บทที่ 639 ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว
‘…จากการวิจัยของเรา ความสามารถอันยอดเยี่ยมของพระเจ้าเทียมเท็จและวิธีการใช้ความสามารถเหล่านั้นแตกต่างจากพลังเวทหรือพลังโลหิตโดยสิ้นเชิง มันแตกต่างจากอสูรเวทมนตร์เช่นกัน และควรจะต้องศึกษาลงลึกให้มากกว่านี้…’
‘…หลังจากระบุตำแหน่งที่อยู่ของสิ่งที่ท่านธานอสทิ้งไว้ด้วย “กระจกแห่งชะตา” เราก็ค้นพบว่าท่านเองก็ทำการวิจัยเรื่องเทพเจ้าและยังมีความก้าวหน้ากว่าเรามากนัก ท่านลักลอบเผยแพร่คำสอนมานานนับร้อยปีและรวบรวมพลังแห่งศรัทธาผ่านอุปกรณ์พิเศษ…หลังจากได้รับเอกสารการวิจัยของท่านมา งานวิจัยของเราก็ก้าวหน้าไปอย่างมาก และเราก็ได้สร้างศาสนาของเราขึ้นด้วยตัวเราเอง นอกจากนี้ เรายังแยกกลุ่มผู้ศรัทธาของท่านธานอสมาพร้อมกับเกณฑ์คนใหม่ๆ…’
ตรงจุดนี้ เป็นบันทึกการทดลองที่บรรยายถึงวิธีการสร้างอุปกรณ์พิเศษที่ถูกทำลายเสียสิ้น ลูเซียนขมวดคิ้วมุ่น แต่ยังคงอ่านต่อไป บันทึกมีเนื้อหาตรงกับข้อสรุปก่อนหน้านี้ของเขา อย่างไรเสีย เพราะศาสนาต้องใช้ทั้งเวลาและกำลังคนเพื่อสะสมพลังแห่งศรัทธา จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จู่ๆ มันจะโผล่พรวดขึ้นมา มันดูไร้เหตุผลที่ศาสนานักบุญสัจธรรมและศาสนาอื่นๆ ของเหล่าพระเจ้าเทียมเท็จปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันในช่วงสงครามแห่งรุ่งอรุณและกลายเป็นกลุ่มที่ทรงพลังอำนาจอย่างยิ่ง มันจะต้องมีช่วงเวลาแห่งการพัฒนาที่ใช้เวลาหลายสิบปี หรือไม่ก็หลายร้อยปี
นอกจากนี้ ภายในโลกหลัก สัตว์อสูรทุกตนที่หวังใจไว้ว่าจะรวบรวมพลังเทวภาพจักเป็นที่ต้องการตัวของโลกแห่งวิญญาณและถูกจับตัวไป ซึ่งทำให้ต้องมีการปลอมแปลมสาเหตุการตายว่าเป็นไปตามธรรมชาติ หากจะขุดคุ้ยเรื่องความลี้ลับของพลังศรัทธา ก็คงต้องเริ่มจากการไปค้นพบพระเจ้าเทียมเท็จจากมิติอื่น เหมือนอย่างที่เขาได้ไปเจอกับเทพแอลและองค์อื่นๆ และมันยังตรงกับประวัติศาสตร์ที่ว่าธานอสสามารถปราบมิติอื่นๆ ทุกมิติเท่าที่รู้ได้ เว้นก็แต่นรกภูมิและอเวจี และนำพาเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ไปสู่จุดสูงสุด และยังตอบคำถามที่ว่าเพราะเหตุใดโลกต่างมิติมากมายที่ด้อยพัฒนาจึงถูกปราบได้ แต่กลับไม่มีการค้นพบพระเจ้าเทียมเท็จเลย นั่นก็เพราะพวกเขาต่างถูกราชันย์แห่งสุริยาผู้เก็บเรื่องเหล่านี้เป็นความลับขัดขวางเอาไว้
‘…ระหว่างที่ข้าทำวิจัย เราได้ค้นพบโลกแห่งวิญญาณ และข้ายังสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์แบบพิเศษชิ้นแรกซึ่งแฝงด้วยเทวภาพที่เก็บรวบรวมไว้ขึ้นมาได้ นั่นก็คือเครื่องราง “มงกุฎสุริยัน” มันคือเครื่องบ่งบอกว่าข้าได้แล่นเรือไปตามเส้นทางแห่งการเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แล้ว ข้าได้ย่างเท้าเข้าสู่ความลี้ลับของโลกนี้และความฝันแห่งการมีชีวิตนิรันดร์เป็นก้าวแรกแล้ว…’
‘มันสร้างขึ้นจากเทวภาพที่เก็บรวบรวมไว้จริงๆ ด้วย’ ลูเซียนเคาะนิ้วลงบนกระดาษของบันทึกการทดลอง นั่นหมายความว่า หากเหล่านักเวทหาทางขโมยเทวภาพของพระเจ้าแห่งสัจธรรมมาไม่ได้ แล้วหันไปพยายามสร้างอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยการก่อตั้งศาสนาขึ้นมาเพื่อรวบรวมเทวภาพ มันอาจต้องใช้เวลานานมาก การจะสั่นคลอนรากฐานของศาสนจักรโดยใช้ข้อเท็จจริงที่ว่านักเวทเองก็สามารถสร้างอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้เช่นกันดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
‘…ข้าค้นพบโลกเหนือจินตนาการในสถานที่แห่งนี้ ณ จุดลึกสุดและเงียบงันที่สุดของความตาย ยังมีโลกแห่งแสงอันศักดิ์สิทธิ์จนล้นปรี่ ที่ซึ่งความสว่างไสวก่อรูปร่างโค้งงอเป็นหุบเขาเจ็ดชั้น ทูตสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนที่มีปีกดูบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่บนหลัง กับพระจิตร่างโปร่งแสงทั้งหลายกำลังร้องรำทำเพลง…นั่นคือเทวดานางฟ้า พระจิต และหุบเขาวิมานที่ท่านธานอสนึกภาพเอาไว้หรือ โลกทั้งหลายหลังประตูดำคือภาพสะท้อนตามธรรมชาติของขนบธรรมเนียมเกี่ยวกับความตายในแต่ละวัฒนธรรม เช่นนั้น นี่ก็เป็นเหมือนกับโลกอื่นๆ ใช่หรือไม่ และมันก็ถือกำเนิดขึ้นจากจิตสำนึกของเหล่าผู้ศรัทธาในราชันย์แห่งสุริยาที่เก็บรวมรวมมาหรือไม่ แต่อย่างไรมันก็ยังน่าประหลาดใจอยู่ดีที่ได้เห็นมันที่นี่…’
‘…การสำรวจห้องอมตะนิรันดร์ล้มเหลว ข้าว่าข้าเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดสิ่งมีชีวิตลึกลับในโลกแห่งวิญญาณจึงหลับใหลอยู่ใกล้ๆ กับห้องนี้ และเพราะเหตุใดมันจึงมีหลักฐานหนักแน่นมากมายที่บ่งชี้ว่าความลับแห่งความเป็นอมตะมีอยู่ในที่นั้น สิ่งเหล่านั้นไม่มีทางแผ่ขยายออกไปได้หากไร้ซึ่งผู้บุกเบิกเข้าไปสำรวจ…กระทั่งมนุษย์ครึ่งเทพยังได้รับบาดเจ็บสาหัสในระหว่างทางเดินสู่ความเป็นอมตะและต้องรักษาตัวจากสายธารแห่งโชคชะตาเป็นเวลานานถึงเพียงนั้น’
‘…เราใช้กระจกแห่งชะตาอีกครั้ง และก็ได้ค้นพบห้องทดลองของท่านธานอส เราได้อ่านบันทึกการทดลองของท่าน…’
ส่วนถัดมาเป็นข้อความที่ธานอสเขียนทิ้งไว้
‘ข้าพบวิธีการข้ามผ่านเส้นทางสู่ความเป็นอมตะแล้ว นั่นก็คือการแปลงกายข้าให้อยู่ในสถานะแปลกประหลาดที่คล้ายคลึงกับภูติผีและปีศาจแห่งบรรพกาล มีเพียงวิธีการนี้เท่านั้นที่ข้าจะมีภูมิต้านทานพลังสลายสสารแสนทรงอำนาจล้นเหลือภายในเส้นทางนั้น บังเอิญว่านี่คือสิ่งที่ข้ากำลังศึกษาวิจัยอยู่ ห้องอมตะนิรันดร์ ข้ากำลังจะไปหาแล้ว!’
‘…หลังจากเผชิญหน้ากับภยันตรายเหนือจินตนาการมากมาย ในที่สุดข้าก็เปิดประตูห้องอมตะนิรันดร์ได้ แต่ที่อยู่เบื้องหลังนั้นคือความลับแห่งความเป็นอมตะเช่นนั้นหรือ เหตุใดข้าจึงไม่เชื่อเช่นนั้นเลยสักนิด มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เจ้าแห่งความตายกำลังเล่นเล่ห์เพทุบายกับข้าเช่นนั้นรึ แต่ร่องรอยแห่งความเป็นอมตะมีอยู่ทุกหนแห่งและทุกสิ่งรอบๆ นั้นก็พิสูจน์แล้วว่าความลับแห่งความเป็นอมตะมีอยู่เบื้องหลังประตูบานนั้นอย่างแน่นอน!’
‘เจ้าแห่งความตาย’ คือคำที่ธานอสสุ่มตั้งขึ้นให้กับสิ่งมีชีวิตลึกลับจากโลกแห่งวิญญาณ ส่วนเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการแปลงกายและภัยร้ายที่เขาต้องเผชิญนั้น ส่วนแรกถูกทำลายทิ้ง ส่วนอย่างหลังนั้นธานอสหาได้เขียนเอาไว้ไม่ ในยามนั้น เขาคงจะนึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งและเริ่มพยายามก้าวข้ามระดับมนุษย์ครึ่งเทพอยู่ก็เป็นได้
‘…หรือเป็นเพราะข้าแข็งแกร่งมิพอ ข้าจึงมองไม่เห็นความลับแห่งความเป็นอมตะ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่แฝงเร้นอยู่อีกมากมายหากข้าจะแปลงกายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพโดยการแปลงกายเป็นสิ่งที่คล้ายกับปีศาจแห่งบรรพกาลผ่านการรวบรวมพลังแห่งห้วงอารมณ์ อาจมีข้อผิดพลาดร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้นก็ได้! ถึงเวลาลองอีกครั้งแล้ว ตราบใดที่ข้าก้าวข้ามบททดสอบนี้ไปได้และกลายเป็นสุริยเทพจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีขึ้น เมื่อถึงยามนั้น ในฐานะพระเจ้าเที่ยงแท้ ข้าจะมองเห็นความลับแห่งความเป็นอมตะได้อย่างแน่นอน ใช่หรือไม่’
‘…ข้าพร้อมจะเป็นพระเจ้าที่แท้จริงแล้ว วิธีการของข้าคือการหลอมรวมตัวเองเข้ากับหุบเขาวิมานโดยสมบูรณ์ ที่ซึ่งเทวภาพถูกเก็บรวบรวมไว้อย่างแน่นหนาจนเป็นรูปธรรม นี่นับเป็นขั้นตอนที่อันตรายยิ่ง โชคดีที่ข้าเตรียมการไว้พร้อมสรรพ ข้าได้สร้างร่างกายแสนสมบูรณ์แบบขึ้นมาและย้ายเศษเสี้ยวแก่นพลังของข้าไปไว้ในร่างนั้น หากว่าการหลอมรวมล้มเหลวและตัวข้าถูกหุบเขาวิมานกลืนกิน ข้าจะกลับมาเกิดใหม่ในร่างเขาได้หรือไม่นะ’
จากนั้นก็ไม่พบบันทึกของธานอสอีกต่อไป มันกลับมาสู่บันทึกการทดลองของมาสเกลีนและสหายของเขา
‘…เราไม่รู้เลยว่าเป็นท่านธานอสที่สร้างหุบเขาวิมานขึ้น ท่านค้นพบโลกแห่งความตายที่มีเทวดานางฟ้าอยู่ จากนั้นท่านก็หลอมรวมอุปกรณ์พิเศษที่ท่านใช้เก็บรวบรวมเทวภาพเข้ากับโลกนั้น ด้วยวิธีการนั้น หุบเขาวิมานที่แข็งแกร่งทรงพลังกว่าที่ท่านคาดคิดไว้จึงถูกสร้างขึ้น! พลังแสนมหัศจรรย์ของมันพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดของมนุษย์ครึ่งเทพ และเมื่อพลังแห่งศรัทธาเพิ่มขึ้นและมีพระจิตมารวมตัวกันเพิ่ม มันจึงค่อยๆ ทลายขีดจำกัดของมนุษย์ครึ่ง…’
‘…ท่านธานอสคงจะสูญเสียสติสัมปชัญญะทั้งหมดไปเมื่อหลอมรวมตนเองเข้ากับหุบเขาวิมานเป็นแน่ หรือพูดให้ถูกต้องกว่านั้นคือ ตัวท่านแตกสลายและดับดิ้นไปโดยสมบูรณ์…ท่านกลายเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ ทลายขีดจำกัดของมนุษย์ครึ่งเทพและไปถึงจุดสูงสุดของโลกนี้ แต่ท่านกลับไม่รู้เลยว่าตนเองแข็งแกร่งมากเพียงใด ท่านทำได้เพียงปฏิบัติตามกฎที่ตั้งค่าเอาไว้แล้วเหมือนดังวงแหวนเวทที่ทำงานได้ถูกต้องแม่นยำที่สุด ท่านหาได้มีสติหรือจิตวิญญาณใดๆ ไม่สิ การบอกว่าท่านไม่มีสติเหลืออยู่นั้นไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ท่านมีสติที่ถูกซ่อนไว้ในใจทุกผู้คน ผลลัพธ์จากอิทธิพลแห่งพลังศรัทธา…’
‘…ท่านธานอสทิ้งไว้เพียงคทาทองคำขาว ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่ท่านตั้งไว้สำหรับหุบเขาวิมาน เพราะร่างจริงของท่านกลายเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ คทาของท่านจึงมีเจตจำนงที่ทรงพลังที่สุดโอบล้อมอยู่ เราทำได้เพียงทะลวงเกราะป้องกันเข้าไปทำความเข้าใจทีละนิดๆ เมื่อใดที่เราใช้มันได้อย่างอิสระ เราก็จะมีพลังของพระเจ้าเที่ยงแท้อยู่ในกำมือ!’
‘…การเตรียมการสำหรับการฟื้นคืนชีพของท่านธานอสดูเหมือนจะล้มเหลวเช่นกัน หลังจากที่เราปลุกร่างอันสมบูรณ์แบบนั้นขึ้น เขากลับไม่มีความทรงจำหรือสติรับรู้เกี่ยวกับราชันย์แห่งสุริยาเลยสักนิด เขาคือสิ่งมีชีวิตอันชาญฉลาดที่เหมือนเพิ่งเกิดใหม่ แน่นอน ต้องขอบคุณเศษเสี้ยวแก่นพลังของราชันย์แห่งสุริยา เขาจึงพัฒนาพลังได้อย่างรวดเร็วชวนตกใจ บางที เขาอาจกลายเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดก่อนเราทั้งหมด ตามที่แม็คลอยด์เสนอ เราได้มอบชื่อใหม่ให้กับเขาว่า เมแคนทรอน ซึ่งหมายถึงตัวแทนผู้ปกครองสวรรค์และสุริยเทพรุ่นเยาว์ มันเหมาะกับตัวตนที่แท้จริงของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ…’
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ไรห์นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “สรุปแล้วเมแคนทรอนก็คือธานอส ไม่แปลกใจเลยที่ข้ามักจะรู้สึกว่าเขาดูคุ้นๆ ข้านึกว่ามันเป็นเพราะคนงามทุกคนดูคุ้นตาสำหรับข้าเสียอีก…”
“โดยหลักการแล้ว เมแคนทรอนไม่ใช่ราชันย์แห่งสุริยาขอรับ ดวงวิญญาณ สติ และความทรงจำของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีนั้นแตกต่างออกไป” ลูเซียนเชื่อว่าแม้แต่ตัวเมแคนทรอนเองก็ไม่คิดว่าตนเองคือธานอส ราชันย์แห่งสุริยาและ ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’!
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยค ในสมองลูเซียนก็ดังอื้ออึงราวกับถูกค้อนยักษ์ทุบเข้าให้ เมื่อคว้ากุญแจของปัญหามาได้ เขาก็พึมพำแผ่วเบาว่า “เมแคนทรอนคือธานอสที่มาเกิดใหม่ เมแคนทรอน…”
“มีอะไรงั้นรึ” ไรห์นมึนงงกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย นั่นคือสิ่งที่ราชันย์แห่งสุริยาบอกเอาไว้ในบันทึกและสิ่งที่มาสเกลีนกับนักเวทคนอื่นๆ เขียนไว้ในบันทึกการทดลองของพวกเขามิใช่หรือ ผู้ใดจะปลอมแปลงมันได้เช่นนั้นรึ
ลูเซียนตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งตกตะลึงกึ่งสับสน “หากว่าเมแคนทรอน ราชาทูตสวรรค์ คือธานอส ราชันย์แห่งสุริยา ที่กลับมาเกิดใหม่ แล้วทูตสวรรค์เสราฟิมที่มีเพียงหกตนนั้นถือกำเนิดจากนักเวทชั้นตำนาน แต่ว่า มีนักเวทชั้นตำนานเจ็ดคนที่หายตัวไป!”
นี่คือการคำนวณแบบง่ายๆ!
“บางที ผลผลิตแรกอาจล้มเหลวในระหว่างการผลิตหรือเปล่า” ไรห์นเริ่มมีท่าทีเคร่งเครียดแล้วเช่นกัน
“ไม่หรอก…” ลูเซียนพึมพำตอบ ความทรงจำมากมายแล่นวูบในหัวเขา
หุ่นเชิดที่ถูกแยกชิ้นส่วนออกเป็น ‘หกชิ้น’ โดยแม็คลอยด์…
เศษตกค้างของวงแหวนเวทภายในห้องโถงสีเทาที่แสดงให้เห็นถึงส่วนประกอบต่างๆ ของดาวหกแฉก…
มาสเกลีนเร่งร้อนออกไปจากห้องทดลองของตนเองในตอนที่เขากำลังจะเขียนข้อสรุป ทิ้งไว้เพียงรอยหมึกลากยาวที่บ่งบอกถึงความตกตำลึงของเขา…
‘มาสเกลีน’ ที่ตะโกนด้วยความเจ็บปวดทรมานว่า “ไม่ใช่เขา เป็นเขา!”
ไวเค็นนำเอกสารส่วนสำคัญส่วนใหญ่ไปจากปราสาทใต้ดินของราชันย์แห่งสุริยา ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานที่มาสเกลีนกับนักเวทคนอื่นๆ ไม่เคยค้นพบ…
‘พิธีอัญเชิญแบบพิเศษ’ สุดแปลกประหลาดของไวเค็น…
เป็นไวเค็นที่เสนอให้ลบบันทึกการทดลองในสมุดบันทึกเวทมนตร์ของพวกเขา และก็เป็นไวเค็นที่หายตัวไปเป็นคนแรก…
สัตว์ประหลาดมีหลายสิ่งหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับปีศาจแห่งบรรพกาล มันดูราวกับจะล่วงรู้ถึงความทรงจำของทุกผู้คนและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่อยู่ลึกสุดในจิตใจพวกเขา และมันยังแข็งแกร่งกว่าเป้าหมายเพียงหนึ่งหรือครึ่งขั้น…
“ไวเค็น…” ลูเซียนคล้ายกับจะมองเห็นชายชราผมสีดอกเลาส่งยิ้มหยันมาให้ ขณะที่เขาเอ่ยเสียงแผ่วอย่างมึนงง
ไรห์นหูดีมากพอจะได้ยินสิ่งที่ลูเซียนพูด เขาเอ่ยทวน “ไวเค็น? เป็นเขารึ”
ลูเซียนปะติดปะต่อเบาะแสทุกอย่างเข้าด้วยกันและใคร่ครวญหักลบทุกสิ่งทุกอย่าง เขาค่อยๆ หายจากอาการตกตะลึงอึ้งงัน ดวงตาของเขาดูลึกล้ำและเร้นลับ เขาดันแว่นตาข้างเดียวขึ้นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมมั่นใจ
“แม้ว่าเราจะยังหาคำตอบให้กับหลายๆ เรื่องไม่ได้ แต่ความจริงที่เป็นไปได้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!”
กระจกสีเทาด้านหลังทั้งสองพลันใสกระจ่าง ก่อนที่ร่างเงาเลือนรางจะโผล่ออกมา
…………………………………