บทที่ 616 โลงศพ
แวมไพร์แห่งบรรพกาลยกมือขึ้นกุมลำคอ พยายามจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำบางอย่าง แต่มิอาจส่งเสียงใดออกมาได้ โลหิตสีดำถูกสำรอกออกมาทางปากอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้ผิวขาวเนียนของเขาแห้งเหี่ยวลงราวกับถูกเปลวไฟเผาผลาญ ดวงตาสีแดงสดค่อยๆ เบิกโพลงแข็งทื่อ ในแววตาหลงเหลือไว้เพียงแต่ความเสียใจ ก่อนที่เขาจะทรุดลงไปกองกับพื้น
“เลือดของปรมาจารย์แห่งการแปลงกายคือสิ่งสุดท้ายที่เจ้าควรจะดื่มกิน จุ๊ๆๆ” เคลาส์เดาะลิ้นส่งเสียงจึ๊กจั๊ก ราวกับกำลังเวทนาสงสารเจ้าแวมไพร์แห่งบรรพกาลไร้สติปัญญาตนนี้เสียเหลือคณา
ลูเซียนหัวเราะขัน “จริงๆ แล้ว เลือดของปรมาจารย์แห่งการแปลงกายคือเลือดที่ดีที่สุดนะขอรับ หากได้ดื่มกินเพียงหยดหนึ่ง ก็เท่ากับได้ดื่มกินเลือดของเผ่าพันธุ์จำนวนนับไม่ถ้วน แต่เขาไม่ควรจะดูดเลือดเอริก้าตอนที่นางกลายร่างเป็นทูตสวรรค์เสราฟิม เขาคงจะสิ้นหวังในชีวิตแล้วจริงๆ”
“พวกเจ้าสองคนเป็นคณะตลกหรือไร” เอริก้ารับผ้าเช็ดหน้าของตนกลับมาพลางถลึงตาใส่ทั้งสอง จากนั้นนางจึงหันไปพูดกับดักลาส “ท่านประธาน เมื่อครู่นี้ จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าเวลาและอวกาศเปลี่ยนไปขณะที่ข้าจับตาสังเกตดูชั้นหนังสืออยู่ แล้วจากนั้นข้าก็เข้าไปอยู่ในห้องลับและพบกับแวมไพร์ตนนี้ ข้าเกรงว่าเขาจะส่งสัญญาณเตือนเรื่องเรา แต่เขากลับดูให้ความสนใจกับเลือดของข้ามากเกินไป ข้าจึงเปลี่ยนเลือดในกายไปตามสถานการณ์”
นั่นก็คือ ‘เวทแปลงกายเฉพาะที่’
“เวลาและอวกาศเปลี่ยนไป…” ดักลาสทวนคำซ้ำ “ในตอนแรกเราไม่รู้สึกถึงมันเลยสักนิด ดูเหมือนว่าอารามแห่งวิญญาณจะเป็นส่วนหนึ่งของภาพมายาสะท้อนของสิ่งมีชีวิตลึกลับจากโลกแห่งวิญญาณจริงๆ เมื่อพิจารณาว่าศัตรูของเราคือมนุษย์ครึ่งเทพ!”
วิเซนเตพยักหน้าและมองไปทางศพของแวมไพร์ “เขาดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในปีศาจชั้นตำนานที่มีสติปัญญาแท้ๆ แต่เหตุใดจึงโง่เขลาถึงเพียงนี้ แม้แวมไพร์ที่แท้จริงจะหยิ่งยโสถือตนเป็นใหญ่ แต่ก็มีปัญญาเฉียบแหลมทุกตน”
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา พระเจ้าแห่งจันทราสีเงินคือผู้สร้างแวมไพร์บรรพชนขึ้นมา ส่วนแวมไพร์ตนอื่นนั้นเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ผ่านการถ่ายทอดพลัง พวกเขาจะเคารพบูชาพระเจ้าแห่งจันทราสีเงินอย่างไร้ข้อกังขาและไม่มีทางร่วมมือกับโลกแห่งวิญญาณอย่างแน่นอน” ลูเซียนก้มลงมองมือซ้ายของตน ตอนที่เขาพบกับแวมไพร์บรรพชนตนนี้เมื่อครู่ มันหาได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ
เฟอร์นันโดก้าวไปข้างหน้าแล้วร่ายเวทเพื่อตรวจสอบศพ “เช่นนั้น ก็เป็นไปได้ว่าแวมไพร์ตนนี้ถูกสิ่งมีชีวิตลึกลับในโลกแห่งวิญญาณสังเคราะห์ขึ้นด้วยวิธีการอื่น…”
“วิธีใดกันเล่า” ดักลาสเองก็ก้าวเข้าไปใกล้และเริ่มตรวจสอบด้วยตนเอง
เจ้าแห่งผีดิบและเคลาส์เดินตามไป และจับผิวแวมไพร์บรรพชนที่ยังไม่เสียหายสักเท่าไหร่
“ผิวหนังเรียบลื่น ยืดหยุ่น โดยที่เลือดไหลเวียนลงล่างอย่างช้าๆ สัมผัสได้ถึงกลุ่มพลังงานเข้มข้น แต่ไม่มีพลังของพระเจ้าแห่งจันทราสีเงินเลย” เจ้าแห่งผีดิบลูบผิวหนังด้วยท่าทางราวกับคนวิตถารขณะสังเกตการณ์อย่างกระตือรือร้น
เคลาส์จิ้มๆ กดๆ บนเนื้อ “บางทีปัญญาของเขาอาจถูกลดทอนลงเพราะว่าถูกสังเคราะห์ขึ้นมาก็เป็นได้ เขาไม่รู้จักแม้แต่บทเรียนง่ายๆ ที่ว่าอาหารไม่ใช่จะกินได้ทุกชนิด วิญญาณของเขาถูกสร้างขึ้นหรือถูกหลอมรวมกันนะ”
‘การหลอมรวม’ คือวิธีการที่ใช้สร้างชีวินรสายนเวทในปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นการนำเศษเสี้ยววิญญาณที่สัมพันธ์กันมาใช้เป็นส่วนประกอบ
“ท่านพูดได้มีเหตุผลยิ่ง เหล่าแวมไพร์อย่างท่านไรน์คงจะควบคุมศัตรูเสียก่อน จัดเตรียมอาหารและไวน์ให้พร้อม ตรวจสอบอาหารด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะเอร็ดอร่อยไปกับมื้อเย็น” ลูเซียนเองก็เดินเข้าไปใกล้เช่นกัน
“นี่ พอได้แล้ว!” เอริก้าลูบบาดแผลที่กำลังหายดีอย่างรวดเร็วพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับมามัวศึกษาอาร์คานาศาสตร์และถกเถียงหารือกันนะ!”
‘หืม’ ในที่สุด เหล่าคนคลั่งไคล้การวิจัยก็ตระหนักได้ว่ายังมีสิ่งที่สำคัญมากกว่ารออยู่
เมื่อเห็นว่าทุกคนถอยออกมา เอริก้าก็แย้มยิ้ม “อีกอย่าง นี่คือรางวัลของข้า ข้าคงไม่จำเป็นต้องบอกหรอกนะว่าศพของแวมไพร์บรรพชนมีความสำคัญมากเพียงใดต่อปรมาจารย์แห่งการแปลงกาย”
นอกเหนือไปจากนี้แล้ว หลังจากที่นางมีชีวิตอยู่มาครึ่งค่อนชีวิต นางก็สามารถทำพิธีกรรมโดยใช้แก่นพลังจากโลหิตแวมไพร์เพื่อยืดเวลาชีวิตให้ยืนยาวขึ้นได้แล้ว
ดวงไฟสีแดงสดในดวงตาของเจ้าแห่งผีดิบไหววูบ เป็นความจริงที่ว่าเอริก้าเป็นผู้จัดการมันได้ด้วยตนเอง แม้ว่านางจะมีพลังเหนือกว่าแวมไพร์บรรพชนเพียงหนึ่งขั้น แต่นางก็สังหารมันได้อย่างง่ายดายยิ่งเพราะมันมัวแต่กระหายอยากโลหิต
‘เหตุใดข้าจึงไม่พบเจอแวมไพร์เบาปัญญาเช่นนี้บ้างนะ’
“ไปกันต่อเถิด” เมื่อเห็นว่าเอริก้าเก็บศพของแวมไพร์ไปแล้ว เจ้าแห่งผีดิบก็เอ่ยขึ้นด้วยความกระตือรือร้น ราวกับว่าเขาอดใจรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เจอตัวโง่เขลาเช่นนี้บ้าง
หลังออกมาจากห้องลับและกลับเข้ามาในห้องสมุด ลูเซียนและคนที่เหลือก็ร่ายเวทเตือนภัยทั้งหมดที่มี เผื่อว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก
คนทั้งหกเดินผ่านชั้นวางหนังสือนับพันและออกจากปราสาทหลังนั้นผ่านประตูอีกฟากฝั่งโดยไม่ไปกระตุ้นสัญญาณเตือนภัยของห้องสมุด
ด้านหลังปราสาทหลังนั้นคือทะเลสาบแสนสงบสุข ซึ่งเชื่อมกับปราสาทสูงชันด้วยสะพานสีดำ
ด้วยอยู่ในโลกแห่งวิญญาณ ทะเลสาบสายนี้จึงเป็นสีเทาและไร้ชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย มันสะท้อนถึงความเย็นเยียบรอบๆ นั้น และหาได้มีแม้แต่ระลอกคลื่นเล็กๆ ส่งผลให้ทุกคนรู้สึกอึดอัด
“นี่ไม่ใช่ทะเลสาบภูตผี แต่มันให้ความรู้สึกแปลกๆ” ในฐานะหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญจากสำนักศาสตร์มืด เจ้าแห่งผีดิบจึงบอกได้ถึงความแตกต่าง
ดักลาสและเฟอร์นันโดต่างก็พยักหน้าเห็นพ้อง “มันให้ความรู้สึกเหมือนกับภูตผีชั่วร้าย คล้ายกับแอ็ปซิสในดินแดนโครงกระดูก”
แอ็ปซิสคือปรมาจารย์แห่งดินแดนโครงกระดูก มัจจุราชพรากวิญญาณ และเจ้าแห่งความตาย เขาคือเจ้าแห่งปีศาจขั้นตำนานระดับสามผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกจองจำและปิดผนึกไว้โดยมหากางเขนของมาสเกลีน
ทั้งกลุ่มไม่เสียเวลาพูดคุยหารือ กลับก้าวขึ้นไปบนสะพานอย่างว่องไว
ในทันใดนั้น น้ำในทะเลสาบก็พลันเกิดระลอกคลื่นซัดสาด ดวงตาสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนจับจ้องมาที่สะพาน ผู้ใดก็ตามที่สบตากับมันจะสูญเสียพลังงานชีวิตและไม่นานก็จะกลายเป็นสัตว์อสูรผีดิบ
บนสะพาน มือสีเทามากมายโผล่ขึ้นมาหมายจับตรึงลูเซียนและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหน้า มือเหล่านั้นทั้งหนา ทั้งไร้สีสัน บวมเป่งและน่าขยะแขยงยิ่ง
แต่ก่อนที่มันจะแตะโดนเท้าลูเซียน รูปร่างพวกมันก็แปรเปลี่ยนไปภายใต้แสงสีเขียวพร้อมกับที่มีนิ้วงอกออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทำให้มันดูเหมือนหนวดของปลาหมึกยักษ์คราเคน
เป็นผลให้มือเหล่านั้นพันรัดติดกัน ปิดกั้นการมองเห็นของดวงตาสีแดงข้างใต้นั้น
ลูเซียนค่อนข้างประหลาดใจกับผลลัพธ์นี้ เขาตั้งใจจะใช้ ‘เวทความสันโดษของศาสตราจารย์’ เพื่อทำลายคำสาปที่แฝงมา แต่การแปรสภาพอย่างยอดเยี่ยมกลับเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น คงต้องจดบันทึกไว้แล้วว่า ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป หากโดนฤทธิ์ของ ‘เวทความสันโดษของศาสตราจารย์’ นานเข้า จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพเล็กน้อย
ด้วยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะทำการค้นคว้าวิจัย ลูเซียนจึงระเบิดมือสีเทาที่แปรสภาพไปแล้วเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และดึงมือนับสิบที่ยังเป็นปกติขึ้นมา หลังจากห่อหุ้มมันเสร็จ เขาก็โยนพวกมันลงไปเก็บไว้ในกระเป๋ามิติ
ความมืดมิดปรากฏขึ้นข้างเท้าดักลาส เบนเป้าหมายของมือสีเทาและดวงตาสีแดงไปยังทิศทางอื่น ส่วนที่ถลาเข้าไปใกล้เฟอร์นันโดนั้นต้องเผชิญกับพายุดำมืด เท้าทั้งสองข้างของเคลาส์กลายเป็นเท้าของหุ่นกระบอกตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบได้ ซึ่งมันก็แข็งแกร่งมั่นคงยิ่งเมื่อถูกมือสีเทาทั้งหลายพุ่งเข้าใส่ ทางด้านเอริก้า ใบหน้านางดูซีดเซียวไร้ร่องรอยของความมีชีวิต ตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบที่นางแปลงกายเป็นปีศาจชั้นตำนานและกำลังทำหน้าบูดบึ้งใส่ดวงตาสีแดงด้านล่าง ‘ให้ตายเถิด ข้าเป็นอสูรผีดิบแล้วนะ เจ้าจะให้ข้าตายได้อย่างไรอีกเล่า’
‘เฮะๆ’ วิเซนเตส่งเสียงขึ้นจมูก ดวงไฟสีแดงในกระบอกตาทั้งสองข้างของเขาลุกโชนวูบไหว แผ่รังสีประหลาดที่ทำให้มือสีเทากับดวงตาสีแดงแข็งทื่อไป
“คงจะเป็นกับดักที่ออกแบบมาเพื่อดักจับสิ่งมีชีวิต พวกอสูรผีดิบสามารถผ่านไปได้โดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผู้ที่ไม่ใช่ปีศาจย่อมถูกเผยตัวตนอย่างแน่นอน แม้ว่าคนผู้นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม” เจ้าแห่งผีดิบกล่าวเสียงแผ่ว กับดักหลายอย่างภายในอารามแห่งวิญญาณนับว่าได้เปิดหูเปิดตาให้กับเขาอย่างยิ่งยวด เขาไม่เคยพบเห็นการจัดวางกับดักเช่นนี้มาก่อนเลย
ขณะเดียวกันนั้นเอง เอริก้าก็ร่ายเวทเปลี่ยนคนทั้งกลุ่มให้กลายเป็นอสูรผีดิบ พวกเขาจึงข้ามสะพานไปได้และมาถึงหน้าประตูปราสาทอีกหลังอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่นาน ทะเลสาบมารขยับไหวอยู่เพียงครู่ก็กลับสู่ความปกติ หาได้ดึงดูดความสนใจจากสิ่งอื่นๆ ไม่
…
ประตูสีดำของปราสาทสูงชันมีลวดลายแปลกประหลาดวาดเอาไว้ พวกมันดูเหมือนสัญลักษณ์แทนดวงอาทิตย์ หรือไม่ก็ดวงตาสีซีด
ดักลาสร่ายเวทมนตร์ แล้วดวงตาข้างซ้ายของเขาก็ลอยออกมา หลอมรวมเข้ากับอากาศอันเทาทึม และเข้าไปตรวจสอบภายในนั้นแทนตัวเขา
ทั้งหกใกล้จะไปถึงเตาหลอมวิญญาณมากขึ้นทุกขณะ และมันก็เป็นการง่ายดายอย่างยิ่งที่พวกเขาจะถูกพบตัว!
ดวงตาข้างซ้ายลอบเข้าไปในปราสาทโดยลอยตัวต่ำเรียบพื้น ลูเซียนและคนอื่นๆ สังเกตมองทุกสิ่งอย่างภายในปราสาทแห่งนี้ผ่านภาพบนลูกแก้วคริสตัลขณะระวังภัยอย่างตื่นตัว
ภายในปราสาทมืดทึบในทีแรก แต่เมื่อดวงตาเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยๆ ก็เริ่มมีแสงไฟส่องสว่าง ทว่า แสงไฟนั้นกลับสลัวรางและไร้ซึ่งอุณหภูมิใดๆ
ฉับพลันนั้น ทุกอย่างก็สว่างไสว ลูเซียนและคนอื่นๆ มองเห็นโถงกลางปราสาท โครงกระดูกในชุดคลุมเวทมนตร์ดูเหมือนจะกำลังทำพิธีกรรมบางอย่างอยู่ โดยที่ทางซ้ายมือของมันมีถ้วยเงินบรรจุโลหิตแดงฉาน และมีหุ่นกระบอกใบหน้ายิ้มแย้มชวนขวัญผวาตัวหนึ่งที่ถูกห่อหุ้มด้วยใยแมงมุมสีแดงอยู่ทางด้านขวามือ แต่เบื้องหน้าโครงกระดูกนั้นกลับไม่มีสิ่งใด
“ราชันเทพอสูร-ลิช” ลูเซียนจำปีศาจผู้ที่ศีรษะมีอัญมณีพิเศษมากมายรายล้อมได้!
เขาคือปีศาจชั้นตำนานระดับสาม และเป็นนายใหญ่แห่งเขตแดนรอบนอกของอารามแห่งวิญญาณ
ยังไม่ทันที่เขาจะสื่อสารผ่านกระแสจิตได้จบคำ จู่ๆ ราชันเทพอสูร-ลิชก็เงยหน้าขึ้นและมองมาทางดวงตา
‘แย่แล้ว!’
‘มันเห็นเราแล้ว!’
ความคิดคล้ายกันนี้พลันผุดขึ้นในใจลูเซียนและคนในกลุ่ม ขณะที่ดักลาสเพียงร่ายเวทมนตร์
“เวทหยุดเวลาขั้นสูง!”
เคร้ง ถ้วยเงินร่วงหล่นลงกระแทกพื้น โลหิตระเหยหายไป และใยแมงมุมสีแดงทั้งหมดบนตัวหุ่นกระบอกก็ขาดออก พร้อมกับที่รอยร้าวมากมายปรากฏขึ้นบนหุ่น กลุ่มแสงวูบวาบลอยขึ้นมาตรงหน้าราชันเทพอสูร-ลิช ก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
แต่ผลจากการแตกกระจายนั้นยังสร้างความปั่นป่วนต่อเวลาและอวกาศ ทั้งยังหักลบกลบล้างเวทหยุดขั้นสูงอีกด้วย!
ในขณะเดียวกันนั้น เฟอร์นันโด วิเซนเต ลูเซียน และเคลาส์ก็เข้าไปยืนล้อมรอบดักลาสจากทุกทิศทาง
อัญมณีทุกเม็ดบนศีรษะราชันเทพอสูร-ลิชเปล่งประกายเจิดจ้า ตัวเขาเริ่มโปร่งใสและเลือนหายไป แต่การใช้เวทเคลื่อนที่กลับไม่ก่อให้เกิดระลอกคลื่นใดๆ ต่อเวลาและอากาศ!
“เกิดอะไรขึ้น” เอริก้าสับสนมึนงง ศัตรูจะหลบหนีไปอย่างง่ายดายทั้งที่อยู่ใต้จมูกพวกตนได้อย่างไรกัน
ดักลาสมองไปรอบๆ “มันยังไม่หนีไปไหน น่าจะยังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในปราสาทนี้”
“ใช่ขอรับ” ลูเซียนเห็นด้วย
ทั้งสองนับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวลาและอวกาศ
ด้วยเหตุนี้ สองสามคนในกลุ่มจึงยืนขวางประตูทั้งสองจุดไว้และคนที่เหลือก็เริ่มสำรวจตรวจตราอย่างระมัดระวัง ในระหว่างนั้นทุกคนก็พยายามสัมผัสถึงคลื่นเวทมนตร์จากการส่งสารผ่านทางกระแสจิต
ไม่นานลูเซียนก็ค้นพบประตูลับ เหนือประตูบานนั้นมีสัญลักษณ์แนวตั้งที่ดูเหมือนรูปดาบอยู่
หลังจากตรวจสอบดู ดักลาสก็เปิดประตู เผยให้ทุกคนเห็นห้องโถงซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางไม่น้อย ห้องลับดูเหมือนจะสว่างกว่าด้านนอกเสียอีก
ทั้งห้องโถงลับว่างโล่ง เว้นเสียแต่โลงศพทั้งห้าโลง สองโลงวางราบไปกับพื้นทางด้านซ้ายและอีกสองทางด้านขวา ซึ่งเป็นการวางตามแบบปกติ แต่เบื้องหน้าพวกเขากลับมีโลงศพสีแดงเข้มที่วางตั้งตรงเอาไว้ ราวกับว่านายใหญ่แห่งโลงศพต้องการจะยืนหยัดไปตลอดกาล
ไม่มีโลงใดที่ยาวเกินความสูงของมนุษย์ทั่วไป โดยเฉพาะโลงศพที่ตั้งตรงอยู่ทางด้านหน้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสูงไม่เกินสองเมตร ในสายตาลูเซียนที่สวมเครื่องรางมงกุฎสุริยันอยู่นั้น มองเห็นดวงแสงที่จับต้องไม่ได้ลอยอยู่ด้านหน้าหรือเหนือโลงศพแต่ละโลง ดวงแสงทุกดวงจะเชื่อมกับเส้นสายเปล่งประกายคล้ายกันสามสาย สายหนึ่งยืดยาวมาจากความว่างเปล่าทางด้านล่าง อีกหนึ่งยืดยาวหายไปกับความว่างเปล่าเหนือศีรษะ และสายสุดท้ายทะลุเข้าไปในแต่ละโลง
“เทวภาพงั้นหรือ” ลูเซียนไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นเช่นนั้น
“มันซ่อนตัวอยู่ในโลงศพหรือเปล่า” เคลาส์ถามด้วยความสับสน
ดักลาสพลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ดูที่พื้น ผนัง แล้วก็เพดานสิ”
เมื่อเพ่งมองฝ่าฝุ่นละอองสีดำเทา ลูเซียนก็เห็นสัญลักษณ์ไม้กางเขนแบบเก่า!
ไม้กางเขนนี้เป็นรูปแบบที่ใช้ในช่วงสงครามแห่งรุ่งอรุณ!
ดูจากลวดลายแล้ว ลายเส้นที่คล้ายคลึงกันยังสามารถพบเห็นได้บนโลงศพทั้งห้าอีกด้วย!
ตึก! ตัก! ตึก!
ตัก! ตึก! ตัก!
หัวใจของลูเซียนพลันเต้นรัวแรง
……………………………………