการแล้วล่ะก็นะ ซึ่งก็คงไม่มีทางเกิดขึ้นภายในห้าสิบปีนี้แน่

‘เมื่อถึงตอนนั้น อาณาจักรก็คงสามารถจัดตั้งกองทัพอัศวินขนาดใหญ่ขึ้นมาได้แล้ว อัศวินทั่วไปคงจะใช้ปืนเกาส์ได้ และทหารทั่วไปก็จะใช้ปืนระเบิดระดับกลาง มีเพียงนักเวทระดับสูงหรืออัศวินอาภาเท่านั้นที่จะต้านทานการระดมยิงจากกองทัพได้…’ แอนดี้ตัวสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นขณะจินตนาการถึงเรื่องนั้น

เขาจะต้องเข้าไปทำงานในโรงงานผลิตอาวุธที่น่ากลัวเช่นนั้นในอนาคตให้ได้!

“…ข้อเสนอเรื่องบุรุษไปรษณีย์และระบบไปรษณีย์กำลังอยู่ระหว่างการหารือภายในรัฐสภาของเหล่าขุนนาง สมาชิกบางท่านเชื่อว่ามันเป็นสิ่งไร้ประโยชน์เพราะสามัญชนหาได้มีสหายที่อยู่ห่างไกล และชนชั้นสูงที่มีข้ารับใช้เป็นของตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องใช้บริการเช่นนั้นเหมือนกัน…”

แอนดี้ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับระบบไปรษณีย์สักเท่าใด แต่เสียงแห่งอาร์คานาได้ประกาศเรื่องนี้ซ้ำๆ ว่ามันจะช่วยร่นระยะห่างระหว่างผู้คนและเชื่อมสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและสหายที่อยู่ห่างไกล นอกจากนี้ การได้รู้จักสหายใหม่ๆ ผ่านทางจดหมายยังเป็นประสบการณ์อันน่าทึ่ง ดังนั้น แอนดี้จึงสนับสนุนแนวคิดนี้ เขาพึมพำกับตนเองว่า “พวกชนชั้นสูงไม่เคยคิดถึงสามัญชนเลย ก็นะ ยกเว้ยขุนนางน้ำดีบางคน”

ติ๊ง “ป้ายถัดไป สำนักหลานเซียง”

เมื่อได้ยินเสียงคนขับ แอนดี้ก็พลันรู้สึกว่าร่างกายเกร็งเครียดพร้อมกับที่เส้นขนบนกายทุกสัดส่วนลุกพรึ่บ แล้วเขาก็เดินลงจากรถราง ขณะเดินผ่านคนขับ เขาก็หย่อนเหรียญทองแดงแบบใหม่ห้าเหรียญลงในกล่องโลหะตรงหน้านาง

แม้ว่าเหรียญทองแดงแบบใหม่ทั้งห้านี้จะเท่ากับหนึ่งส่วนห้าของค่าแรงทั้งหมดที่แอนดี้ได้รับ เขาก็ยังรู้สึกว่าการขึ้นรถรางนั้นคุ้มค่าแล้ว

อีกอย่าง เขาไม่มีเวลามาครุ่นคิดเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะกำลังตื่นเต้นเกินไปขณะจ้องมองอาคารอันงดงามบนถนนปูนลาดยาวตรงหน้าเขา

แสงอาทิตย์ส่องอาบไล้ ย้อมสำนักหลานเซียงให้เป็นสีทอง ให้ความรู้สึกสูงส่งและมหัศจรรย์อย่างยิ่ง แอนดี้รู้สึกว่าเขาคงไม่มีทางลืมภาพนี้ได้ลง ขณะครวญเสียงแผ่ว “หลานเซียง ฝันของข้า ข้ามาแล้ว!”

นับแต่วันนี้ไป เขาจะก้าวเข้าสู่ชีวิตบทใหม่ ที่ที่เต็มไปด้วยความหวังและแสงสว่าง!

ภายใน ‘จักรวาลอะตอม’ ลูเซียนและนาตาซานั่งหันหน้าเข้าหากัน

“เอาเกราะแห่งสัจธรรมไปด้วย ข้าไม่กังวลเรื่องการโจมตีของเจ้าหรอก ข้ากังวลเรื่องการป้องกันตัวมากกว่า” นาตาซาเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งเครียดอย่างหาได้ยากยิ่ง “จริงๆ แล้ว มันคงจะดีกว่าหากเจ้านำดาบแห่งสัจธรรมไปด้วย”

ด้วยรู้ดีถึงความห่วงใยของนาตาซา ลูเซียนจึงพยักหน้า “แล้วเจ้าเล่า”

“ท่านยายแฮททาเวย์ดูแลข้าอยู่ ไหนจะมีปราการป้องกันในพระราชวังเนคโซ มิติพิเศษของเจ้า และดาบยุติธรรมจืดจางอีก ยังมีอะไรให้ข้ากลัวอีกหรือ” นาตาซาแย้มยิ้ม ท่าทางไม่ได้ดูทุกข์ตรมเหมือนอย่างที่สตรีทั่วไปจะแสดงออก

ลูเซียนหัวเราะขันแล้วหยิบมงกุฎที่ดูราวกับถูกหลอมขึ้นด้วยแสงดาวออกมา “ข้ายืมมงกุฎหนามมาให้เจ้า”

“เจ้าไปยืมมาตอนไหนกัน” ดวงตาของนางเบิกกว้าง ขณะถามอย่างขบขัน

“ตอนที่ข้าเดาว่าเจ้าจะต้องมอบทั้งเกราะทั้งดาบแห่งสัจธรรมให้ข้าน่ะสิ อย่างไรมันก็ไม่มีประโยชน์สำหรับข้าสักเท่าไหร่” ลูเซียนสวมมงกุฎลงบนศีรษะของนาตาซาด้วยใบหน้ายิ้มๆ

ส่วนอุปกรณ์ชั้นตำนานอีกสองชิ้นนั้น เคลาส์กับเอริก้าได้ขอยืมไป

นาตาซาแย้มยิ้มอย่างเจิดจรัส แต่แล้วนางก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “น่าเสียดายที่ข้ายังเลื่อนระดับขึ้นเป็นชั้นตำนานไม่สำเร็จ ไม่เช่นนั้นข้าคงไปกับเจ้าได้”

นางฉลาดมากพอจะรู้ว่าตนย่อมเป็นเพียงภาระให้กับลูเซียนหากว่านางร่วมการเดินทางในครั้งนี้ด้วย ทั้งๆ ที่นางยังไม่ใช่ผู้มีพลังชั้นตำนาน

“เจ้าเพิ่งเป็นอัศวินทองคำได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น เจ้าจะรีบร้อนไม่ได้ แม้ว่าเจ้าจะเข้าใจรูปแบบการโจมตีที่เจ้าใช้สังหารคริโทเนีย แต่ก็คงอีกหลายปีกว่าเจ้าจะมีโอกาสในการเลื่อนระดับขึ้น นั่นถือเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง” ลูเซียนลูบผมนาตาซา

นาตาซาพยักหน้า “ความจริงแสนโหดร้ายที่ว่าข้าไม่อาจร่วมการผจญภัยกับเจ้าได้เป็นแรงกระตุ้นชั้นดี ข้าจะพยายามต่อไปเรื่อยๆ”

จากนั้นนางก็โอบกอดลูเซียนไว้ และจูบเขาอย่างลึกล้ำเป็นเวลาหลายนาที ท้ายที่สุด นางก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่ากึ่งหยอกเย้า “หากเจ้าติดอยู่ในนั้น จงรอให้ข้าเข้าไปช่วยเจ้าหลังจากที่ข้ากลายเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานแล้วนะ”

“แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลับมาได้อย่างไร้ปัญหาใดๆ แน่นอน”

หลังจากนั้น ลูเซียนก็เริ่มออกเดินทางไปพร้อมกับอุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นตำนานห้าชิ้นที่ยากจะรวบรวมมาได้

………………………………………

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Status: Ongoing

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก

ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด

บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า

ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’

ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท