ลมพายุพัดทรายโหมกระหน่ำบนที่ราบสีแดงขึ้นสู่ท้องฟ้า แสงอาทิตย์ส่องสว่างลงมายังโลกผ่านชั้นฝุ่นหนาจนเหลือเพียงแสงสีแดงสลัวๆ
สุนัขสามหัวมากินปีศาจที่ตายไปแล้ว เกล็ดค่อย ๆ ขึ้นบนร่างกายของพวกเขา ดวงตาของพวกมันแดงก่ำและเริ่มกินซากศพราวกับว่ามันคือการแข่งขัน ไม่เว้นแม้แต่ชิ้นส่วนของร่างกายที่กำลังลุกเป็นไฟ หรือแม้แต่กระดูกก็ยังถูกเคี้ยวและกลืนกิน
นั่นคือสิ่งที่แอตแลนต์เห็นเมื่อเขาลืมตา เขาพูดอย่างอ่อนโยนและอบอุ่นว่า “ตอนนี้ เจ้ากำลังก้าวเข้าสู่อเวจีใช่ไหม?”
เขากำลังถามถึงแผนการของลูเซียน, นาตาชา และมัลฟิวเรียน
มัลฟิวเรียนเพียงแค่เสนอที่จะช่วยเหลือลูเซียนเท่านั้น ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุในอเวจีที่อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสภาเวทมนตร์ และเอลฟ์แย่ลง ดังนั้นเขาจึงไม่ตอบอะไร และยังมองลูเซียนด้วยดวงตาสีเขียวของเขา
ลูเซียนส่ายศรีษะ “พรุ่งนี้เราจะลงไปอเวจีกัน ส่วนวันนี้เราจะอยู่ในเมืองนิรนามกันก่อน และดูว่าเราจะสังเกตเห็นอะไรผิดปกติหรือไม่?”
เขายิ้ม “การตรวจสอบภายในอเวจีเป็นหนึ่งในตัวเลือกสุดท้ายของเรา เราควรนึกถึงอเวจีให้เป็นเป้าหมายของเราก่อนแทนที่จะตรวจสอบสภาพแวดล้อม จะเกิดอะไรขึ้นถ้าต้นตอของปัญหาอยู่ที่นี่? ข้าไม่อยากเสียเวลาที่จะทำสิ่งต่างๆ ทีละขั้นตอน”
“ดีมาก จากนั้นเราค่อยมาค้นหาความผิดปกติในเมืองนิรนาม และบริเวณใกล้เคียงกัน” แอตแลนต์ค่อนข้างเห็นด้วยกับลูเซียน
มัลฟิวเรียนไม่คัดค้านใด ๆ ในตอนนี้เอง เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของ ‘เปลวไฟนิรันดร์’ แลงค์เชียร์ และเซลินดาก็เงียบเสียงลง
ในขณะที่พวกเขาบินไปยังเมืองนิรนาม นาตาชาก็ใช้กระแสจิตถามว่า “ทำไมเจ้าถึงอยากไปที่นั้น? มันไม่จำเป็นที่จะต้องเสี่ยง…ถ้าเจ้ากำลังมองหาโอกาสที่จะต่อสู้ พวกเราสามารถรอให้เจ้าแห่งปีศาจโจมตีที่เมืองนิรนามได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว”
นางรู้ว่าลูเซียนจะไม่ทำสิ่งใดโดยที่ไม่มีเหตุผลดีๆ ดังนั้นการกระทำในครั้งนี้จึงทำให้นางค่อนข้างมึนงง
“การรวมพื้นที่ตรงนี้ค่อนข้างคล้ายกับหนึ่งในความคิดของข้า ข้าหวังว่าจะได้ศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมีโอกาสที่ข้าอาจจะค้นพบบางสิ่งบางอย่างได้” ลูเซียนอธิบาย เมื่อมองย้อนกลับไปที่รอยแยกแห่งอเวจี เขาก็ส่ายศรีษะ และพูดผ่านกระแสจิตว่า “การรวมพื้นที่?”
เมื่อเห็นว่าลูเซียนมีจุดประสงค์ของตัวเอง นาตาชาก็พยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก นางรู้สึกว่าเซลล์ในร่างกายของนางทั้งหมดกำลังมีชีวิตชีวา มันอยากที่จะต่อสู้
…
ภายในเมืองนิรนาม
เมสัน และเฟรดเดินไปมาบนถนนท่ามกลางการนักผจญภัยที่รอคอยอย่างกระวนกระวาย และหมดหวังที่จะออกไป ไม่มีใครตั้งใจที่จะกลายมาเป็นเครื่องสังเวยแห่งอเวจี
“ไอ้หนุ่มหยุดนะ! เจ้าชนข้า!” ในบรรยากาศเช่นนี้ชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งก็เริ่มตะโกน บนศีรษะล้านเลี้ยนของเขามีรอยสักใบไม้ที่พันกันอยู่ มันเป็นรูปสลักของคนป่าเถื่อนจากเทือกเขาแห่งความมืด
ชายหนุ่มที่เขาตะโกนใส่นั้นถือธนูสั้น และกริชสีน้ำเงินเย็นเหยียบ เขายกกริชขึ้นอย่างโกรธ ๆ และตะโกนว่า “คนเถื่อน หุบปากของเจ้าซะ ไม่งั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะบอกให้เจ้ารู้ว่ามันจะรู้สึกอย่างไรเมื่อถูกแช่แข็ง”
เนื่องจากผลพวงของ ‘เปลวไฟนิรันดร์’ ในตอนนี้ ถนนสายเล็ก ๆ ก็เต็มไปด้วยนักผจญภัย ซึ้งนั้นก็ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการกระทบกระทั้งกัน
“เจ้าโง่! ขอโทษมาซะดีดี ไม่งั้นข้าจะทำให้ชื่อของเจ้าหายไปซะ!” คนเถื่อนโกรธมากจนเส้นเลือด และกล้ามเนื้อบนร่างสูงสองเมตรของเขาปูดโปนเป็นชั้นหนาสีบรอนซ์
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะต่อสู้กัน มือขวาของอัศวินอาภาก็กลายเป็นเปลวไฟ และผ่าแหวกลงมาจากท้องฟ้าระหว่างพวกเขาทั้งคู่จนเกิดรอยแยกสีดำบนพื้น
“เงียบ!” อัศวินอาภาจ้องมองนักผจญภัยระดับอัศวินทั้งสองอย่างเย็นชา
เมื่อมองไปที่ร่องรอยบนพื้น คนเถื่อน และชายหนุ่มก็ก้าวถอยหลัง และมองหน้ากันอย่างโกรธเคืองก่อนที่พวกเขาจะหันหลังกลับและเดินจากไป
เมสันสังเกตทุกอย่างจากบริเวณใกล้เคียงด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย “เพราะถูกสกัดกั้นมานานจากคลื่นของปีศาจและการตายของนักผจญภัยมากมายจึงทำให้ทุกคนวุ่นวาย แม้แต่สิ่งที่ไม่สำคัญที่สุดก็อาจนำไปสู่การต่อสู้ที่นองเลือดได้”
แม้แต่เขาก็มีความรู้สึกคล้าย ๆ กันและต้องการที่จะระบายกับใครสักคน
เฟรดสูดลมหายใจเข้า และตั้งใจที่จะวิพากษ์วิจารณ์การไร้ความสามารถของพวกเอลฟ์ เนื่องจากการสกัดกั้นอันยาวนานของ ‘เปลวไฟนิรันดร์’ ยังไม่ได้ถูกยกเลิกไป
จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างและเงยหน้าขึ้น และพบว่าท้องฟ้าของเมืองเปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาด ขณะนี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยละอองสีเลือดจากนั้นก็ ‘ตกลงมา’ มันลอยลงต่ำและมืดสลัว!
จากนั้น อีกครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าก็สว่างขึ้น ซึ่งแสงที่ผิดปกตินี้ก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และตอนนี้มันถูกแทนที่ด้วยความมืด และอีกครึ่งหนึ่งก็เริ่มมืดลง และมืดลงจนกว่าเลือดทั้งหมดจะจางหายไป หลงเหลือส่วนที่ลึกที่สุด หนักที่สุดและไร้ขอบเขตที่สุดไว้เบื้องหลังความมืดอันไร้ขอบเขต!
อย่างไรก็ตามภายในความมืดนั้น ดวงดาวต่างส่องแสงเป็นประกายสีแปลก ๆ
เมื่อมองไปที่ลึกราวกับจักรวาล และความผันผวนของแสง เฟร็ดก็หายไปทันที วิญญาณของเขาล่องลอยไป และเป็นเวลาเนิ่นนานที่เขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้
หลังจากนั้นไม่นานเมื่อสายลมโลหิตพัดโชยมา ทันใดนั้นเฟร็ดก็ตัวสั่น และพบว่าท้องฟ้ากลับมาเป็นปกติ แต่ฝุ่นยังคงบดบังดวงแสงอาทิตย์ แต่นั้นไม่ใช่แสงอาทิตย์ มันคือแสงจันทร์สีเงิน!
“นี่เป็นภาพลวงตาของข้าหรือเปล่า…” เฟรดหันกลับมา เขาพบว่าเมสัน และคนอื่น ๆ ทั้งหมดยืนเหมือนรูปปั้น ทั่วทั้งเมืองนิรนามเงียบผิดปกติ แม้แต่สุนัขแสนดุร้ายที่บาร์ก็ไม่ส่งเสียงเห่าเลย
“ไม่ มันเป็นภาพมายาสะท้อนของนักเวทระดับตำนาน…” เมสันได้สติกลับมาเช่นกัน
พิธีกรรมบางอย่างที่ช่วยให้อัศวินฝึกฝนพลังโลหิตของพวกเขาจำเป็นต้องสื่อสาร และอัญเชิญพลังของมิติพิเศษแห่งตำนาน เช่นเดียวกับการอัญเชิญ ‘เจ้า’ มาเพื่อเลื่อนตำแหน่งบาทหลวงของนักบุญสัจธรรม
เฟรดพูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นมิติพิเศษในตำนานถ้าไม่นับที่ราบสีแดง”
‘ราชันย์โลหิต’ เจ้าแห่งที่ราบสีแดง เขาเป็นปีศาจระดับตำนานขั้นสอง หากนักเวท บาทหลวง และอัศวินที่มีพลังโลหิตแบบพิเศษต้องการถือครองพิธีกรรมทางโลหิต และการสังหาร เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะอัญเชิญพลังของ พิราบสีแดง ดังนั้นมันจึงเป็นมิติพิเศษในตำนาน
“ในที่สุด ท่านทั้งสองของสภาก็ตรวจสอบเสร็จสิ้น” เมสันรู้สึกหมดแรง ยังไงซะตอนนี้ก็ดึกแล้ว
…
ในป่านอกเมืองนิรนามที่เต็มไปด้วยมลพิษมีต้นไม้เติบโตขึ้นอย่างผิดปกติ พวกมันบิดเบี้ยวจนถึงจุดว่ามีเด็กบางคนสร้างความเสียหายให้กับพวกเขา บนเปลือกไม้มีก้อนขนาดมหึมาที่ด้านในมีของเหลวสีเลือดไหลออกมาอย่างน่ากลัว และน่าขยะแขยง
“นี่คือป่าที่เต็มไปด้วยมลพิษเพราะอยู่ใกล้กับรอยแยกแห่งอเวจีมากเกินไป แต่ผลกระทบในระแวกหนึ่งร้อยเมตร และสองร้อยเมตรลดลงจนเกือบจะเป็นปกติ ความต้องการที่จำเป็นในการรวมพื้นที่ก็แทบจะไม่เป็นที่พอใจ” โลเดลล์ ‘หัตถ์แห่งดุลยภาพ’ กล่าวถึงสถานที่เดียวที่อาจตรงกับพารามิเตอร์ของอเวจีที่อยู่ใกล้เคียง
ลูเซียนสังเกตอย่างรอบคอบ และตรวจสอบต้นไม้ด้วยเวทมนตร์ จากนั้นเขาก็พยักหน้า “เป็นที่ยืนยันได้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขยายตัวของช่องว่างอเวจี”
แอตแลนต์ก็ให้ข้อสรุปที่คล้ายกัน
“ดูเหมือนว่าเราจำเป็นต้องตรวจสอบอเวจี” มัลฟิวเรียนไม่สนใจการเดินทางมากนัก เจตจำนงแห่งอเวจีเป็นพวกวิปลาส ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อ ไม่ใช่แม้แต่ตัวเขาเอง! จะเป็นอย่างไรถ้าจู่ๆ เขาตัดสินใจระเบิดตัวเองต่อหน้าต่อตาพวกเขา? แล้วพวกเขาทำอะไรได้บ้าง?
เจตจำนงแห่งอเวจีที่ไร้สมองทำให้เขากลัวมากกว่าเจ้าแห่งนรก แม้ว่าอย่างหลังจะเต็มไปด้วยแผนการก็ตาม
“การรวมพื้นที่เพิ่งเริ่มต้น นี้อยู่ระหว่างที่ราบสีแดง และป่าสตรู๊ป ดังนั้นในขณะที่สถานที่แห่งนี้ได้รับผลกระทบจากอเวจีมันก็จะได้รับอิทธิพลจากโลกแห่งวัตถุหลักด้วย หลังจากได้รับบาดเจ็บแล้วจึงเป็นไปไม่ได้ที่เจตจำนงแห่งอเวจีจะมาถึงที่ราบสีแดง และอย่างยิ่งคือการที่เขาจะมาถึงโลกวัสดุหลักได้โดยตรง” ลูเซียนอธิบายให้มัลฟิวเรียนจากประสบการณ์ของนักเวทโบราณ
ขณะที่เขาพูดเขาก็หันไปหา แลงค์เชียร์ ,โลเดลล์ และเซลินดา แล้วพูดอย่างเคร่งเครียดว่า “มีความคืบหน้าบางอย่างเกี่ยวกับการสอบสวนเอลฟ์ที่ทุจริต ดังนั้นข้าจำเป็นต้องเตือนจ้าถึงบางสิ่ง”
‘รายงานการสอบสวนของวันแรก’ ซึ่งเขียนโดย จูรีเซียน, เฟลิเป และไฮดี้ได้ถูกส่งไปถึงลูเซียนผ่านข้อความแม่เหล็กไฟฟ้า ดังนั้นเขาจึงตระหนักถึงความน่าสงสัยของพวกเขา
“มันคืออะไร?” แลงค์เชียร์กลายเป็นคนจริงจังไม่เห็นแก่ตัวเหมือนแต่ก่อน
ลูเซียนแนะนำสั้น ๆ ว่า “มีปีศาจแห่งบรรพกาลลึกลับเจ็ดตนซึ่งตั้งชื่อตามความเกลียดชัง ความเจ็บปวดและความรู้สึกอื่น ๆ ที่อยู่ลึกที่สุดในนรก ตราบใดที่ความรู้สึกที่ตรงกันถูกยับยั้งจนถึงจุดหนึ่ง และพิธีกรรมที่ดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายกระตุ้นพวกเขา ทำให้พวกเขาเชื่อในปีศาจแห่งบรรพกาลจากก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อนั้นเมล็ดพันธุ์แห่งปีศาจในใจของทุกคนจะถูกปลุกขึ้นและงอกเงยขึ้น จากการนำพาของปีศาจแห่งบรรพกาล … ”
“ …นักเวทที่มากับเราสงสัยว่าพวกเอลฟ์ทุจริตจากการชักนำของปีศาจแห่งบรรพกาล…”
“ปีศาจแห่งบรรพกาล…” พวกเอลฟ์มีการรวมกันแบบโบราณดั่งเดิมที่สมบูรณ์แบบ ในไม่ช้ามัลฟิวเรียนก็จำเรื่องราวที่ถูกเล่าจากคนต่าง ๆ ได้ หลังจากได้ฟังคำเตือนของลูเซียน
เขาจริงจังมากขึ้น หากสัตว์ประหลาดเช่นนี้มีอยู่จริง มันจะยุ่งยากกว่าการจัดการกับดยุกปีศาจ และเคานต์ปีศาจ
โลเดลล์, เซลินดา และแลงค์เชียร์ต่างก็ทบทวนชื่อปีศาจแห่งบรรพกาลซ้ำไปมา พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีสัตว์ประหลาดเช่นนี้ด้วย!
ลูเซียนเดินต่อไป “เมื่อข้าตรวจสอบเมืองนิรนามก่อนหน้านี้ ข้าตระหนักว่านักผจญภัยในเมืองนั้นค่อนข้างกังวลเจ็บปวด และไม่สบายใจหลังจากที่ต้องติดอยู่ที่นี่เป็นเวลานานภายใต้การคุกคามของปีศาจ พวกเขาอยู่ในจุดเปลี่ยนแล้ว หากสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับปีศาจแห่งบรรพกาลอย่างแท้จริง บรรยากาศเช่นนี้ก็สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย เจ้าต้องใส่ใจกับ และปล่อยให้พวกเขาเป็นอิสระโดยเร็วที่สุด”
“ทิ้งปัญหาที่ซับซ้อนนี้ไว้กับข้า” แอตแลนต์กล่าว
…
วันรุ่งขึ้น ลูเซียน, นาตาชา และมัลฟิวเรียนก็เข้าไปในที่ราบสีแดงผ่านรอยแยกแห่งอเวจี
ในเมืองนิรนาม เมสัน และเฟรด พวกเขาเพิ่งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องจากด้านล่าง มหาอัศวินได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอัศวินอาภาที่สูญเสียการควบคุมตัวเอง เลือดสาดกระจายเต็มพื้นที่
เมื่อมองไปที่ของเหลวสีแดงเจิดจ้า เมสันก็รู้สึกว่าดวงตาของเขาถูกพวกมันครอบงำ เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาเต้นตุบ จากนั้นเขาก็พบว่าเข้าไม่สามารถทนกับสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาด และน่าหดหู่นี้ได้อีกต่อไป
“ไม่ เราอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว!”
เขาลุกขึ้นอย่างกะทันหัน และพุ่งเข้าใส่ผู้ดูแลเอลฟ์กับเฟรด
ย้อนกลับไปที่บ้านพักธรรมชาติ จูรีเซียน เฟลิเป้และนักวิจัยคนอื่นๆ กำลังมองหามาร์ธาภายใต้คำแนะนำของไอริสทีน
………………………………………………………………